คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
หมายถึงซีรี่เรื่องไหนล่ะครับ
มันก็มีคล้ายๆนะ จริงๆมันแล้วแต่ที่ด้วย
ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร ปีแรกอยู่หอในใกล้ที่เรียน อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินไปเรียนสบายๆ การเรียนก็ค่อนข้างยากในช่วงแรกๆ เพราะเราไม่เคยเรียนแบบนี้ไม่เคยเจอแบบนี้ ต้องปรับตัวทั้งเนื้อหาใหม่ๆ วิธีการเรียนการสอนที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับสมัยมัธยม คือเราจะต้องฟังแล้วก็จดๆๆๆ จดยังไงก็ได้ให้เราอ่านเองเข้าใจเอง ไม่มีใครมานั่งดูนั่งตรวจว่าเราจดอะไรไปบ้าง การเรียนมีความจริงจังกว่ามัธยมมาก เพราะพลาดก็หมายถึงเกรดที่จะต่ำลง ซึ่งเกรดพวกนี้เราต้องเอาไปสมัครงานในอนาคต เพราะงั้นต้องจริงจังกับการเรียนมากขึ้น งานก็จะเป็นงานที่จริงจังเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่าตอนมัธยม เพราะมันคือการเอาความรู้ที่เราจะใช้ประกอบอาชีพมาทำเป็นงานชิ้นนึง และเราสามารถเก็บงานนั้นไว้เป็นผลงานสำหรับใช้สมัครงานได้ ต่างจากรายงานสมัยมัธยม แต่ถึงงานจะค่อนข้างเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นงานเล็กๆมากเมื่อเทียบกับการทำงานจริงๆ แรกๆอาจจะรู้สึกยาก พอปรับตัวได้แล้วก็ธรรมดา ไม่ยากเกินความสามารถ แต่ความพยายามจะต้องมีเพิ่มขึ้นทุกๆปี เพราะเนื้อหาจะยากขึ้นเรื่อยๆ
ด้านกิจกรรม สำหรับปี1 มีกิจกรรมมากมาย โดยเฉพาะรับน้อง ถ้าน้องดู Sotus the series ก็ประมาณนั้นแหละ ปี2 จะคอยสอนน้องเรื่องเพลงเชียร์ต่างๆ วิธีการปฏิบัติตัว และอื่นๆ ปี3 ก็จะควบคุมดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการรับน้อง อาจจะมีลงโทษบ้าง วิธีการก็แล้วแต่สถาบันแล้วแต่คณะด้วย บอกเลยว่าปี1 เหนื่อยมาก ทั้งเรื่องเรียน ปรับตัว รับน้อง และกิจกรรมอื่นของมหาวิทยาลัยอีก
พอปี2 ก็มีรับน้องเหมือนกัน ต่างกันแค่คราวนี้เราเป็นพี่ที่ต้องไปสอนไปดูแลน้องๆ น้องลงรับน้องพี่ก็ต้องลงด้วย ไม่ใช่แค่นั้น เพราะพี่ต้องมีการประชุมกันตกลงกันก่อนเสมอว่าจะทำอะไรสอนอะไรในวันนั้นบ้าง ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่ใช้ในกิจกรรมรับน้องอีก อย่างคณะที่ผมเรียนจะต้องออกเงินทำเสื้อเฟรชชี่ให้น้องๆ ทำพร็อพต่างๆ ค่าข้าวเลี้ยงน้อง ค่ายาสำหรับน้องที่เจ็บป่วย ต้องออกกันเอง เพราะงั้นค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในตอนปี2 เรียนก็ยังต้องตั้งใจ กิจกรรมก็ต้องทำ
ปี3 กิจกรรมจะลดลง เพราะไม่ค่อยต้องทำอะไรในกิจกรรมรับน้อง ยกเว้นพี่ว๊ากที่ต้องซ้อมกันตลอด ฝ่ายอื่นๆก็มีแต่จะไม่หนักมาก อาจจะมีเรียกน้องในฝ่ายตัวเองฝึกซ้อมบ้าง อย่างเช่นฝ่ายเชียร์ก็อาจต้องเรียกน้องไปซ้อมร้องประสานเสียงอะไรทำนองนั้น ฝ่ายพยาบาลอาจจะต้องพาน้องไปอบรมณ์เกี่ยวกับการปฐมพยาบาล วิธีใช้ยาต่างๆ แต่หลักๆต้องมุ่งเน้นเรื่องเรียนมากขึ้นกว่าปี1-2
ปี4 ก็เน้นเรียนเลย กิจกรรมไม่ค่อยมีส่วนร่วมแล้ว เพราะต้องตั้งหน้าตั้งตาทำโปรเจคจบ
เวลาว่างในมหาวิทยาลัยมีมากกว่าตอนมัธยม เพราะเราจะไม่ได้เรียนทั้งวัน บางวันอาจจะเรียน 4-5 วิชา บางวันอาจจะมีเรียนแค่วิชาเดียว เพราะงั้นเวลาว่างจากการเรียนจะเยอะมาก ปีแรกๆเวลาว่างจะลงกับกิจกรรมประมาณนึงเลย ปีต่อๆมากิจกรรมจะลดลงเวลาว่างก็จะมากขึ้น แต่ก็ต้องทำงานอยู่ดี 5555 แต่เวลามากกว่าตอนมัธยมแน่นอน มีเวลาให้น้องไปนั่งส่องหนุ่มคณะอื่นแน่ๆ 555
การใช้ชีวิตทั่วๆไปก็ไม่มีอะไร เรียน กิจกรรม ทำงานส่ง ว่างๆก็ทำนั่นนี่ตามที่เราชอบ เที่ยวบ้างตามโอกาส สำคัญคือการปรับตัวและการแบ่งเวลา ชีวิตดีสุขสบายกว่าชีวิตทำงานเยอะ สนุกนะชีวิตในมหาวิทยาลัย เจอเรื่องต่างๆมากมาย ไม่ได้เล่าละเอียดว่าตัวเองเจออะไรบ้าง กลัวว่าจะยาวจนน้องขี้เกียจอ่าน ถ้าอยากอ่านอีกทักมาคุยได้ จะเล่ายาวๆ 555
มันก็มีคล้ายๆนะ จริงๆมันแล้วแต่ที่ด้วย
ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร ปีแรกอยู่หอในใกล้ที่เรียน อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินไปเรียนสบายๆ การเรียนก็ค่อนข้างยากในช่วงแรกๆ เพราะเราไม่เคยเรียนแบบนี้ไม่เคยเจอแบบนี้ ต้องปรับตัวทั้งเนื้อหาใหม่ๆ วิธีการเรียนการสอนที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับสมัยมัธยม คือเราจะต้องฟังแล้วก็จดๆๆๆ จดยังไงก็ได้ให้เราอ่านเองเข้าใจเอง ไม่มีใครมานั่งดูนั่งตรวจว่าเราจดอะไรไปบ้าง การเรียนมีความจริงจังกว่ามัธยมมาก เพราะพลาดก็หมายถึงเกรดที่จะต่ำลง ซึ่งเกรดพวกนี้เราต้องเอาไปสมัครงานในอนาคต เพราะงั้นต้องจริงจังกับการเรียนมากขึ้น งานก็จะเป็นงานที่จริงจังเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่าตอนมัธยม เพราะมันคือการเอาความรู้ที่เราจะใช้ประกอบอาชีพมาทำเป็นงานชิ้นนึง และเราสามารถเก็บงานนั้นไว้เป็นผลงานสำหรับใช้สมัครงานได้ ต่างจากรายงานสมัยมัธยม แต่ถึงงานจะค่อนข้างเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นงานเล็กๆมากเมื่อเทียบกับการทำงานจริงๆ แรกๆอาจจะรู้สึกยาก พอปรับตัวได้แล้วก็ธรรมดา ไม่ยากเกินความสามารถ แต่ความพยายามจะต้องมีเพิ่มขึ้นทุกๆปี เพราะเนื้อหาจะยากขึ้นเรื่อยๆ
ด้านกิจกรรม สำหรับปี1 มีกิจกรรมมากมาย โดยเฉพาะรับน้อง ถ้าน้องดู Sotus the series ก็ประมาณนั้นแหละ ปี2 จะคอยสอนน้องเรื่องเพลงเชียร์ต่างๆ วิธีการปฏิบัติตัว และอื่นๆ ปี3 ก็จะควบคุมดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการรับน้อง อาจจะมีลงโทษบ้าง วิธีการก็แล้วแต่สถาบันแล้วแต่คณะด้วย บอกเลยว่าปี1 เหนื่อยมาก ทั้งเรื่องเรียน ปรับตัว รับน้อง และกิจกรรมอื่นของมหาวิทยาลัยอีก
พอปี2 ก็มีรับน้องเหมือนกัน ต่างกันแค่คราวนี้เราเป็นพี่ที่ต้องไปสอนไปดูแลน้องๆ น้องลงรับน้องพี่ก็ต้องลงด้วย ไม่ใช่แค่นั้น เพราะพี่ต้องมีการประชุมกันตกลงกันก่อนเสมอว่าจะทำอะไรสอนอะไรในวันนั้นบ้าง ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่ใช้ในกิจกรรมรับน้องอีก อย่างคณะที่ผมเรียนจะต้องออกเงินทำเสื้อเฟรชชี่ให้น้องๆ ทำพร็อพต่างๆ ค่าข้าวเลี้ยงน้อง ค่ายาสำหรับน้องที่เจ็บป่วย ต้องออกกันเอง เพราะงั้นค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในตอนปี2 เรียนก็ยังต้องตั้งใจ กิจกรรมก็ต้องทำ
ปี3 กิจกรรมจะลดลง เพราะไม่ค่อยต้องทำอะไรในกิจกรรมรับน้อง ยกเว้นพี่ว๊ากที่ต้องซ้อมกันตลอด ฝ่ายอื่นๆก็มีแต่จะไม่หนักมาก อาจจะมีเรียกน้องในฝ่ายตัวเองฝึกซ้อมบ้าง อย่างเช่นฝ่ายเชียร์ก็อาจต้องเรียกน้องไปซ้อมร้องประสานเสียงอะไรทำนองนั้น ฝ่ายพยาบาลอาจจะต้องพาน้องไปอบรมณ์เกี่ยวกับการปฐมพยาบาล วิธีใช้ยาต่างๆ แต่หลักๆต้องมุ่งเน้นเรื่องเรียนมากขึ้นกว่าปี1-2
ปี4 ก็เน้นเรียนเลย กิจกรรมไม่ค่อยมีส่วนร่วมแล้ว เพราะต้องตั้งหน้าตั้งตาทำโปรเจคจบ
เวลาว่างในมหาวิทยาลัยมีมากกว่าตอนมัธยม เพราะเราจะไม่ได้เรียนทั้งวัน บางวันอาจจะเรียน 4-5 วิชา บางวันอาจจะมีเรียนแค่วิชาเดียว เพราะงั้นเวลาว่างจากการเรียนจะเยอะมาก ปีแรกๆเวลาว่างจะลงกับกิจกรรมประมาณนึงเลย ปีต่อๆมากิจกรรมจะลดลงเวลาว่างก็จะมากขึ้น แต่ก็ต้องทำงานอยู่ดี 5555 แต่เวลามากกว่าตอนมัธยมแน่นอน มีเวลาให้น้องไปนั่งส่องหนุ่มคณะอื่นแน่ๆ 555
การใช้ชีวิตทั่วๆไปก็ไม่มีอะไร เรียน กิจกรรม ทำงานส่ง ว่างๆก็ทำนั่นนี่ตามที่เราชอบ เที่ยวบ้างตามโอกาส สำคัญคือการปรับตัวและการแบ่งเวลา ชีวิตดีสุขสบายกว่าชีวิตทำงานเยอะ สนุกนะชีวิตในมหาวิทยาลัย เจอเรื่องต่างๆมากมาย ไม่ได้เล่าละเอียดว่าตัวเองเจออะไรบ้าง กลัวว่าจะยาวจนน้องขี้เกียจอ่าน ถ้าอยากอ่านอีกทักมาคุยได้ จะเล่ายาวๆ 555
แสดงความคิดเห็น
ชีวิตมหาลัยนี่เหมือนในซีรีส์ป่ะครับ