ภรรยาไปผ่าฟันคุดสองรอบ หมอคนแรกบอก ไม่ชอบเย็บแผลเลย ส่วนหมออีกคน ล้างแผลไม่อ่านประวัติ

จริงๆ จะชอบแอบแฝง อ่านกระทู้ของคนอื่น ซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยชอบที่จะตั้งกระทู้มากนัก แต่มาเจอกับเรื่องราวที่คิดว่า น่าจะเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับบางคนได้

จะขอย้อนไปครั้งที่ภรรยาผมก่อน ภรรยาผม มีฟันคุดท้งหมด 4 ซี่ โดยทั้ง 4 ซี่นี้ ได้ใช้บริการคลีนิกทันตกรรมแถวบ้านมาโดยตลอด เพราะเชื่อใจ ทันตแพทย์ที่เป็นเจ้าของเป็นอย่างยิ่ง

โดยฟันคุด 2 ซี่แรกนั้น ทางคุณหมอเจ้าของ เป็นผู้จัดการให้ เรียบร้อยมาก แต่ปัญหา มาเริ่มในซี่ที่ 3 ครับ

ภรรยาผม ก็นัดผ่าตามปกติที่เคยทำ และเมื่อถึงวันผ่า ก็เดินเข้าไปแบบชิวๆ มากเหมือนจะจะเข้าไปนวดอะโรมา ตามสปาต่างๆ แต่แล้ว ก็เกิดเหตสยองขึ้น

นั่นคือ ทันตแพทย์ผู้หญิงที่รับผิดชอบเคสนี้ (ฝ) ได้รำพันกับผู้ช่วยว่าเคสผ่านี่ไม่ชอบเลย มันยาก นี่คือสิ่งแรกที่ ภรรยาผมได้ยิน ตอนกำลังอ้าปากให้หมอตรวจอยู๋

เรื่องสยองเรื่องที่สอง คือคุณหมอท่านนี้ เมื่อทำการเปิดแผลแล้วพยายามเอาคีมดึงฟันคุดออกอยู่กว่าสองชั่วโมง ดึงๆ รั้งๆ จนภรรยาผมบอกว่า ร้าวมาถึงกรามอีกข้างหนึ่ง

สยองเรื่องที่สาม คือคุณหมอก็บอกกับผู้ช่วยคนเดิม ว่าเจอเคสเย็บแบบนี้ ยากอีกละ ไม่ชอบเลย เอ่อ นึกในใจก็ได้ไหมครับ

สยองเรื่องที่สี่ เนื่องจากคุณหมอไม่ชอบเย็บนี่เอง ท่านเลยเย็บแผลไม่สนิท เลยไหลอยู่สองวัน ต้องคอยเอาผ้าก๊อตอุดอยู่ตลอดเวลา

สยองเรื่องที่ห้า เมื่อเลือดหยุดไหล ก็ต้องทำความสะอาด สิ่งที่น่ากลัวมากๆ อีกเรื่อง คือหมอเย็บกระพุ้งแก้มติดเข้าไปด้วย ดังนั้นเมื่อหมดฤทธิ์ยาชา จึงทำให้รู้สึกว่าอ้าปากมากไม่ได้ มันรั้งกระพุ้งแก้ม

สยองเรื่องที่หก คือ Dry socket ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับบางคนเท่าน้น ซึ่งการเกิดขึ้นในครั้งนี้เพิ่งจะรู้ว่าคืออะไร เพราะเดินทางต่างจังหวัดไป สี่วัน หลังจากวันที่ผ่า และจากการที่ 2 ซี่แรกที่ผ่าไปนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทำให้ไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ เกิดอาการปวดที่แผลมากๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ จนโทรไปถามที่คลีนิก ก็แนะนำให้ซื้อยาแก้ปวดขั้นรุนแรง พวก ponstan มาทาง ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก และยังมีเลือดไหลซึมออกมานิดหน่อย เลยไปซื้อกลุ่ม codein มา ทำให้ การไปต่างจังหวัดคราวนี้ ภรรยาผมนอนอย่างเดียวเลย ภรรยาผมแพ้กลุ่ม Burofen

เมื่อกลับมารีบไปให้ทางคลีนิกตรวจแผล และตัดไหม คราวนี้เจอหมอผู้ชาย (ก) ท่านนี้ก็ตัดไหมให้ และล้างแผลให้ ระหว่างนั้น ก็บ่นแต่ว่า หมอที่ผ่าให้ (ฝ) ทำไมไม่เรียกให้มาช่วย เพราะพยายามดึงฟันอยู่ร่วมๆ 2 ชั่วโมง มันจะทำให้กรามอักเสบ ว่าอยู่อย่างนั้น จนทำเสร็จ แต่ก็ยังไม่หายปวด

รุ่งขึ้นทนไม่ไหว รีบไปที่ รพ รามาฯ ตั้งแต่ตี 5 จริงๆวันนั้นไม่มีคิวสำหรับคิวแทรก แต่พอพยาบาลหน้าห้องได้ทราบอาการ เลยจัดคิวแทรกพิเศษให้ ขอขอบคุณพยาบาลท่านนั้นเป็นอย่างสูงครับ สิ่งที่ตกใจอย่างมาก เมื่อพบกับอาจารย์หมอ นั้นคือ ท่านนำเศษอาหารที่เน่าอยู่ภายใน dry socket นั่นแหละครับ ออกมาเยอะมากๆ ทำแผลให้ใหม่ และใส่ยาแก้ปวดที่แผลให้ เชื่อไหมครับ ภรรยาผมแจ้งว่า หายปวดเป็นปลิดทิ้งเลย แต่เนื่องจากแผล เย็บมาไม่เรียบร้อย จึงต้องใส่ยาทุกวัน แต่เนื่องจากไปไกลมาก (บ้านอยู่คลองสี่) ไปทุกวันคงไม่ไหว เลยเข้าไปที่คลีนิกเดิม และขอให้คุณหมอเจ้าของดูแลแทน ซึ่ง ท่านก็ทำได้เรียบร้อยมาก อาทิตย์ถัดไป ก็หาย

สิ่งที่ผมสงสัยและแจ้งไปที่คุณหมอเจ้าของคลีนิก คือ คุณหมอ (ก) ล้างแผลให้แล้ว และหลังจากล้างแล้ว ภรรยาผมทานอะไรไม่ได้เลย และไปหาหมอที่ รามาฯ ตั้งแต่เช้า ทำไมเศษอาหารจึงยังเยอะอยู่มากๆ และทำไมไม่จัดการแผลให้เรียบร้อย

นี่คือซี่ที่สาม

และแล้ว ถึงคราว ซี่ที่ 4 เนื่องจากภรรยาผมนั้น เกิดอาการวิตก ผมจึงต้องนัดโดยไม่ให้เธอรู้ และนัดหมอศัลย์เท่านั้น

ซึ่งการผ่านั้น ไม่มีอะไรยากเลยสักนิด หมอท่านนี้ทำการผ่าแบ่งฟัน เพื่อให้ง่ายต่อการถอนออก และเมื่อกลับบ้าน ครบสี่ชั่วโมง ก็ไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่น้อย

และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้น นั่นคือ ผมและภรรยาต้องไปต่างจังหวัด เลยกลับมาตัดไหมไม่ทันกับเวรของหมอศัลย์ท่านนั้น ต้องนัดวันรุ่งขึ้น และตรงกับเวรของหมอ (ก) ภรรยาผม ก็ถามว่า จะทำดีหรือไม่ ผมก็บอกเธอไปว่า คนเรา คงไม่ผิดครั้งที่สองมั้ง และหมอศัลย์ ก็ทำแผลดีมาก

ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น คือเมื่อทำการตัดไหมแล้ว หมอก็ทำการล้างปกติ แต่ กลับรู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อคราวผ่าซี่ที่สาม จึงแจ้งไปที่คลีนิกอีกครั้ง ว่าจะเข้าไปให้ล้างแผลอีกรอบ เพราะคิดว่า น่าจะเกิดอาการเดิม คือเศษอาหารติดอยู่ภายใน เพราะเธอบอกผมว่า เวลาแปรงฟัน บางครั้งมีกลิ่นเหม็นออกมาด้วย
แต่ขอเป็นหมอท่านอื่นนะ

และแล้วเรื่องสยองที่เจ็ด ก็เกิดขึ้น นั่นคือตอนที่แปรงฟันอยู่นั้น ก็มีเศษเส้นคล้ายๆเศษเนื้อติดฟัน ภาายาผมจึงดึงออกมา ปรากฏว่า มันคือไหมเย็บแผล ที่เหลืออีกเส้นหนึ่ง ณ ตอนนั้น ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เลยไปที่คลีนิกอื่น (คลอง 7) เพราะภรรยาผม เอารถไปเข้าศูนย์แถวนั้นพอดี คุณหมอที่คลีนิกนั้น เมื่อเห็นก็บอกเลย ว่านี่แหละ ไหมเย็บแผล แถมยังบอกอีกว่า ดึงมาจากซี่ไหน ตำแหน่งไหนได้อีกด้วย เพราะเป็นตำแหน่งที่ปกติของการเย็บ

อ้าว และตอนไปตัดไหม ทำไมหมอ (ก) ไม่ตัดออกให้ล่ะ และหมออที่คลีนิกคลอง 7 ก็ทำการล้างแผลให้ ก็เหมือนเดิม คือเศษอาหารเยอะมากๆๆๆๆ และเน่าแล้วด้วย จึงทำให้อักเสบและยังไม่หาย ซึ่งเกิดจากลิ่มเลือดไม่แข็งตัว จึงทำให้ เศษอาหาร เข้าไปได้ เอาอีกแล้ว หมอ (ก) เกิดขึ้นครั้งที่สองแล้วนะ และด้วยการที่ภรรยาผม ดึงเอาไหมออกมาจากเหงือก ทำให้เหงือกเกิดเป็นแผลต้องทำแผลทุกวัน ตอนแรกภรรยาผมจะไปทำที่คลอง 7 แทนแล้ว แต่ด้วยความที่ผมยังอยากให้โอกาสคุณหมอเจ้าของคลีนิกเดิม จึงเข้าไปแจ้งที่คลีนิก และมีโอกาสได้คุยกับทางคุณหมอเจ้าของคลีนิก โดยทางคลีนิกขอโทษเป็นอย่างยิ่งและจะกำชับหมอ (ก) ให้ดีกว่านี้ และขอดูแลเคสนี้ให้ ปล ผู้ช่วยอยู่ด้วย จึงบอกว่า เขาหาการ์ดผู้ป่วยไม่เจอ เลยไม่รู้ว่ามีกี่ strip และ เขาเตรียมน้ำเกลือให้ล้างแผลแล้ว แต่หมอ (ก) ไม่ได้ล้างให้

เรื่องสยองเรื่องที่แปด เรื่องสุดท้าย ที่ทำให้ผมตัดสินใจเขียนกระทู้นี้ นั้นคือ ภรรยาผมไปทำความสะอาดแผลที่เกิดจากการดึงไหมออกจากเหงือก พบกับคุณหมอท่านอื่น (น) เมื่อไปถึง ภรรยาผมจะแจ้งอาการ คุณหมอท่านนี้ ท่านรู้เรื่องมาก่อนแล้วมั้ง เลยบอกว่า ไม่ต้องพูด อ้าปาก และทำแผลมันต้องเจ็บนะ  จากนั้นก็เริ่ม

ภรรยาผมแจ้งว่า ช่วงล้าง และเอาผ้าชุบยาชาออกนั้น ไม่เจ็บอะไรเลย แต่อยู่ๆ หมอ (น) ก็เอาเครื่องมือกระแทกเข้าไปโดนเหงือก ซึ่งเจ็บมาก และเจ็บจนกระตุก หมอ (น) กลับสวนขึ้นว่า ก็บอกแล้ว ว่ามันเจ็บ อยู่นิ่งๆ (เสียดายมาก วันนั้นถ้าผมไปด้วย ผมยอมจ่ายค่าปรับ 500 ต่อยปากหมอสักครั้ง) และไม่ใส่ยาให้ เพราะจะมีผลต่อแผลที่เหงือกให้ทนเอา โดยสั่งจ่าย Burofen มาอีก ทั้งๆที่ในประวัติก็มีเขียนอยู่ จนผู้ช่วยต้องท้วงหมอ (น) ว่าไม่ได้ค่ะ คนไข้แพ้ Burofen ในประวัติก็มีนะคะ

เมื่อภรรยาผมเล่าให้ฟัง ผมจึงโทรหาคลีนิกอีกครั้ง และขอให้คุณหมอเจ้าของคลีนิกโทรหาผมอีกครั้ง และผมก็แจ้งท่านเป็นครั้งสุดท้ายว่า ผมให้โอกาสมาถึงสามครั้งแล้ว แต่ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำๆอีก แถมครั้งสุดท้ายนี้ ไม่รู้ว่า หมอ (ก) และ หมอ (น) คุยกันหรือไม่ แต่จากเหตการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งผม และภรรยาเชื่อเหลือเกินว่ามีการคุยกันในเรื่องเคสของภรรยาของผม และผมไม่ไว้ใจคลีนิกนี้อีกต่อไป แต่การที่ผมพยายามโทรหาคุณหมอเจ้าของคลีนิก เพราะผมยังไว้ใจ และเชื่อใจในตัวคุณหมอ รวมถึงเห็นใจเป็นอย่างมาก ที่มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีพฤติกรรมที่เล่ามานั้น มาทำงานอยู่ในสถานที่ที่คุณหมอลงมือ ลงแรงตั้งใจอย่างเต็มที่ ต้องมาเกิดเรื่องหม่นหมองลงอย่างนี้ คนไข้คนอื่น อาจไม่สนใจ แต่ครอบครัวผม และภรรยา ทั้งสิ้น 7 คน คงไม่มาใช้บริการที่นี่อีกแล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่