นี่เป็นครั้งแรก ที่ได้ไปขับรถในต่างแดนไกลขนาดนี้ เลยอยากจะมารีวิวประสบการณ์ให้ทุกคนได้รับรู้ เผื่อจิเป็นประโยชน์กับคนที่วางแผนเดินทางไปเที่ยวจ้า
**นี่เป็นการไปเที่ยวเอง วางแผนกันเอง
**เที่ยวแบบหรูเป็นพักๆ ยาจกเป็นช่วงๆ
**รวบรวม
Tip ที่จำเป็นสำหรับคนที่ต้องการเตรียมตัว
เริ่มกันเลยมะ ^^
อิฉันตื่นเต้นค่ะ .... ทำไม ต้องตื่นเต้น น่ะรึ ???
ประการแรก : คือ ไม่เคยขับรถที่ ตปท. และ
ยังไม่รู้ว่ารถที่เช่าเนี่ย จะได้ คือ รถอะไร
ประการที่สอง : เอ่อ เอาตรงๆนะ ก็ยังไม่ถึงกะได้ศึกษาสัญลักษณ์อะไรมากมาย ตรูจะขับรอดไหมละหว่า
ประการที่สาม :
ทิศทางทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับพี่ไทยนะจ๊ะ พวงมาลัยซ้ายจ้าาา
แค่ 3 ประการนี้ ก้อกรี๊ดดๆ อยู่ในใจ (แสดงท่าทีมากไม่ได้ เด๋วน้องจะเกร็งไปด้วย)
พอถึงเวลา ก็ไปรับรถที่ศูนย์
SIXT (sixt.com) ในเมือง
**
สิ่งที่ต้องเตรียมไปด้วย คือ
-
บัตรเครดิตที่ใช้ในการจอง ซึ่งจะยังไม่ตัดเงินทันที แต่จองวงเงินไว้ก่อน
-
ใบขับขี่ กวางทำใบขับขี่สากลไปด้วย(ทำจากไทย) และเอาใบขับขี่ ที่ใช้ในไทยไปด้วย คุณเจ้าหน้าที่ดูใบขับขี่สากลแล้วก็ยังดูงงๆ เลยยื่นใบขับขี่ไทยให้ด้วย แกก็โอเค เพราะมันมีรายละเอียดเยอะกว่าในใบขับขี่สากล
หลังจากนั้น พี่เค้าก็พามาที่รถ ที่เราได้ >>>>>>>
ขุ่นพระ !!! BMW 218d (Hatchback with sunroof)
กรี๊ดดดๆๆ ในใจ นี่มันรถในฝันเลยนะ BMW น่ะ
#ค่าเช่ารถ จำนวน 5 วัน รวมประกัน รวม GPS ทังสิ้น คิดเป็นเงินไทย 11,966.88 เดินทางกัน 2 คน หารแล้ว ตกคนละ 5,983.44 บาท เฉลี่ยต่อวัน คนละ 1,196.69 บาท
หากถามว่าคุ้มไหม >> ถ้าการเดินทางเป็นแบบเรา 2 คน พูดได้เลยว่าคุ้ม เพราะวิวที่เห็น ไม่สามารถมาได้ด้วยรถสาธารณะ ***ถ้าจะให้ดีหน่อย มากันสัก 3-4 คน ก็จะทำให้ค่ารถเช่าดูจิ๊บจ๊อยไปเลยค่ะ***
หลังจากรับรถ ก็ให้เค้าสอนโน่นนี่นั่นนิดหน่อย จากนั้นก็ออกเดินทางกันเลยจ้าา
#TIP : กรณีเช่ารถขับ ในตอนที่รับรถ ให้ถามเจ้าหน้าที่ให้เรียบร้อย เกี่ยวกับปุ่ม อุปกรณ์ หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับรถ โดยเฉพาะการใช้ GPS เพราะหาก Set GPS ไม่ได้ หรือปรับไม่เป็น ก็จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์นะคะ แล้วก้ออย่าลืมบันทึก เลขไมล์ที่เริ่มต้นขับ ดูน้ำมันว่าเต็มถังหรือไม่ ด้วยจ้าา
#TIP:ก่อนขับรถให้ศึกษาสัญลักษณ์ ที่น่าจะเจอบนท้องถนนที่เยอรมัน ไว้บ้างนะคะ ส่วนใหญ่สัญลักษณ์ที่เราควรจะต้องทำความเข้าใจและจดจำ คือ ป้ายที่จอดรถ ป้ายห้ามจอด ป้ายจำกัดความเร็ว ป้ายห้ามแซง ป้ายคำเตือน ป้ายทางหลัก-ทางรอง**ให้เข้าใจไว้คร่าวๆ ว่าถ้าป้ายเป็น วงกลมสีแดง ส่วนใหญ่คือ ห้าม!!! หากอยู่ในสามเหลี่ยม จะหมายถึงให้ระวัง
http://www.gettingaroundgermany.info/zeichen.shtml อันนี้เป็น website ที่กวางดูข้อมูลคร่าวๆ เพื่อทำความเข้าใจนะคะ ช่วยได้เยอะเหมือนกัน
#TIP :ขับรถที่เยอรมัน ต้องให้ความสำคัญกับป้ายจำกัดความเร็วนะคะ คือ ระบุเท่าไร ก็ต้องพยายามขับไม่เกินนั้นจริงๆ เพราะมีกล้องจับความเร็วตลอด และที่เยอรมันเค้าขับรถมีมารยาทกันมาก หากกำหนดความเร็วเท่าไร เค้าก็ขับกันตามนั้น ไม่มีใครมาบีบแตรใส่หรอกจ้า ขับช้าวิ่งขวาสุดเด้อ หากเจอคนข้ามถนน หรือจักรยานข้ามถนน ต้องหยุดให้เค้าไปก่อนนะคะ (ห้ามติดนิสัยพี่ไทยไปใช้ที่โน่น)
เอาละ ๆๆๆ Go Go Go !!!
จุดแรกที่เราจะไป คือ ไปเยี่ยมชมความพลุกพล่านในเมือง München หรือ Munich ที่เรารู้จักนั่นเอง
ที่นี่ไม่ใช่จุดหมายหลัก แต่เป็นทางผ่าน ก็เลยว่ามาแชะ เชยชม ช้อปปิ้งเบาๆ เพราะเป็นเมืองหลวงของ Bavaria
การขับรถเข้ามาที่ Munich ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรสำหรับเรา ในวันแรก เนื่องจากเป็นเมืองที่มีรถค่อนข้างเยอะ และที่จอดรถหาค่อนข้างยากเลยทีเดียว ถึงจะมี GPS ช่วยนำทาง แต่บางทีความมึนงงก็เกิดขึ้นเช่นกัน สิ่งที่ทำได้ คือ ตั้งสติ จ้าา
#TIP :เมืองใหญ่ๆหรือเมืองท่องเที่ยวในเยอรมัน ส่วนใหญ่จะมีการเก็บค่าที่จอดรถ ขึ้นอยู่กับว่าจอดนานเท่าไร ซึ่งเวลาเราขับรถไปจะต้องตาไวดูให้ดีว่าบริเวณนั้นๆ มีเก็บค่าที่จอดรถหรือไม่ ส่วนใหญ่ถ้ามี จะมีตู้ให้กดซื้อตั๋วใกล้ๆแถวนั้น ไปซื้อตั๋วและวางไว้หน้ารถ สำหรับกรณีมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ หากไปจอดโดยไม่ได้ซื้อตั๋ว หรือซื้อจำนวนชั่วโมงไม่พอ อาจจะต้องค่าปรับบานตะไทกันได้จ้ะ
ปล. สำหรับ
ค่าที่จอดรถใน Munich 2 ชั่วโมง ราคา 5€ (เบา เบา >_<'')
เราใช้เวลาใน Munich ไม่นานมากนัก ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็ขับรถไปต่อ โดย
จุดหมายต่อไปเป็นทะเลสาบที่เรียกว่า Tegernsee (see อ่านว่า เซ แปลว่าทะเลสาบ) น้องเล่าให้ฟังว่า สถานที่นี้สวยงามมาก ในอดีตราชินีของเรามักจะมาพักผ่อน ณ สถานที่แห่งนี้บ่อยๆ ได้ฟังแบบนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ไย......ไปกันเถอะเรา
ขับรถตาม GPS ไปประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ผ่านเส้นทางที่สวยงามมากมาย คือ ภูมิประเทศแถบทางใต้ บ้านเรือนจะอยู่บนไหล่เขาซะส่วนใหญ่ สลับกับทุงหญ้า Rapeseed ที่ออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่งเป็นทุ่ง ดูช่างงดงามจริงๆ แต่ไม่อาจแวะถ่ายรูปได้เนื่องจาก ไม่มีสถานที่จอด บางที่เป็นที่จอดแต่ก็ไม่มีทุ่ง T^T
...........และแล้ว เราก็เริ่มวิ่งบนถนนที่ลัดเลาะข้างๆทะเลสาบ มองไป ช่างสวยงามเสียนี่กระไร เราไม่รอช้า มองหาที่จอดรถข้างทางทันที
ที่นี่ ค่าจอดรถไม่โหดร้าย เท่าไร 1.5 ชั่วโมง 50 cent เอาล่ะ ไปชื่นชมความงามกันดีกว่า !!!
ทะเลสาบ Tegernsee ค่อนข้างกว้าง จุดที่แวะถ่ายรูปได้ก็จะมีหลายจุดค่ะ สวยๆทั้งนั้นเลย โดยส่วนตัวจุดที่แวะไปชม มีเป็น public park พอดี ซึ่งแวะนั่งชิล (มีเก้าอี้นอน ม้านั่งให้เลือกสรร) เดินเล่น หรือถ้าเป็นคู่รัก ก็มีมุมโรแมนติกหลายมุมทีเดียว
บรรยากาศเย็นๆ และน้ำในทะเลสาบก็ใสมากกกก เห็นแล้วก็อิจฉาเจ้านกเป็ดน้ำที่เวียนว่ายไปมาซะเหลือเกิน
ที่นี่นกเป็ดน้ำเป็นสัตว์ตามธรรมชาตินะคะ อยู่ได้อิสระ เจอแทบทุกที่ที่มีทะเลสาบ ไม่มีใครจับไปทำลาบ !!!
เรานั่งพักผ่อนหย่อนอารมณ์ที่ Tegernsee ได้ประมาณ เกือบ ชั่วโมงครึ่ง ก็ได้เวลาที่ต้องจรลีจากลา เพื่อเดินทางต่อ เนื่องจากวันนี้ เป้าหมายของเราอยู่ที่เมือง Grainau หากไม่รีบเดินทางเห็นจะค่ำ ดังนั้นจึงตั้ง GPS ไปยังจุดหมายคือ Eibsee Hotel โรงแรมที่แรกในการเที่ยวแบบจริงจัง
ตอนแรกเจ้า GPS จะพาไปอีกทาง แต่เราขับเลย ดังนั้นก็เลยได้ไปอีกทาง ซึ่งพูดได้คำเดียวว่า ทางนั้นทำให้เรา #ฟินนน !!! มากจริงๆ
#เส้นทางสายโรแมนติก ฟินเว่อร์ จนต้องร้องกรี๊ดๆ ในใจ#
จาก Tegernsee เราขับตรงไปเรื่อย (ตั้ง GPS ไป Wallgau ก็ได้ค่ะ) ถนนที่เราไปเจอมันจะค่อยๆเล็กลง จน GPS จะให้เราเลี้ยวขวา เข้าทางที่ดูไม่น่าจะเป็นทางหลวงเท่าไร แต่ด้วยความอยากรู้ เราก็ขับไป และ
เจ้า GPS ก็ให้เราขับข้ามแม่น้ำสายเล็กๆ ซึ่งเมื่อข้ามไปจะเจอป้อม ที่เราต้องซื้อตั๋วผ่านทาง อันนี้ตอนแรกก็งงๆกัน ว่าค่าอะไรหว่า มารู้ทีหลังว่า เราได้ขับรถข้ามไปเหยียบฝั่งออสเตรีย นิดนึง นี่เอง
เส้นทางหลังผ่านป้อมมาเนี่ย จะเป็นถนนเล็กๆ แบบรถ 2 คัน สวนกันได้ไม่คล่องนัก แต่ก็แค่ช่วงเดียว ความลำบากตรงนั้นเนี่ย แทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย เมื่อได้ขับไปเรื่อยๆ และถนนเป็นเส้นทางเลาะเลียบลำธารไปตลาดเส้น
"น้ำในลำธารเป็นสีเขียวใส ตัดกับหินเบื้องล่างที่เป็นสีขาวราวกับกองหิมะ (ก็ว่าไป) สวยงามจนไม่อาจหาญจะบรรยายได้ทั้งหมด" ถ้าให้พูดให้เห็นภาพ สีน้ำจะคล้ายในสระมรกตที่กระบี่ บ้านเรา แต่หินบ้านเค้าจะขาวกว่านั่นเอง
ตอนที่ขับที่ถนนเส้นนี้นั้น เราขับไปเรื่อยๆเอื่อย เพื่อเก็บภาพธรรมชาติที่งดงามไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด ขับไปสักพัก ก็จะเจอสะพานๆหนึ่งซึ่งพาเราข้ามเขื่อนที่ชื่อว่า
Sylvenstein Dam ซึ่งเป็นเขื่อนในหุบเขา Isar เห็นแล้วอดไม่ได้จริงๆที่จะแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ขับจากจุดนั้นไปอีกนิดเดียว ก็จะเป็น
สะพานยาวที่พาเราข้ามผ่าน Sylvensteinstausee ซึ่งสวยงามมากๆเช่นกัน......จอดรถสิคะ รออะไร ^^ ก่อนถึงสะพานจะมีลานจอดรถ ซึ่งไม่เสียค่าจอดอยู่ค่ะ จอดแล้วก็ลงเดินไปชักภาพ เช่นเคย
ตอนลงไปถ่ายรูปนี่
ลดพัดแบบเย็นชื่นนน...ใจ จนหนาวกันเลยทีเดียว อยากจะเอาถุงมาเก็บอากาศที่นี่กลับบ้านซะจริงๆ
ออกเดินทางต่อ...ขับรถไปเรื่อยๆตามทาง ที่เหมือนวิ่งในหุบเขา สักพักใหญ่ๆ เราก็ต้องตะลึงกับภาพเบื้องหน้าที่ปรากฎต่อสายตาเรา ไม่ได้เจอสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด
"ภาพที่เห็นคือ เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ซึ่งบ้านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียงกันแบบน่ารัก และโอบล้อมด้วยขุนเขาที่มีหิมะปกคลุมบนยอด" สำหรับคนที่ไปต่างประเทศบ่อยๆ อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับกวาง ภาพนั้นมันดูลงตัวทุกอย่างจริงๆ สวยแบบไม่รู้จะบอกยังไง
***จุดนี้ เป็นจุดที่ประทับใจมากที่สุดจุดหนึ่ง จากการมาทริปที่เยอรมันในครั้งนี้ แบบให้เต็ม 10 เลย***
พอขับเข้าเมืองไปอีกหน่อย เราก็หาที่จอด (เสียค่าจอด ถ้าจำไม่ผิด น่าจะ 2€ ) เดินเล่นแป๊บนึง ยิ่
งรู้สึกว่าที่นีน่าอยู่จริงๆ เมืองดูเงียบสงบ (ประมาณชนบทบ้านเรา) และผู้คนก็ดู nice มากๆ เพราะเดินผ่านใคร เค้าก็จะทัก Hallo (Hello) แถมบรรยากาศก็ดีมากๆ เหมาะกับการหนีความวุ่นวายมากๆ
อิ่มอกอิ่มใจในความงามตามธรรมชาติแล้ว จนเวลาล่วงเลยใกล้มืด เราจึงมุ่งหน้าสู่ที่หมายปลายทางของวัน โดยมุ่งสู่เมือง Grainau เพื่อไปยัง Eibsee Hotel ระหว่างทาง เราก็ยังเจอลำธารน้ำสีเขียวใสเป็นระยะๆ เห็นแล้วมันชุ่มชื่นหัวใจทีเดียว
ใช้เวลาเดินทางจาก Wallgau มา Grainau ประมาณ 40 นาที ก็ไปถึงที่หมาย คือ Eibsee Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ติดทะเลสาบ Eibsee นั่นเอง หาไม่ยากเลย
เราเช็คอินเข้าโรงแรม เก็บข้าวของให้เรียบร้อย แล้วก็เริ่มหิว เลยมาดูเมนูอาหารที่โรงแรมคร่าวๆ ราคาค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน เลยชวนกันออกไปหาอะไรกินข้างนอก ขับรถออกมานิดเดียว
หากใครต้องการซื้อของใน supermarket ที่นี่มี Aldi อยู่เป็น Supermarket ที่ของราคาไม่แพงค่ะ ซื้อน้ำ ซื้อเสบียงเบาๆตุนไว้ได้
[CR] ขับรถเที่ยวเยอรมัน "สะกิดเส้นทางในฝัน München-Tegernsee-Wallgau-Grainau"
**นี่เป็นการไปเที่ยวเอง วางแผนกันเอง
**เที่ยวแบบหรูเป็นพักๆ ยาจกเป็นช่วงๆ
**รวบรวม Tip ที่จำเป็นสำหรับคนที่ต้องการเตรียมตัว
เริ่มกันเลยมะ ^^
อิฉันตื่นเต้นค่ะ .... ทำไม ต้องตื่นเต้น น่ะรึ ???
ประการแรก : คือ ไม่เคยขับรถที่ ตปท. และยังไม่รู้ว่ารถที่เช่าเนี่ย จะได้ คือ รถอะไร
ประการที่สอง : เอ่อ เอาตรงๆนะ ก็ยังไม่ถึงกะได้ศึกษาสัญลักษณ์อะไรมากมาย ตรูจะขับรอดไหมละหว่า
ประการที่สาม : ทิศทางทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับพี่ไทยนะจ๊ะ พวงมาลัยซ้ายจ้าาา
แค่ 3 ประการนี้ ก้อกรี๊ดดๆ อยู่ในใจ (แสดงท่าทีมากไม่ได้ เด๋วน้องจะเกร็งไปด้วย)
พอถึงเวลา ก็ไปรับรถที่ศูนย์ SIXT (sixt.com) ในเมือง
**สิ่งที่ต้องเตรียมไปด้วย คือ
- บัตรเครดิตที่ใช้ในการจอง ซึ่งจะยังไม่ตัดเงินทันที แต่จองวงเงินไว้ก่อน
- ใบขับขี่ กวางทำใบขับขี่สากลไปด้วย(ทำจากไทย) และเอาใบขับขี่ ที่ใช้ในไทยไปด้วย คุณเจ้าหน้าที่ดูใบขับขี่สากลแล้วก็ยังดูงงๆ เลยยื่นใบขับขี่ไทยให้ด้วย แกก็โอเค เพราะมันมีรายละเอียดเยอะกว่าในใบขับขี่สากล
หลังจากนั้น พี่เค้าก็พามาที่รถ ที่เราได้ >>>>>>> ขุ่นพระ !!! BMW 218d (Hatchback with sunroof)
กรี๊ดดดๆๆ ในใจ นี่มันรถในฝันเลยนะ BMW น่ะ
#ค่าเช่ารถ จำนวน 5 วัน รวมประกัน รวม GPS ทังสิ้น คิดเป็นเงินไทย 11,966.88 เดินทางกัน 2 คน หารแล้ว ตกคนละ 5,983.44 บาท เฉลี่ยต่อวัน คนละ 1,196.69 บาท
หากถามว่าคุ้มไหม >> ถ้าการเดินทางเป็นแบบเรา 2 คน พูดได้เลยว่าคุ้ม เพราะวิวที่เห็น ไม่สามารถมาได้ด้วยรถสาธารณะ ***ถ้าจะให้ดีหน่อย มากันสัก 3-4 คน ก็จะทำให้ค่ารถเช่าดูจิ๊บจ๊อยไปเลยค่ะ***
หลังจากรับรถ ก็ให้เค้าสอนโน่นนี่นั่นนิดหน่อย จากนั้นก็ออกเดินทางกันเลยจ้าา
#TIP : กรณีเช่ารถขับ ในตอนที่รับรถ ให้ถามเจ้าหน้าที่ให้เรียบร้อย เกี่ยวกับปุ่ม อุปกรณ์ หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับรถ โดยเฉพาะการใช้ GPS เพราะหาก Set GPS ไม่ได้ หรือปรับไม่เป็น ก็จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์นะคะ แล้วก้ออย่าลืมบันทึก เลขไมล์ที่เริ่มต้นขับ ดูน้ำมันว่าเต็มถังหรือไม่ ด้วยจ้าา
#TIP:ก่อนขับรถให้ศึกษาสัญลักษณ์ ที่น่าจะเจอบนท้องถนนที่เยอรมัน ไว้บ้างนะคะ ส่วนใหญ่สัญลักษณ์ที่เราควรจะต้องทำความเข้าใจและจดจำ คือ ป้ายที่จอดรถ ป้ายห้ามจอด ป้ายจำกัดความเร็ว ป้ายห้ามแซง ป้ายคำเตือน ป้ายทางหลัก-ทางรอง**ให้เข้าใจไว้คร่าวๆ ว่าถ้าป้ายเป็น วงกลมสีแดง ส่วนใหญ่คือ ห้าม!!! หากอยู่ในสามเหลี่ยม จะหมายถึงให้ระวัง
http://www.gettingaroundgermany.info/zeichen.shtml อันนี้เป็น website ที่กวางดูข้อมูลคร่าวๆ เพื่อทำความเข้าใจนะคะ ช่วยได้เยอะเหมือนกัน
#TIP :ขับรถที่เยอรมัน ต้องให้ความสำคัญกับป้ายจำกัดความเร็วนะคะ คือ ระบุเท่าไร ก็ต้องพยายามขับไม่เกินนั้นจริงๆ เพราะมีกล้องจับความเร็วตลอด และที่เยอรมันเค้าขับรถมีมารยาทกันมาก หากกำหนดความเร็วเท่าไร เค้าก็ขับกันตามนั้น ไม่มีใครมาบีบแตรใส่หรอกจ้า ขับช้าวิ่งขวาสุดเด้อ หากเจอคนข้ามถนน หรือจักรยานข้ามถนน ต้องหยุดให้เค้าไปก่อนนะคะ (ห้ามติดนิสัยพี่ไทยไปใช้ที่โน่น)
เอาละ ๆๆๆ Go Go Go !!!
จุดแรกที่เราจะไป คือ ไปเยี่ยมชมความพลุกพล่านในเมือง München หรือ Munich ที่เรารู้จักนั่นเอง
ที่นี่ไม่ใช่จุดหมายหลัก แต่เป็นทางผ่าน ก็เลยว่ามาแชะ เชยชม ช้อปปิ้งเบาๆ เพราะเป็นเมืองหลวงของ Bavaria
การขับรถเข้ามาที่ Munich ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรสำหรับเรา ในวันแรก เนื่องจากเป็นเมืองที่มีรถค่อนข้างเยอะ และที่จอดรถหาค่อนข้างยากเลยทีเดียว ถึงจะมี GPS ช่วยนำทาง แต่บางทีความมึนงงก็เกิดขึ้นเช่นกัน สิ่งที่ทำได้ คือ ตั้งสติ จ้าา
#TIP :เมืองใหญ่ๆหรือเมืองท่องเที่ยวในเยอรมัน ส่วนใหญ่จะมีการเก็บค่าที่จอดรถ ขึ้นอยู่กับว่าจอดนานเท่าไร ซึ่งเวลาเราขับรถไปจะต้องตาไวดูให้ดีว่าบริเวณนั้นๆ มีเก็บค่าที่จอดรถหรือไม่ ส่วนใหญ่ถ้ามี จะมีตู้ให้กดซื้อตั๋วใกล้ๆแถวนั้น ไปซื้อตั๋วและวางไว้หน้ารถ สำหรับกรณีมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ หากไปจอดโดยไม่ได้ซื้อตั๋ว หรือซื้อจำนวนชั่วโมงไม่พอ อาจจะต้องค่าปรับบานตะไทกันได้จ้ะ
ปล. สำหรับค่าที่จอดรถใน Munich 2 ชั่วโมง ราคา 5€ (เบา เบา >_<'')
เราใช้เวลาใน Munich ไม่นานมากนัก ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็ขับรถไปต่อ โดยจุดหมายต่อไปเป็นทะเลสาบที่เรียกว่า Tegernsee (see อ่านว่า เซ แปลว่าทะเลสาบ) น้องเล่าให้ฟังว่า สถานที่นี้สวยงามมาก ในอดีตราชินีของเรามักจะมาพักผ่อน ณ สถานที่แห่งนี้บ่อยๆ ได้ฟังแบบนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ไย......ไปกันเถอะเรา
ขับรถตาม GPS ไปประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ผ่านเส้นทางที่สวยงามมากมาย คือ ภูมิประเทศแถบทางใต้ บ้านเรือนจะอยู่บนไหล่เขาซะส่วนใหญ่ สลับกับทุงหญ้า Rapeseed ที่ออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่งเป็นทุ่ง ดูช่างงดงามจริงๆ แต่ไม่อาจแวะถ่ายรูปได้เนื่องจาก ไม่มีสถานที่จอด บางที่เป็นที่จอดแต่ก็ไม่มีทุ่ง T^T
...........และแล้ว เราก็เริ่มวิ่งบนถนนที่ลัดเลาะข้างๆทะเลสาบ มองไป ช่างสวยงามเสียนี่กระไร เราไม่รอช้า มองหาที่จอดรถข้างทางทันที ที่นี่ ค่าจอดรถไม่โหดร้าย เท่าไร 1.5 ชั่วโมง 50 cent เอาล่ะ ไปชื่นชมความงามกันดีกว่า !!!
ทะเลสาบ Tegernsee ค่อนข้างกว้าง จุดที่แวะถ่ายรูปได้ก็จะมีหลายจุดค่ะ สวยๆทั้งนั้นเลย โดยส่วนตัวจุดที่แวะไปชม มีเป็น public park พอดี ซึ่งแวะนั่งชิล (มีเก้าอี้นอน ม้านั่งให้เลือกสรร) เดินเล่น หรือถ้าเป็นคู่รัก ก็มีมุมโรแมนติกหลายมุมทีเดียว บรรยากาศเย็นๆ และน้ำในทะเลสาบก็ใสมากกกก เห็นแล้วก็อิจฉาเจ้านกเป็ดน้ำที่เวียนว่ายไปมาซะเหลือเกิน ที่นี่นกเป็ดน้ำเป็นสัตว์ตามธรรมชาตินะคะ อยู่ได้อิสระ เจอแทบทุกที่ที่มีทะเลสาบ ไม่มีใครจับไปทำลาบ !!!
เรานั่งพักผ่อนหย่อนอารมณ์ที่ Tegernsee ได้ประมาณ เกือบ ชั่วโมงครึ่ง ก็ได้เวลาที่ต้องจรลีจากลา เพื่อเดินทางต่อ เนื่องจากวันนี้ เป้าหมายของเราอยู่ที่เมือง Grainau หากไม่รีบเดินทางเห็นจะค่ำ ดังนั้นจึงตั้ง GPS ไปยังจุดหมายคือ Eibsee Hotel โรงแรมที่แรกในการเที่ยวแบบจริงจัง ตอนแรกเจ้า GPS จะพาไปอีกทาง แต่เราขับเลย ดังนั้นก็เลยได้ไปอีกทาง ซึ่งพูดได้คำเดียวว่า ทางนั้นทำให้เรา #ฟินนน !!! มากจริงๆ
#เส้นทางสายโรแมนติก ฟินเว่อร์ จนต้องร้องกรี๊ดๆ ในใจ#
จาก Tegernsee เราขับตรงไปเรื่อย (ตั้ง GPS ไป Wallgau ก็ได้ค่ะ) ถนนที่เราไปเจอมันจะค่อยๆเล็กลง จน GPS จะให้เราเลี้ยวขวา เข้าทางที่ดูไม่น่าจะเป็นทางหลวงเท่าไร แต่ด้วยความอยากรู้ เราก็ขับไป และเจ้า GPS ก็ให้เราขับข้ามแม่น้ำสายเล็กๆ ซึ่งเมื่อข้ามไปจะเจอป้อม ที่เราต้องซื้อตั๋วผ่านทาง อันนี้ตอนแรกก็งงๆกัน ว่าค่าอะไรหว่า มารู้ทีหลังว่า เราได้ขับรถข้ามไปเหยียบฝั่งออสเตรีย นิดนึง นี่เอง
เส้นทางหลังผ่านป้อมมาเนี่ย จะเป็นถนนเล็กๆ แบบรถ 2 คัน สวนกันได้ไม่คล่องนัก แต่ก็แค่ช่วงเดียว ความลำบากตรงนั้นเนี่ย แทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย เมื่อได้ขับไปเรื่อยๆ และถนนเป็นเส้นทางเลาะเลียบลำธารไปตลาดเส้น "น้ำในลำธารเป็นสีเขียวใส ตัดกับหินเบื้องล่างที่เป็นสีขาวราวกับกองหิมะ (ก็ว่าไป) สวยงามจนไม่อาจหาญจะบรรยายได้ทั้งหมด" ถ้าให้พูดให้เห็นภาพ สีน้ำจะคล้ายในสระมรกตที่กระบี่ บ้านเรา แต่หินบ้านเค้าจะขาวกว่านั่นเอง
ตอนที่ขับที่ถนนเส้นนี้นั้น เราขับไปเรื่อยๆเอื่อย เพื่อเก็บภาพธรรมชาติที่งดงามไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด ขับไปสักพัก ก็จะเจอสะพานๆหนึ่งซึ่งพาเราข้ามเขื่อนที่ชื่อว่า Sylvenstein Dam ซึ่งเป็นเขื่อนในหุบเขา Isar เห็นแล้วอดไม่ได้จริงๆที่จะแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ขับจากจุดนั้นไปอีกนิดเดียว ก็จะเป็น สะพานยาวที่พาเราข้ามผ่าน Sylvensteinstausee ซึ่งสวยงามมากๆเช่นกัน......จอดรถสิคะ รออะไร ^^ ก่อนถึงสะพานจะมีลานจอดรถ ซึ่งไม่เสียค่าจอดอยู่ค่ะ จอดแล้วก็ลงเดินไปชักภาพ เช่นเคย
ตอนลงไปถ่ายรูปนี่ ลดพัดแบบเย็นชื่นนน...ใจ จนหนาวกันเลยทีเดียว อยากจะเอาถุงมาเก็บอากาศที่นี่กลับบ้านซะจริงๆ
ออกเดินทางต่อ...ขับรถไปเรื่อยๆตามทาง ที่เหมือนวิ่งในหุบเขา สักพักใหญ่ๆ เราก็ต้องตะลึงกับภาพเบื้องหน้าที่ปรากฎต่อสายตาเรา ไม่ได้เจอสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด "ภาพที่เห็นคือ เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ซึ่งบ้านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียงกันแบบน่ารัก และโอบล้อมด้วยขุนเขาที่มีหิมะปกคลุมบนยอด" สำหรับคนที่ไปต่างประเทศบ่อยๆ อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับกวาง ภาพนั้นมันดูลงตัวทุกอย่างจริงๆ สวยแบบไม่รู้จะบอกยังไง
***จุดนี้ เป็นจุดที่ประทับใจมากที่สุดจุดหนึ่ง จากการมาทริปที่เยอรมันในครั้งนี้ แบบให้เต็ม 10 เลย***
พอขับเข้าเมืองไปอีกหน่อย เราก็หาที่จอด (เสียค่าจอด ถ้าจำไม่ผิด น่าจะ 2€ ) เดินเล่นแป๊บนึง ยิ่งรู้สึกว่าที่นีน่าอยู่จริงๆ เมืองดูเงียบสงบ (ประมาณชนบทบ้านเรา) และผู้คนก็ดู nice มากๆ เพราะเดินผ่านใคร เค้าก็จะทัก Hallo (Hello) แถมบรรยากาศก็ดีมากๆ เหมาะกับการหนีความวุ่นวายมากๆ
อิ่มอกอิ่มใจในความงามตามธรรมชาติแล้ว จนเวลาล่วงเลยใกล้มืด เราจึงมุ่งหน้าสู่ที่หมายปลายทางของวัน โดยมุ่งสู่เมือง Grainau เพื่อไปยัง Eibsee Hotel ระหว่างทาง เราก็ยังเจอลำธารน้ำสีเขียวใสเป็นระยะๆ เห็นแล้วมันชุ่มชื่นหัวใจทีเดียว ใช้เวลาเดินทางจาก Wallgau มา Grainau ประมาณ 40 นาที ก็ไปถึงที่หมาย คือ Eibsee Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ติดทะเลสาบ Eibsee นั่นเอง หาไม่ยากเลย
เราเช็คอินเข้าโรงแรม เก็บข้าวของให้เรียบร้อย แล้วก็เริ่มหิว เลยมาดูเมนูอาหารที่โรงแรมคร่าวๆ ราคาค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน เลยชวนกันออกไปหาอะไรกินข้างนอก ขับรถออกมานิดเดียว หากใครต้องการซื้อของใน supermarket ที่นี่มี Aldi อยู่เป็น Supermarket ที่ของราคาไม่แพงค่ะ ซื้อน้ำ ซื้อเสบียงเบาๆตุนไว้ได้