ความเดิมตอนที่แล้ว..
ผมได้เห็นลานรกร้างแห่งหนึ่ง ตรงลานนั้นมีบ้านไม้หลังหนึ่ง..ข้างๆ บ้านหลังนั้น ต้นตาลต้นหนึ่งสูงตระหง่านขึ้นมา
“บรรยากาศแบบนี้..เป๊ะเลย” เพื่อนผมอีกคนพูดขึ้น แล้วมันก็หยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมาเสิร์ชหาคลิปหนึ่งใน YouTube แล้วชูขึ้นมาตรงหน้าผม ทำให้ผมได้เห็นคลิปในนั้นกำลังเล่นอยู่ข้างๆ ต้นตาลพอดี..
นั่นแหละครับ.. คลิปนั้นคือไตเติ้ลเพลงเปิดละคร “เปรตวัดสุทัศน์” ซึ่งมันกดหยุดตรงฉากที่แสงจากฟ้าแลบ เผยให้เห็นร่างชองเปรตที่ยืนอยู่หลังต้นตาลพอดี..
“ตอนเด็กๆ เคยดูมั้ย?”
................................................................................................................................................................................
“เฮ้ย! อย่าทำเป็นปากดีไป เห็นบ้านไม้นี้มั้ย?”
“ญาติทางแม่กูคนนึงเขาเสียบนบ้านหลังนี้เลย ทุกวันนี้วันดีคืนดี ใครผ่านมาทางนี้ยังเห็นเขาเดินไปเดินมาในบ้านอยู่เลย ขนลุกกันเป็นแถบ”
“อ่ะเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ต้องโดนรับน้องแล้วล่ะมั้ง..ปลายปีที่แล้วอ่ะไม่ได้มากับพวกกู หลังกลับจากภูทับเบิกก็แวะมานี่ ตอนดึกๆ กูนั่งแกะกุ้งผ่าปลาหมึกตรงหัวบันไดนู่น ขนาดกูไม่เจอแบบนะ นั่งๆ ไปนี่ยังขนลุกเลย เซนส์ดีอย่างอ่ะแหละต้องมาผ่าปลาหมึกแทนพวกกู 55555”
................................................................................................................................................................................
“งั้นกูไปทั้ง 2 รอบก็ได้” เพื่อนของผมคนหนึ่งเสนอตัวขึ้น ซึ่งทุกคนก็โอเค เพราะเจ้าคนนี้ทั้งกลุ่มยอมรับว่า มันมีความเป็นผู้ใหญ่สุด นั่นทำให้มันสามารถคุมสติตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นได้ดีกว่าใคร จากอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่เราประสบมาด้วยกันแล้วมันคนนี้แหละ ที่ช่วยเหลือทุกคนในกลุ่ม ณ ตอนนั้น
................................................................................................................................................................................
“คลองนั้นน่ะ เมื่อก่อนมันเป็นคลองที่พวกทำแท้ง หรือพวกวัยรุ่นท้องวัยเรียนมันคลอดแล้วเอาเด็กมาทิ้งคลอง หลายสิบศพอยู่ หรือบางทีมีฆ่าหั่นศพก็เอามาถ่วงน้ำในคลองนี้แหละ”
เมื่อปลายปีที่แล้วที่พวกเพื่อนๆ ของผมไปเที่ยวภูทับเบิก..แต่ผมไม่ได้ไปด้วย
“ปลายปีที่แล้วที่พวกกูมากัน น้องกูเจอขึ้นมาจากน้ำมากวักมือเรียกให้ไปอยู่ด้วย”
................................................................................................................................................................................
1 ปีก่อนหน้า..
เสียงพลุเฉลิมฉลองวินาทีแห่งปีใหม่ที่เข้ามายังคงดังกึกก้องไปทั่วหาด ทำให้ผมต้องเดินหลบมาเพื่อรับโทรศัพท์สายหนึ่งที่ผมคิดว่าคงเป็นเพื่อนซักคนที่โทรเข้ามาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่เหมือนปีที่แล้วๆ มา..
“เฮ้ย! อยู่ไหนวะ?” เสียงจากปลายสายดังขึ้น เป็นเสียงจากเพื่อนคนที่สนิทกับผมที่สุด ซึ่งโทรมาเป็นสายแรกของวินาทีแห่งปีใหม่
“กูอยู่ระยอง..กูมากับที่บ้าน” ผมเข้าใจว่าช่วงเวลาปีใหม่แบบนี้ ใครก็คงอยากเป็นคนสำคัญโดยการเป็นสายแรกของใครซักคน..แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำเสียงมันฟังดูลุกลี้ลุกลนขนาดนั้น เพราะมันน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมไม่เคยซีเรียสว่าใครจะโทรมาเป็นสายแรกของปีใหม่ หรือวันสำคัญ อันที่จริง..ไม่มีใครโทรมาเลยก็ไม่ซีเรียส
“เออ..อย่างแรกเลย..” จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงมันหันไปซุบซิบกับเพื่อนก่อนที่จะเริ่มนับจังหวะให้สัญญาณ 1..2..3.. “สวัสดีปีใหม่เว้ย!!” เพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่อยู่กับมันตะโกนเข้าสายมาอย่างพร้อมเพรียง ผมยิ้มเบาๆ ที่อย่างน้อยเกือบ 10 ปีที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เราไม่เคยทิ้ง ไม่เคยลืมกันจริงๆ
“เออๆ ..สวัสดีปีใหม่เช่นกัน..แล้วภูทับเบิกเป็นไงบ้างล่ะ เอาจริงๆ กูอยากไปกับพวกนะ” ผมยังติดใจเรื่องที่มันเปิดมาด้วยเสียงลุกลนไม่หาย จึงถามไปเผื่อว่ามันจะเล่าอะไรบ้าง
“นั่นแหละที่กุจะบอก..ไม่มาแหละดีแล้ว ..ทั้งเปียก ทั้งแผล.. คือ.. พวกกูเกือบจมน้ำตาย” ความเย็นจากการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะหลั่งไหลตั้งแต่กลางกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า
“จริงป่ะเนี่ย..แล้วพวกไปทำอิท่าไหน?” ผมตอบกลับไปด้วยความลุกลนที่เกิดในใจบ้าง
“พวกกูพลาดเองแหละ เมื่อตอนกลางวันพวกกูขับรถไปเรื่อยๆ แล้วไปเจอแม่น้ำ..คือมองเผินๆ มันเหมือนไหลนิ่งๆ ไง แล้วพวกกู
เล่นรถไฟ..ไอ้ที่นั่งแล้วเอาขาเกาะคนข้างหน้านั่นแหละ พอลงไปเท่านั้นแหละ” ผมเข้าใจทันทีเลยอย่างที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่หลายๆ คนเคยเตือนไว้กับความจริงของ ‘น้ำนิ่งไหลลึก’ เพราะใต้น้ำนั่นเต็มไปด้วยโขดหินที่เรียงตัวกัน แล้วเมื่อกระแสน้ำไหลผ่านก็จะทำให้เกิดวังน้ำวนคอยดูดคนลงไปเบื้องล่าง
“แต่ตอนนี้พวกกูไม่เป็นไรละ อยู่รอดปลอดภัยกันทุกคน แค่นี้แหละ เอาไว้ปีใหม่ค่อยเจอกัน” ผมบอกลาเพื่อนโดยการอวยพรให้เดินทางกลับดีๆ แต่อีกใจนึงก็นึกถึงตลกร้ายที่สุดในชีวิต
“ถ้าพวกมันตายแล้วไม่รู้ตัวล่ะวะ?”
ก็แล้วไงล่ะ..ชีวิตนี้เจอเป็นเรื่องปกติ รอบนี้เป็นเพื่อนตัวเอง เดี๋ยวเชิญเข้าบ้านให้หมด ฮ่าๆๆๆ
................................................................................................................................................................................
5 วันต่อมา..
กรุ๊ปไลน์ของผมปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้น ซึ่งข้อความนั้นทำให้ผมแปลกใจจากการที่อยู่ๆ ผองเพื่อนก็มีการ ‘ชวนไปทำบุญ’ ทั้งที่ปกติถ้าไม่ไปทำบุญแล้วเดินเที่ยวงานวัดต่อ ก็จะไม่ไปเด็ดขาด ด้วยเหตุผลง่ายๆ..เพราะมันไม่สนุก
“อยู่ๆ ชวนไปทำบุญ..มาแปลกจังนะ” ผมทักไปด้วยความนึกตลกแบบแปลกใจ
“ไม่ต้องไปก็ได้ พวกกูโดนมา มันไม่เกี่ยวกะ ไว้โอกาสหน้าละกันของอ่ะ” นี่ยิ่งแปลกไปใหญ่..
อะไรทำให้พวกมันต้องรีบยกโขยงไปทำบุญขนาดนั้น..อะไรที่อันตรายถึงขนาดทำให้มันต้องกีดกันผมออกไปแบบนี้ ด้วยความที่ปกติ สมัยมัธยมผมมักจะเป็นคนที่ถูกเพื่อนๆ ในกลุ่มรุมแซว รุมล้อ รุมแกล้งประจำ ด้วยความที่ผมดูเป็นพวกหน้าอ่อน ทำอะไรก็ยิ่งดูตลกมากกว่าน่าสงสาร
ความอยากรู้อยากเห็นที่มาจุกอยู่เต็มลำคอของผมได้รับการสนองเร็วกว่าที่คิด เย็นนั้นพวกเรานัดกินแมคโดนัลด์ สแตนอโลนด์ สาขาหนึ่ง
พวกเราเริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์วินาทีเฉียดตายกัน เพราะไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ไปตะลอนภูทับเบิก-ชัยภูมิกับพวกมันแล้วจะไม่ได้พบเจอเหตุการณ์เฉียดตาย โดย 1 เดือนก่อนหน้า ระหว่างเดินทางโดยรถไฟไปถ่ายภาพนิ่งส่งเป็นการบ้านวิชาถ่ายภาพของมหาวิทยาลัยที่ตำบลมหาชัย ผมประสบอุบัติเหตุโบกี้สุดท้ายของขบวนตกราง ทายสิว่าผมอยู่โบกี้ไหน..ก็โบกี้สุดท้ายน่ะแหละ
ส่วนอุบัติเหตุทางพวกมัน..ผมรู้แล้วว่ามันเล่นกันไม่ดูตาเรือตาน้ำ เลยเกือบโดนดูดลงไป แต่สิ่งที่ผมอยากรู้จริงๆ คือ..หลังจากนั้นต่างหาก พวกมันเจออะไรถึงต้องรีบรวมตัวกันไปทำบุญ
................................................................................................................................................................................
2 วันก่อนหน้า
ผมไปบ้านเพื่อนหลังหนึ่ง เจ้าคนนี้เป็นเพื่อนวัยมัธยมที่สนิทกันไม่แพ้คนที่โทรมาหาตอนปีใหม่เลย ซึ่งมันก็เป็น 1 ในก๊วนที่จมน้ำต้อนรับปีใหม่ ผมมักจะไปบ้านมันอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้จะเคยโดนเจ้าที่บ้านมันเหยียบกลางอกระหว่างนอนกลางวัน หรือปิดประตูไล่หลังทั้งที่ในตัวบ้านมันอับทิศทางลมพัดอยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นออกไป..ผมว่าบ้านมันอยู่สบายที่สุด
อย่างหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ..บ้านเพื่อนผมคนนี้มีเจ้าที่ 1 องค์ กุมารอีก 1 ซึ่งไม่มีเจ้าที่ที่เป็นผู้หญิงเลย..แต่วันนั้นผมกลับจับสัมผัสได้ว่า..มีผู้หญิงอยู่ในบ้านมัน ทั้งๆ ที่พ่อแม่มันไปต่างจังหวัด ส่วนแฟนน่ะเหรอ..ไม่ต้องพูดถึง
“เฮ้ย..เจ้าที่บ้านมีผู้หญิงด้วยเหรอวะ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ
“ก็ไม่มีนิ..รู้สึกได้เหรอ?” มันถามกลับด้วยความเคยชินที่ผมมักจะโดนทั้งมันทั้งเจ้าที่แกล้งอยู่เสมอ -*-
“ใช่..แล้ว..กูก็ไม่ได้รู้สึกว่า เขาเป็นเจ้าที่ แบบเดียวกับที่เจ้าที่บ้านเป็น..หรือบางที อาจจะเป็นใครก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ”
การทักถึงสิ่งลี้ลับบ้านของผมกลายเป็นคำเตือนที่ถูกส่งต่อไปในหมู่เพื่อนโดยไม่อาศัยกรุ๊ปไลน์เพราะกลัวผมจะแตกตื่น..อะไรทำนองนั้น แต่หญิงสาวปริศนากลางดงเจ้าที่ในบ้านเพื่อนผมน่ะมันเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยเมื่อผมได้ฟังสิ่งที่เพื่อนของผมอีกคนกำลังจะเล่าหลังจากเรื่องนี้..
................................................................................................................................................................................
1 วันต่อมา
หลังจากที่เพื่อนของผมได้รู้จากผมว่ามีสิ่งแปลกปลอมในบ้านที่ไม่ใช่เจ้าที่..
โทรศัพท์สายหนึ่งดังขึ้น เพื่อนร่างยักษ์ของผมที่มีน้ำหนักร่วมร้อยโลเพิ่งกลับจากธุระที่ต้องไปจัดการให้กับทางบ้านรับสายโทรศัพท์นั้นก็ต้องรับมือกับคำถามที่ประดังรัวมาจากปลายสาย
“ช่วงปีใหม่เอารถไปทำอะไรมา!?” เจ้าตัวถึงกับงงรับประทานเมื่อในใจสังหรณ์ได้ถึงคราวเคราะห์บางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา ทั้งที่พวกเราตัดสินใจที่จะปิดปากเงียบเพราะกลัวว่าถ้าเล่าให้ผู้ใหญ่ทางบ้านฟังแล้วอาจจะถูกสั่งแบนทั้งกลุ่มว่าห้ามไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือที่ไหนด้วยกันอีกจากการเล่นอะไรแผลงๆ อย่างกระโจนใส่น้ำนิ่งไหลลึก
“เปล่านิ..ทำไมล่ะพี่?” มันยังพยายามกลบเกลื่อนพี่สาวจากปลายสาย
“จะไม่ทำอะไรได้ไง ทั้งพี่ทั้งพี่สาวอีกคนก็เจอ” ปลายสายเริ่มต้องการเค้นความจริง “เมื่อคืนมีหมอดูมาทักพี่ ว่าไปก่อเรื่องอะไรไว้ที่ชัยภูมิ เขาถึงตามกลับบ้านมารังควาน แล้วคนอื่นในบ้านก็โดนไปด้วย”
“แล้วพี่เจอยังไง?” เพื่อนร่างยักษ์ของผมเริ่มคุมสติตัวเองได้แล้วค่อยๆ ถามพี่สาวกลับอย่างค่อยเป็นค่อยไป พยายามใจเย็นๆ ที่สุด
“เมื่อกี๊พี่ไปส่งของมา..แล้วขากลับ พี่เห็นเหมือนเป็นศพคนอยู่ท้ายรถ เป็นศพแบบที่มีผ้าห่อไว้” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถ้าเป็นใครฟังก็คงอดหน้าชาขนลุกเกรียวกราวทั้งตัวไม่ได้
“แล้วเจ๊อีกคนเจอยังไง?” เพื่อนผมถามต่อ
“ศพห่อผ้าเหมือนเดิมน่ะแหละ แต่..”
“แต่อะไรพี่?”
“มันออกจากรถแล้วกระโดดมาเรื่อยๆ..มันจะเข้าบ้าน”
................................................................................................................................................................................
“นั่นแหละ..พวกกูเลยยอมบอกความจริงกับที่บ้านไปว่าตอนไปภูทับเบิกเราโดนอะไรมา” เพื่อนร่างยักษ์ของผมยังคงเล่าต่อ.. “เรื่องแบบนี้อ่ะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แล้วจริงๆ ตอนนั้นหลังจากที่พวกกูขึ้นมาจากน้ำแล้ว เพื่อนกูที่ม.คนนึงมันก็เพิ่งโทรมาเตือน..แต่ไม่ทันละ พวกกูจมน้ำกันไปเรียบร้อย”
“เตือนว่าอะไรวะ?” ผมถามเพื่อพยายามให้มันเล่าต่อ
“มันบอกว่าคืนก่อนน่ะ..หมายถึง คืนก่อนที่พวกเราจะจมน้ำกัน มันฝันว่าพวกเราน่ะ ลงไปเล่นน้ำในบึงแห่งหนึ่ง..ในฝันนั้นมีด้วยนะ” มันบอกว่าในฝันนั่นพวกมันลงไปเล่นน้ำในบึง แล้วดันมีผมอยู่ด้วย ผมเริ่มนึกตาม.. ถ้าการกระทำมันคือสิ่งที่จะทำให้เกิดผลต่อๆ มา งั้นบึงนั้นก็คงหมายความว่า..
“มันบอกว่ามันเห็นภาพพวกเราลงไปเล่นเก็บเหรียญทองที่ก้นบึง เหรียญทองแบบ..เอาไปขายคงรวยแน่ๆ อ่ะ เลยลงไปเก็บ แต่ที่ก้นบึงนั้นอ่ะ มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ แขนยาวๆ ยื่นออกมา ทำท่าจะดึงพวกเราลงไป” ผมเลยบอกไปว่า..
“อ๋อ..ไม่มีกูก็คงแปลกละ..กูว่าปลายปีที่แล้วที่ผ่านมาพวกเรา
ฟาดเคราะห์กันหมด แต่กูอ่ะโดนก่อน..คือถ้าอ่านข่าวในเว็บมันจะมีอยู่ข่าวนึงที่ว่ารถไฟไปมหาชัยตกราง..กูนี่แหละ อยู่โบกี้ท้ายสุดที่มันหลุดออกจากราง เฉียดไปเลยไงกู” เท่านั้นล่ะครับ เพื่อนร่างยักษ์ของผมนี่ถึงบางอ้อเลย
“แต่เรื่อง
ไม่ได้จบแค่แม่น้ำนั้นอ่ะดิ..”
นัด..เล่า..หลอน
ผมได้เห็นลานรกร้างแห่งหนึ่ง ตรงลานนั้นมีบ้านไม้หลังหนึ่ง..ข้างๆ บ้านหลังนั้น ต้นตาลต้นหนึ่งสูงตระหง่านขึ้นมา
“บรรยากาศแบบนี้..เป๊ะเลย” เพื่อนผมอีกคนพูดขึ้น แล้วมันก็หยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมาเสิร์ชหาคลิปหนึ่งใน YouTube แล้วชูขึ้นมาตรงหน้าผม ทำให้ผมได้เห็นคลิปในนั้นกำลังเล่นอยู่ข้างๆ ต้นตาลพอดี..
นั่นแหละครับ.. คลิปนั้นคือไตเติ้ลเพลงเปิดละคร “เปรตวัดสุทัศน์” ซึ่งมันกดหยุดตรงฉากที่แสงจากฟ้าแลบ เผยให้เห็นร่างชองเปรตที่ยืนอยู่หลังต้นตาลพอดี..
“ตอนเด็กๆ เคยดูมั้ย?”
................................................................................................................................................................................
“เฮ้ย! อย่าทำเป็นปากดีไป เห็นบ้านไม้นี้มั้ย?”
“ญาติทางแม่กูคนนึงเขาเสียบนบ้านหลังนี้เลย ทุกวันนี้วันดีคืนดี ใครผ่านมาทางนี้ยังเห็นเขาเดินไปเดินมาในบ้านอยู่เลย ขนลุกกันเป็นแถบ”
“อ่ะเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ต้องโดนรับน้องแล้วล่ะมั้ง..ปลายปีที่แล้วอ่ะไม่ได้มากับพวกกู หลังกลับจากภูทับเบิกก็แวะมานี่ ตอนดึกๆ กูนั่งแกะกุ้งผ่าปลาหมึกตรงหัวบันไดนู่น ขนาดกูไม่เจอแบบนะ นั่งๆ ไปนี่ยังขนลุกเลย เซนส์ดีอย่างอ่ะแหละต้องมาผ่าปลาหมึกแทนพวกกู 55555”
................................................................................................................................................................................
“งั้นกูไปทั้ง 2 รอบก็ได้” เพื่อนของผมคนหนึ่งเสนอตัวขึ้น ซึ่งทุกคนก็โอเค เพราะเจ้าคนนี้ทั้งกลุ่มยอมรับว่า มันมีความเป็นผู้ใหญ่สุด นั่นทำให้มันสามารถคุมสติตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นได้ดีกว่าใคร จากอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่เราประสบมาด้วยกันแล้วมันคนนี้แหละ ที่ช่วยเหลือทุกคนในกลุ่ม ณ ตอนนั้น
“คลองนั้นน่ะ เมื่อก่อนมันเป็นคลองที่พวกทำแท้ง หรือพวกวัยรุ่นท้องวัยเรียนมันคลอดแล้วเอาเด็กมาทิ้งคลอง หลายสิบศพอยู่ หรือบางทีมีฆ่าหั่นศพก็เอามาถ่วงน้ำในคลองนี้แหละ”
เมื่อปลายปีที่แล้วที่พวกเพื่อนๆ ของผมไปเที่ยวภูทับเบิก..แต่ผมไม่ได้ไปด้วย
1 ปีก่อนหน้า..
เสียงพลุเฉลิมฉลองวินาทีแห่งปีใหม่ที่เข้ามายังคงดังกึกก้องไปทั่วหาด ทำให้ผมต้องเดินหลบมาเพื่อรับโทรศัพท์สายหนึ่งที่ผมคิดว่าคงเป็นเพื่อนซักคนที่โทรเข้ามาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่เหมือนปีที่แล้วๆ มา..
“เฮ้ย! อยู่ไหนวะ?” เสียงจากปลายสายดังขึ้น เป็นเสียงจากเพื่อนคนที่สนิทกับผมที่สุด ซึ่งโทรมาเป็นสายแรกของวินาทีแห่งปีใหม่
“กูอยู่ระยอง..กูมากับที่บ้าน” ผมเข้าใจว่าช่วงเวลาปีใหม่แบบนี้ ใครก็คงอยากเป็นคนสำคัญโดยการเป็นสายแรกของใครซักคน..แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำเสียงมันฟังดูลุกลี้ลุกลนขนาดนั้น เพราะมันน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมไม่เคยซีเรียสว่าใครจะโทรมาเป็นสายแรกของปีใหม่ หรือวันสำคัญ อันที่จริง..ไม่มีใครโทรมาเลยก็ไม่ซีเรียส
“เออ..อย่างแรกเลย..” จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงมันหันไปซุบซิบกับเพื่อนก่อนที่จะเริ่มนับจังหวะให้สัญญาณ 1..2..3.. “สวัสดีปีใหม่เว้ย!!” เพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่อยู่กับมันตะโกนเข้าสายมาอย่างพร้อมเพรียง ผมยิ้มเบาๆ ที่อย่างน้อยเกือบ 10 ปีที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เราไม่เคยทิ้ง ไม่เคยลืมกันจริงๆ
“เออๆ ..สวัสดีปีใหม่เช่นกัน..แล้วภูทับเบิกเป็นไงบ้างล่ะ เอาจริงๆ กูอยากไปกับพวกนะ” ผมยังติดใจเรื่องที่มันเปิดมาด้วยเสียงลุกลนไม่หาย จึงถามไปเผื่อว่ามันจะเล่าอะไรบ้าง
“นั่นแหละที่กุจะบอก..ไม่มาแหละดีแล้ว ..ทั้งเปียก ทั้งแผล.. คือ.. พวกกูเกือบจมน้ำตาย” ความเย็นจากการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะหลั่งไหลตั้งแต่กลางกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า
“จริงป่ะเนี่ย..แล้วพวกไปทำอิท่าไหน?” ผมตอบกลับไปด้วยความลุกลนที่เกิดในใจบ้าง
“พวกกูพลาดเองแหละ เมื่อตอนกลางวันพวกกูขับรถไปเรื่อยๆ แล้วไปเจอแม่น้ำ..คือมองเผินๆ มันเหมือนไหลนิ่งๆ ไง แล้วพวกกูเล่นรถไฟ..ไอ้ที่นั่งแล้วเอาขาเกาะคนข้างหน้านั่นแหละ พอลงไปเท่านั้นแหละ” ผมเข้าใจทันทีเลยอย่างที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่หลายๆ คนเคยเตือนไว้กับความจริงของ ‘น้ำนิ่งไหลลึก’ เพราะใต้น้ำนั่นเต็มไปด้วยโขดหินที่เรียงตัวกัน แล้วเมื่อกระแสน้ำไหลผ่านก็จะทำให้เกิดวังน้ำวนคอยดูดคนลงไปเบื้องล่าง
“แต่ตอนนี้พวกกูไม่เป็นไรละ อยู่รอดปลอดภัยกันทุกคน แค่นี้แหละ เอาไว้ปีใหม่ค่อยเจอกัน” ผมบอกลาเพื่อนโดยการอวยพรให้เดินทางกลับดีๆ แต่อีกใจนึงก็นึกถึงตลกร้ายที่สุดในชีวิต
ก็แล้วไงล่ะ..ชีวิตนี้เจอเป็นเรื่องปกติ รอบนี้เป็นเพื่อนตัวเอง เดี๋ยวเชิญเข้าบ้านให้หมด ฮ่าๆๆๆ
5 วันต่อมา..
กรุ๊ปไลน์ของผมปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้น ซึ่งข้อความนั้นทำให้ผมแปลกใจจากการที่อยู่ๆ ผองเพื่อนก็มีการ ‘ชวนไปทำบุญ’ ทั้งที่ปกติถ้าไม่ไปทำบุญแล้วเดินเที่ยวงานวัดต่อ ก็จะไม่ไปเด็ดขาด ด้วยเหตุผลง่ายๆ..เพราะมันไม่สนุก
“อยู่ๆ ชวนไปทำบุญ..มาแปลกจังนะ” ผมทักไปด้วยความนึกตลกแบบแปลกใจ
“ไม่ต้องไปก็ได้ พวกกูโดนมา มันไม่เกี่ยวกะ ไว้โอกาสหน้าละกันของอ่ะ” นี่ยิ่งแปลกไปใหญ่..
อะไรทำให้พวกมันต้องรีบยกโขยงไปทำบุญขนาดนั้น..อะไรที่อันตรายถึงขนาดทำให้มันต้องกีดกันผมออกไปแบบนี้ ด้วยความที่ปกติ สมัยมัธยมผมมักจะเป็นคนที่ถูกเพื่อนๆ ในกลุ่มรุมแซว รุมล้อ รุมแกล้งประจำ ด้วยความที่ผมดูเป็นพวกหน้าอ่อน ทำอะไรก็ยิ่งดูตลกมากกว่าน่าสงสาร
ความอยากรู้อยากเห็นที่มาจุกอยู่เต็มลำคอของผมได้รับการสนองเร็วกว่าที่คิด เย็นนั้นพวกเรานัดกินแมคโดนัลด์ สแตนอโลนด์ สาขาหนึ่ง
พวกเราเริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์วินาทีเฉียดตายกัน เพราะไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ไปตะลอนภูทับเบิก-ชัยภูมิกับพวกมันแล้วจะไม่ได้พบเจอเหตุการณ์เฉียดตาย โดย 1 เดือนก่อนหน้า ระหว่างเดินทางโดยรถไฟไปถ่ายภาพนิ่งส่งเป็นการบ้านวิชาถ่ายภาพของมหาวิทยาลัยที่ตำบลมหาชัย ผมประสบอุบัติเหตุโบกี้สุดท้ายของขบวนตกราง ทายสิว่าผมอยู่โบกี้ไหน..ก็โบกี้สุดท้ายน่ะแหละ
ส่วนอุบัติเหตุทางพวกมัน..ผมรู้แล้วว่ามันเล่นกันไม่ดูตาเรือตาน้ำ เลยเกือบโดนดูดลงไป แต่สิ่งที่ผมอยากรู้จริงๆ คือ..หลังจากนั้นต่างหาก พวกมันเจออะไรถึงต้องรีบรวมตัวกันไปทำบุญ
2 วันก่อนหน้า
ผมไปบ้านเพื่อนหลังหนึ่ง เจ้าคนนี้เป็นเพื่อนวัยมัธยมที่สนิทกันไม่แพ้คนที่โทรมาหาตอนปีใหม่เลย ซึ่งมันก็เป็น 1 ในก๊วนที่จมน้ำต้อนรับปีใหม่ ผมมักจะไปบ้านมันอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้จะเคยโดนเจ้าที่บ้านมันเหยียบกลางอกระหว่างนอนกลางวัน หรือปิดประตูไล่หลังทั้งที่ในตัวบ้านมันอับทิศทางลมพัดอยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นออกไป..ผมว่าบ้านมันอยู่สบายที่สุด
อย่างหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ..บ้านเพื่อนผมคนนี้มีเจ้าที่ 1 องค์ กุมารอีก 1 ซึ่งไม่มีเจ้าที่ที่เป็นผู้หญิงเลย..แต่วันนั้นผมกลับจับสัมผัสได้ว่า..มีผู้หญิงอยู่ในบ้านมัน ทั้งๆ ที่พ่อแม่มันไปต่างจังหวัด ส่วนแฟนน่ะเหรอ..ไม่ต้องพูดถึง
“เฮ้ย..เจ้าที่บ้านมีผู้หญิงด้วยเหรอวะ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ
“ก็ไม่มีนิ..รู้สึกได้เหรอ?” มันถามกลับด้วยความเคยชินที่ผมมักจะโดนทั้งมันทั้งเจ้าที่แกล้งอยู่เสมอ -*-
“ใช่..แล้ว..กูก็ไม่ได้รู้สึกว่า เขาเป็นเจ้าที่ แบบเดียวกับที่เจ้าที่บ้านเป็น..หรือบางที อาจจะเป็นใครก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ”
การทักถึงสิ่งลี้ลับบ้านของผมกลายเป็นคำเตือนที่ถูกส่งต่อไปในหมู่เพื่อนโดยไม่อาศัยกรุ๊ปไลน์เพราะกลัวผมจะแตกตื่น..อะไรทำนองนั้น แต่หญิงสาวปริศนากลางดงเจ้าที่ในบ้านเพื่อนผมน่ะมันเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยเมื่อผมได้ฟังสิ่งที่เพื่อนของผมอีกคนกำลังจะเล่าหลังจากเรื่องนี้..
1 วันต่อมา
หลังจากที่เพื่อนของผมได้รู้จากผมว่ามีสิ่งแปลกปลอมในบ้านที่ไม่ใช่เจ้าที่..
โทรศัพท์สายหนึ่งดังขึ้น เพื่อนร่างยักษ์ของผมที่มีน้ำหนักร่วมร้อยโลเพิ่งกลับจากธุระที่ต้องไปจัดการให้กับทางบ้านรับสายโทรศัพท์นั้นก็ต้องรับมือกับคำถามที่ประดังรัวมาจากปลายสาย
“ช่วงปีใหม่เอารถไปทำอะไรมา!?” เจ้าตัวถึงกับงงรับประทานเมื่อในใจสังหรณ์ได้ถึงคราวเคราะห์บางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา ทั้งที่พวกเราตัดสินใจที่จะปิดปากเงียบเพราะกลัวว่าถ้าเล่าให้ผู้ใหญ่ทางบ้านฟังแล้วอาจจะถูกสั่งแบนทั้งกลุ่มว่าห้ามไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือที่ไหนด้วยกันอีกจากการเล่นอะไรแผลงๆ อย่างกระโจนใส่น้ำนิ่งไหลลึก
“เปล่านิ..ทำไมล่ะพี่?” มันยังพยายามกลบเกลื่อนพี่สาวจากปลายสาย
“จะไม่ทำอะไรได้ไง ทั้งพี่ทั้งพี่สาวอีกคนก็เจอ” ปลายสายเริ่มต้องการเค้นความจริง “เมื่อคืนมีหมอดูมาทักพี่ ว่าไปก่อเรื่องอะไรไว้ที่ชัยภูมิ เขาถึงตามกลับบ้านมารังควาน แล้วคนอื่นในบ้านก็โดนไปด้วย”
“แล้วพี่เจอยังไง?” เพื่อนร่างยักษ์ของผมเริ่มคุมสติตัวเองได้แล้วค่อยๆ ถามพี่สาวกลับอย่างค่อยเป็นค่อยไป พยายามใจเย็นๆ ที่สุด
“เมื่อกี๊พี่ไปส่งของมา..แล้วขากลับ พี่เห็นเหมือนเป็นศพคนอยู่ท้ายรถ เป็นศพแบบที่มีผ้าห่อไว้” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถ้าเป็นใครฟังก็คงอดหน้าชาขนลุกเกรียวกราวทั้งตัวไม่ได้
“แล้วเจ๊อีกคนเจอยังไง?” เพื่อนผมถามต่อ
“ศพห่อผ้าเหมือนเดิมน่ะแหละ แต่..”
“แต่อะไรพี่?”
“มันออกจากรถแล้วกระโดดมาเรื่อยๆ..มันจะเข้าบ้าน”
“นั่นแหละ..พวกกูเลยยอมบอกความจริงกับที่บ้านไปว่าตอนไปภูทับเบิกเราโดนอะไรมา” เพื่อนร่างยักษ์ของผมยังคงเล่าต่อ.. “เรื่องแบบนี้อ่ะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แล้วจริงๆ ตอนนั้นหลังจากที่พวกกูขึ้นมาจากน้ำแล้ว เพื่อนกูที่ม.คนนึงมันก็เพิ่งโทรมาเตือน..แต่ไม่ทันละ พวกกูจมน้ำกันไปเรียบร้อย”
“เตือนว่าอะไรวะ?” ผมถามเพื่อพยายามให้มันเล่าต่อ
“มันบอกว่าคืนก่อนน่ะ..หมายถึง คืนก่อนที่พวกเราจะจมน้ำกัน มันฝันว่าพวกเราน่ะ ลงไปเล่นน้ำในบึงแห่งหนึ่ง..ในฝันนั้นมีด้วยนะ” มันบอกว่าในฝันนั่นพวกมันลงไปเล่นน้ำในบึง แล้วดันมีผมอยู่ด้วย ผมเริ่มนึกตาม.. ถ้าการกระทำมันคือสิ่งที่จะทำให้เกิดผลต่อๆ มา งั้นบึงนั้นก็คงหมายความว่า..
“มันบอกว่ามันเห็นภาพพวกเราลงไปเล่นเก็บเหรียญทองที่ก้นบึง เหรียญทองแบบ..เอาไปขายคงรวยแน่ๆ อ่ะ เลยลงไปเก็บ แต่ที่ก้นบึงนั้นอ่ะ มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ แขนยาวๆ ยื่นออกมา ทำท่าจะดึงพวกเราลงไป” ผมเลยบอกไปว่า..
“อ๋อ..ไม่มีกูก็คงแปลกละ..กูว่าปลายปีที่แล้วที่ผ่านมาพวกเราฟาดเคราะห์กันหมด แต่กูอ่ะโดนก่อน..คือถ้าอ่านข่าวในเว็บมันจะมีอยู่ข่าวนึงที่ว่ารถไฟไปมหาชัยตกราง..กูนี่แหละ อยู่โบกี้ท้ายสุดที่มันหลุดออกจากราง เฉียดไปเลยไงกู” เท่านั้นล่ะครับ เพื่อนร่างยักษ์ของผมนี่ถึงบางอ้อเลย
“แต่เรื่องไม่ได้จบแค่แม่น้ำนั้นอ่ะดิ..”