บทสัมภาษณ์ใบเฟิร์นในเล่มค่ะ หยิบยกมาให้อ่านนิดหน่อย ชอบความคิดของน้องค่ะ
ถ้ามองชีวิตตัวเองเป็นกราฟ แล้วกราฟชีวิตเฟิร์นเป็นแบบไหน?
เฟิร์นคิดว่า กราฟชีวิตเราค่อยๆขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ ไม่เคยมองว่าเส้นกราฟตัวเองตกเลย เพราะเฟิร์นไม่ได้ใช้เกณฑ์วัดกราฟจากผลงานที่ออกมาต่อเนื่องหรือกระแส หรือความดัง แต่เฟิร์นวัดจากการที่เรามีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ และเรียนรู้ที่จะได้รับความทุกข์ได้กว้างขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นเฟิร์นคิดว่าตัวเองเดินขึ้นไปเรื่อยๆ โตขึ้นๆ อีกอย่างเฟิร์นคิดว่าเราไม่ได้ผิดพลาด หรือไม่ดีอะไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ กับสิ่งที่เลือกแล้ว หรือกับการเลือกที่จะหายไปบ้าง มันคือชีวิตที่เฟิร์นเลือก เป็นชีวิตที่เฟิร์นสร้างมันขึ้นมา คือในขณะที่เฟิร์นไม่ได้รับงานเยอะ หรือมีงานทุกวัน แต่เฟิร์นมีเวลาอยู่กับที่บ้าน อยู่กับเพื่อนฝูง อยู่กับหมาแมว เฟิร์นมีทุกอย่างครบแล้วก็มีความสุขไปเรื่อยๆ เพราะเฟิร์นรู้ว่าความสุขของตัวเองคืออะไรมากกว่าค่ะ
การที่จะทำให้กราฟชีวิตตัวเองขยับขึ้นเรื่อยๆ ต้องทำอย่างไร?
ทำที่ตัวเราค่ะ คือคนอื่นอาจไม่ได้มองเหมือนเราก็ได้ อาจมองว่าเฟิร์นไม่มีงาน งานตกไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามองในมุมเราแล้วกราฟของเราขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเรามีความสุขทั้งกับงาน และการมีเวลาได้เที่ยว ได้อยู่กับที่บ้าน อยู่กับเพื่อน มีงานทำไม่ได้ขอเงินแม่ และมีเงินให้แม่ด้วย แม้ไม่ได้มากมายเท่านักแสดงคนอื่น แต่เฟิร์นก็มีทุกอย่างพร้อม เฟิร์นทำให้ทุกคนรอบตัวที่เฟิร์นรักมีความสุขได้ นั่นคือกราฟที่ขึ้นของเรา
แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้คนอยากชวนเราไปร่วมงานเสมอ?
ในความคิดของเฟิร์นซึ่งไม่รู้ว่ามันจะดีไหมนะคะ เฟิร์นว่ามันคือการตั้งใจทำงาน การรับผิดชอบหน้าที่ และภูมิใจที่สุดในฐานะนักแสดงไม่ว่าจะได้เล่นบทอะไรก็ตาม นอกจากนี้เรื่องการทำการบ้านก็สำคัญ เพราะเฟิร์นเองทำแบบนั้นเสมอ เราภูมิใจได้เห็นหน้าตัวเองในทีวีในภาพยนตร์ แล้วไม่เห็นซีนที่เรายังคิดว่าไม่น่าเล่นแบบนั้นเลย แล้วเรื่องวินัยในการทำงานยิ่งสำคัญ การตรงต่อเวลาไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่ต้องตรงเวลาเพราะคนรอบข้างเราเหนื่อยกว่าเยอะ ทั้งคนเตรียมงาน คนเซ็ตเสื้อผ้า ช่างแต่งหน้าทำผม คนทำฉาก ฯลฯ คือพอทำงานในกองก็รู้ว่ามีคนมากมายที่ต้องตรียมงานให้พร้อมก่อนถ่าย มันคือการรับผิดชอบต่อคนอื่น ไม่ใช่แค่รับผิดชอบกับตัวเอง แล้วงานเราจะออกมาดี ภาพรวมก็ออกมาดี คือทุกคนต้องช่วยกัน ละครหรือภาพยนตร์เป็นอะไรที่สร้างคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นขอแค่เราอย่าสร้างปัญหาก็พอ เพราะนักแสดงมักถูกสปอยส์ ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเราเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของภาพยตร์และละครเท่านั้น และมีหน้าที่ทำงานออกมาให้ดีไม่ต่างจากทีมไฟ ทีมกล้อง หรือทุกคนในทีม
ดังนั้นนักแสดงต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าตัวเองคือนักแสดงไม่ใช่ดารา
ทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดในชีวิต ได้เรียนรู้อะไรจากมัน และทำอย่างไรให้ตัวเองก้าวเดินต่อไป?
ไม่ว่าจะยังไง เฟิร์นเลือกทางที่เฟิร์นมีความสุขค่ะ คือตั้งแต่เด็กจนโตเฟิร์นมองว่างานเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ยิ่งอยู่ไปยิ่งรู้ว่ามันมีหลายอย่างที่เรารัก ที่เราต้องไม่ทิ้ง การแสดงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้อยู่ในวงการนี้ และเรารักการแสดง แต่มันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตทั้งหมด เราต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ครอบครัว ให้คนรอบข้าง แชร์ความรักให้ทุกอย่างในชีวิตเพื่อให้มันสมดุลกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน งาน การเรียน สัตว์เลี้ยง คือเฟิร์นไม่ได้ทุ่มเทให้อย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป แต่แชร์ความรักและมีความสุขกับทุกอย่างที่มีอยู่ในชีวิตเฟิร์นค่ะ
[PIC] "ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก" @IN Magazine ฉบับเดือนตุลาคม กับลุคส์สวยหวานปนเซ็กซี่
หน้าปกค่ะ
รูปในเล่มค่ะ
เบื้องหลังแฟชั่น in magazine ฉบับ 268 เดือนตุลาคม 2559 ปก ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก
บทสัมภาษณ์ใบเฟิร์นในเล่มค่ะ หยิบยกมาให้อ่านนิดหน่อย ชอบความคิดของน้องค่ะ
ถ้ามองชีวิตตัวเองเป็นกราฟ แล้วกราฟชีวิตเฟิร์นเป็นแบบไหน?
เฟิร์นคิดว่า กราฟชีวิตเราค่อยๆขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ ไม่เคยมองว่าเส้นกราฟตัวเองตกเลย เพราะเฟิร์นไม่ได้ใช้เกณฑ์วัดกราฟจากผลงานที่ออกมาต่อเนื่องหรือกระแส หรือความดัง แต่เฟิร์นวัดจากการที่เรามีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ และเรียนรู้ที่จะได้รับความทุกข์ได้กว้างขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นเฟิร์นคิดว่าตัวเองเดินขึ้นไปเรื่อยๆ โตขึ้นๆ อีกอย่างเฟิร์นคิดว่าเราไม่ได้ผิดพลาด หรือไม่ดีอะไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ กับสิ่งที่เลือกแล้ว หรือกับการเลือกที่จะหายไปบ้าง มันคือชีวิตที่เฟิร์นเลือก เป็นชีวิตที่เฟิร์นสร้างมันขึ้นมา คือในขณะที่เฟิร์นไม่ได้รับงานเยอะ หรือมีงานทุกวัน แต่เฟิร์นมีเวลาอยู่กับที่บ้าน อยู่กับเพื่อนฝูง อยู่กับหมาแมว เฟิร์นมีทุกอย่างครบแล้วก็มีความสุขไปเรื่อยๆ เพราะเฟิร์นรู้ว่าความสุขของตัวเองคืออะไรมากกว่าค่ะ
การที่จะทำให้กราฟชีวิตตัวเองขยับขึ้นเรื่อยๆ ต้องทำอย่างไร?
ทำที่ตัวเราค่ะ คือคนอื่นอาจไม่ได้มองเหมือนเราก็ได้ อาจมองว่าเฟิร์นไม่มีงาน งานตกไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามองในมุมเราแล้วกราฟของเราขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเรามีความสุขทั้งกับงาน และการมีเวลาได้เที่ยว ได้อยู่กับที่บ้าน อยู่กับเพื่อน มีงานทำไม่ได้ขอเงินแม่ และมีเงินให้แม่ด้วย แม้ไม่ได้มากมายเท่านักแสดงคนอื่น แต่เฟิร์นก็มีทุกอย่างพร้อม เฟิร์นทำให้ทุกคนรอบตัวที่เฟิร์นรักมีความสุขได้ นั่นคือกราฟที่ขึ้นของเรา
แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้คนอยากชวนเราไปร่วมงานเสมอ?
ในความคิดของเฟิร์นซึ่งไม่รู้ว่ามันจะดีไหมนะคะ เฟิร์นว่ามันคือการตั้งใจทำงาน การรับผิดชอบหน้าที่ และภูมิใจที่สุดในฐานะนักแสดงไม่ว่าจะได้เล่นบทอะไรก็ตาม นอกจากนี้เรื่องการทำการบ้านก็สำคัญ เพราะเฟิร์นเองทำแบบนั้นเสมอ เราภูมิใจได้เห็นหน้าตัวเองในทีวีในภาพยนตร์ แล้วไม่เห็นซีนที่เรายังคิดว่าไม่น่าเล่นแบบนั้นเลย แล้วเรื่องวินัยในการทำงานยิ่งสำคัญ การตรงต่อเวลาไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่ต้องตรงเวลาเพราะคนรอบข้างเราเหนื่อยกว่าเยอะ ทั้งคนเตรียมงาน คนเซ็ตเสื้อผ้า ช่างแต่งหน้าทำผม คนทำฉาก ฯลฯ คือพอทำงานในกองก็รู้ว่ามีคนมากมายที่ต้องตรียมงานให้พร้อมก่อนถ่าย มันคือการรับผิดชอบต่อคนอื่น ไม่ใช่แค่รับผิดชอบกับตัวเอง แล้วงานเราจะออกมาดี ภาพรวมก็ออกมาดี คือทุกคนต้องช่วยกัน ละครหรือภาพยนตร์เป็นอะไรที่สร้างคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นขอแค่เราอย่าสร้างปัญหาก็พอ เพราะนักแสดงมักถูกสปอยส์ ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเราเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของภาพยตร์และละครเท่านั้น และมีหน้าที่ทำงานออกมาให้ดีไม่ต่างจากทีมไฟ ทีมกล้อง หรือทุกคนในทีม ดังนั้นนักแสดงต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าตัวเองคือนักแสดงไม่ใช่ดารา
ทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดในชีวิต ได้เรียนรู้อะไรจากมัน และทำอย่างไรให้ตัวเองก้าวเดินต่อไป?
ไม่ว่าจะยังไง เฟิร์นเลือกทางที่เฟิร์นมีความสุขค่ะ คือตั้งแต่เด็กจนโตเฟิร์นมองว่างานเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ยิ่งอยู่ไปยิ่งรู้ว่ามันมีหลายอย่างที่เรารัก ที่เราต้องไม่ทิ้ง การแสดงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้อยู่ในวงการนี้ และเรารักการแสดง แต่มันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตทั้งหมด เราต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ครอบครัว ให้คนรอบข้าง แชร์ความรักให้ทุกอย่างในชีวิตเพื่อให้มันสมดุลกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน งาน การเรียน สัตว์เลี้ยง คือเฟิร์นไม่ได้ทุ่มเทให้อย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป แต่แชร์ความรักและมีความสุขกับทุกอย่างที่มีอยู่ในชีวิตเฟิร์นค่ะ