วันนี้มีคุณแม่ท่านหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อได้ขอยืมล็อกอินเพื่อลงบทความที่เธอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการตีนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นประโยชน์มากๆค่ะ
===================================================================================
สวัสดีค่ะ...เมื่อไม่นานมานี้ ได้ยินข่าวคุณครูทำร้ายร่างกายนักเรียนบ่อยครั้ง จนทำให้เรานึกถึงเรื่องที่ลูกเคยเจอ ก่อนจะย้ายมาเรียนที่ American School of Bangkok ซึ่งพอมาที่นี่ก็ได้ยินเรื่องคล้ายๆกันจากผู้ปกครองชาวต่างชาติอีกท่านหนึ่งเหมือนกัน เล่นเอาตกใจกับมาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียนสมัยนี้ไปเลย
เรื่องมันมีอยู่ว่า เรามีลูกชายคนเดียว ขอใช้นามสมมติว่า “น้องเอ” เพื่อให้เล่าได้เห็นภาพขึ้น ตอนนั้นอยู่ชั้นเนอร์สเซอรี่ในโรงเรียนสองภาษา น้องเอบอกเราอยู่เสมอว่าไม่ชอบคุณครู ไม่อยากไปโรงเรียน แต่ด้วยความที่น้องอายุแค่สามขวบ คงเบื่อโรงเรียนบ้างเป็นธรรมดา และอีกไม่นานเดี๋ยวน้องก็ขึ้นป.หนึ่ง ถึงตอนนั้นค่อยคิดถึงเรื่องย้ายโรงเรียนอีกทีก็ได้ เราไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าลูกต้องไปเจอกับอะไรที่โรงเรียนบ้าง...
จนมาวันนึง ผู้ปกครองท่านหนึ่งโทรมาหาเราถึงที่บ้าน เพื่อบอกถึงสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นกับลูกๆของเรา ผู้ปกครองท่านนั้นบอกว่าลูกชายของเขา เห็นน้องเอโดนคุณครูตี และในห้องยังมีเด็กอีกสี่คนในชั้นเรียนเดียวกันที่โดนคุณครูตี เราถึงกับช็อคไปเลย เพราะไม่คิดว่าชั้นเรียนอนุบาลจะมีการทำโทษเด็กด้วยการตีแบบนี้
ลองนึกภาพครูตีเด็กอายุ 3 ขวบดู ตัวแค่นิดดียว จะตีแรงตีเบา ยังไงก็ไม่ควรจะไปตีน้อง
เราถามลูกเราว่าจริงไหม เขาตอบว่า “จริง” เราถามว่าทำไมเขาไม่เล่าให้เราฟัง น้องไม่ได้ตอบ แต่เราพอจะมองออกว่าลูกกลัวมาก เพราะลูกไม่เคยโดนที่บ้านตีเลย เราปรึกษากับครูหัวหน้าฝ่ายในเบื้องต้น แต่กลับผิดหวัง เพราะเขาปัดความรับผิดชอบง่ายๆ โดยบอกว่าน้องเอ“โกหก” นี่เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่ไม่คิดจะได้ยินจากปากของคนที่เป็นครู เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังโยนปัญหาไปที่เด็ก เราบอกกับเขาว่าเราไม่เคยสอนให้ลูกโกหก ที่บ้านไม่มีใครเป็นคนโกหก เราตัดสินใจว่า เอาอย่างนี้มั้ย...เราจะพาลูกชายมาคุยกับคุณครูใหญ่ที่โรงเรียน และให้คุณครูถามน้องเอง
ตอนนั้นเราโชคดีที่คุณครูใหญ่เป็นครูที่ดี ลูกเราบอกกับคุณครูในทันที ว่า
“คุณครูตีหนู” คุณครูใหญ่บอกให้น้องแสดงให้ดูว่าคุณครูตียังไง ใช้มือตี หรือใช้ไม่บรรทัดตี น้องเอหันมาหาเรา เพราะเราสอนเขาว่าห้ามตีคนอื่น แต่เราบอกแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวไม่เป็นไร น้องก็ยอม ทำท่าตีคุณครูใหญ่แบบใช้มือตี ซึ่งสิ่งที่น้องเลียนแบบออกมา คือตีแรงมาก จนทุกคนตกใจ ทั้งที่เป็นคนตีเอง แต่น้องเอร้องไห้ออกมาตอนนั้นเลย ทุกคนเลยรู้ว่า
ไม่ว่าน้องจะโกหกหรือไม่ แต่ต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างแน่ๆ คุณครูคนที่ต้องสงสัยว่าตีน้อง เลยโดนสอบสวนเป็นการใหญ่
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่ได้ดีขึ้นเลย มีอยู่วันหนึ่งที่เราไปรับลูก เราสังเกตว่าลูกมีรอยปื้นแดง ใหญ่มากที่บริเวณโหนกแก้ม ใกล้กับดวงตา เราถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกบอกว่าลูกล้ม หน้าฟาดกับพาร์ทิชั่นที่กั้นระหว่างโซนนอนกลางวัน กับห้องเรียน แต่กลับไม่มีใครโทรบอกเราเลย และครูที่ถูกสงสัยว่าตีน้อง ก็อยู่ประจำชั้นในวันนั้น แต่กลับไม่ทำอะไรเลย เราเริ่มสงสัยแล้วว่า ลูกเราผิดปกติอะไร ทำไมถึงไม่ได้รับการดูแลเท่าๆกับคนอื่นๆ หลังจากวันนั้นเรามารู้ที่หลังว่า น้องไม่ยอมคุย ไม่ยอมฟังครูคนไทย ที่เคยตีน้องเลย จะฟังก็แต่ครูฝรั่งกับครูผู้ช่วย จากเด็กที่ฉลาด หัวไว คุยเก่ง น้องเอกลายเป็นเด็กที่ไม่ร่าเริง พูดน้อย บางครั้งถึงกับนั่งหันหลังให้เพื่อน เวลาทำกิจกรรมหน้าเสาธง
ถ้าเรานึกเอะใจตั้งแต่ทีแรกว่าทำไมลูกไม่ชอบไปโรงเรียน ลูกก็คงไม่ต้องโดนคุณครูทำร้ายร่างกาย ไม่ต้องล้มหัวคะมำแล้วไม่มีใครช่วย ทำไมเราถึงได้ส่งลูกมาเรียนในโรงเรียนที่ไม่ปลอดภัยแบบนี้นะ? พอน้องกำลังจะขึ้นอนุบาล 1 เราเลยปรึกษากับครูฝรั่ง ซึ่งคุณครูแนะนำให้ลองย้ายโรงเรียน เพราะน้องอาจจะไม่เหมาะกับโรงเรียนนี้ เราตัดสินใจส่งน้องไปทดลองเรียนชั้น อนุบาล 1 ที่ American School of Bangkok ตรงบางนา เพราะน้องเจออะไรมาเยอะแล้ว เราก็อยากจะส่งน้องเรียนโรงเรียนที่ดูโล่งๆ มีพื้นที่ อากาศดี และมีครูที่เข้าใจเขาจริงๆ
ช่วงทดลองเรียน 3 วันที่ ASB เป็นสามวันที่น้องมีความสุขมาก น้องกลับมาคุยเก่งสมวัย และเข้ากับเพื่อนใหม่ได้เร็วมาก น้องชอบวิธีการสอน และยอมเข้าร่วมกิจกรรมทุกๆอย่าง และที่สำคัญที่สุดเลย คือเด็กน้อย ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมาก เวลามีปัญหาอะไรก็เดินเข้าไปหาครูใหญ่ได้เลย เราเลยตัดสินใจส่งลูกเรียนที่นี่ จนถึงวันนี้น้องอยู่เกรด 3 แล้ว
เรามารู้ทีหลัง ว่าลูกของผู้ปกครองอีกท่านที่เรียนที่นี่ ก็ย้ายมาจากโรงเรียนเดียวกับน้องเอ และโดนคุณครูตีตั้งแต่เล็กๆเหมือนกัน แต่ว่าน้องอีกคนเก็บเงียบไม่บอกคุณแม่ จนกระทั่งโตแล้ว เราไม่รู้เลยว่ามีเด็กอีกกี่คนที่ถูกคุณครูทำร้าย โดยไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่
บางทีเราส่งลูกเรียนโรงเรียนที่คิดว่าหรูแล้ว ดีแล้ว หลักสูตรดีแล้ว แต่เราไม่รู้เลยว่าคนที่เป็นครูสอนลูกเรา เขามีความเป็นครูมากแค่ไหน หรือเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีแค่ไหน ยิ่งในสังคมไทยที่การตีเด็กยังเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายมองข้าม โดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ อย่างกรณีของน้องอีกคน ที่มาบอกคุณแม่ตอนโตแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่า
“การตี อย่างไม่มีเหตุผล” จะส่งผลร้ายอะไรกับลูกบ้าง หากเกิดเรื่องแบบนี้กับลูกของคุณ อย่านิ่งนอนใจ
อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ หากย้ายโรงเรียนได้ ให้ย้าย เพราะมีโรงเรียนดีๆอีกมากมาย ที่สามารถมอบสิ่งที่ลูกของคุณสมควรได้รับค่ะ
ทำยังไง เมื่อลูกโดนทำร้ายร่างกายที่โรงเรียน
===================================================================================
สวัสดีค่ะ...เมื่อไม่นานมานี้ ได้ยินข่าวคุณครูทำร้ายร่างกายนักเรียนบ่อยครั้ง จนทำให้เรานึกถึงเรื่องที่ลูกเคยเจอ ก่อนจะย้ายมาเรียนที่ American School of Bangkok ซึ่งพอมาที่นี่ก็ได้ยินเรื่องคล้ายๆกันจากผู้ปกครองชาวต่างชาติอีกท่านหนึ่งเหมือนกัน เล่นเอาตกใจกับมาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียนสมัยนี้ไปเลย
เรื่องมันมีอยู่ว่า เรามีลูกชายคนเดียว ขอใช้นามสมมติว่า “น้องเอ” เพื่อให้เล่าได้เห็นภาพขึ้น ตอนนั้นอยู่ชั้นเนอร์สเซอรี่ในโรงเรียนสองภาษา น้องเอบอกเราอยู่เสมอว่าไม่ชอบคุณครู ไม่อยากไปโรงเรียน แต่ด้วยความที่น้องอายุแค่สามขวบ คงเบื่อโรงเรียนบ้างเป็นธรรมดา และอีกไม่นานเดี๋ยวน้องก็ขึ้นป.หนึ่ง ถึงตอนนั้นค่อยคิดถึงเรื่องย้ายโรงเรียนอีกทีก็ได้ เราไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าลูกต้องไปเจอกับอะไรที่โรงเรียนบ้าง...
จนมาวันนึง ผู้ปกครองท่านหนึ่งโทรมาหาเราถึงที่บ้าน เพื่อบอกถึงสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นกับลูกๆของเรา ผู้ปกครองท่านนั้นบอกว่าลูกชายของเขา เห็นน้องเอโดนคุณครูตี และในห้องยังมีเด็กอีกสี่คนในชั้นเรียนเดียวกันที่โดนคุณครูตี เราถึงกับช็อคไปเลย เพราะไม่คิดว่าชั้นเรียนอนุบาลจะมีการทำโทษเด็กด้วยการตีแบบนี้ ลองนึกภาพครูตีเด็กอายุ 3 ขวบดู ตัวแค่นิดดียว จะตีแรงตีเบา ยังไงก็ไม่ควรจะไปตีน้อง
เราถามลูกเราว่าจริงไหม เขาตอบว่า “จริง” เราถามว่าทำไมเขาไม่เล่าให้เราฟัง น้องไม่ได้ตอบ แต่เราพอจะมองออกว่าลูกกลัวมาก เพราะลูกไม่เคยโดนที่บ้านตีเลย เราปรึกษากับครูหัวหน้าฝ่ายในเบื้องต้น แต่กลับผิดหวัง เพราะเขาปัดความรับผิดชอบง่ายๆ โดยบอกว่าน้องเอ“โกหก” นี่เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่ไม่คิดจะได้ยินจากปากของคนที่เป็นครู เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังโยนปัญหาไปที่เด็ก เราบอกกับเขาว่าเราไม่เคยสอนให้ลูกโกหก ที่บ้านไม่มีใครเป็นคนโกหก เราตัดสินใจว่า เอาอย่างนี้มั้ย...เราจะพาลูกชายมาคุยกับคุณครูใหญ่ที่โรงเรียน และให้คุณครูถามน้องเอง
ตอนนั้นเราโชคดีที่คุณครูใหญ่เป็นครูที่ดี ลูกเราบอกกับคุณครูในทันที ว่า “คุณครูตีหนู” คุณครูใหญ่บอกให้น้องแสดงให้ดูว่าคุณครูตียังไง ใช้มือตี หรือใช้ไม่บรรทัดตี น้องเอหันมาหาเรา เพราะเราสอนเขาว่าห้ามตีคนอื่น แต่เราบอกแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวไม่เป็นไร น้องก็ยอม ทำท่าตีคุณครูใหญ่แบบใช้มือตี ซึ่งสิ่งที่น้องเลียนแบบออกมา คือตีแรงมาก จนทุกคนตกใจ ทั้งที่เป็นคนตีเอง แต่น้องเอร้องไห้ออกมาตอนนั้นเลย ทุกคนเลยรู้ว่า ไม่ว่าน้องจะโกหกหรือไม่ แต่ต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างแน่ๆ คุณครูคนที่ต้องสงสัยว่าตีน้อง เลยโดนสอบสวนเป็นการใหญ่
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่ได้ดีขึ้นเลย มีอยู่วันหนึ่งที่เราไปรับลูก เราสังเกตว่าลูกมีรอยปื้นแดง ใหญ่มากที่บริเวณโหนกแก้ม ใกล้กับดวงตา เราถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกบอกว่าลูกล้ม หน้าฟาดกับพาร์ทิชั่นที่กั้นระหว่างโซนนอนกลางวัน กับห้องเรียน แต่กลับไม่มีใครโทรบอกเราเลย และครูที่ถูกสงสัยว่าตีน้อง ก็อยู่ประจำชั้นในวันนั้น แต่กลับไม่ทำอะไรเลย เราเริ่มสงสัยแล้วว่า ลูกเราผิดปกติอะไร ทำไมถึงไม่ได้รับการดูแลเท่าๆกับคนอื่นๆ หลังจากวันนั้นเรามารู้ที่หลังว่า น้องไม่ยอมคุย ไม่ยอมฟังครูคนไทย ที่เคยตีน้องเลย จะฟังก็แต่ครูฝรั่งกับครูผู้ช่วย จากเด็กที่ฉลาด หัวไว คุยเก่ง น้องเอกลายเป็นเด็กที่ไม่ร่าเริง พูดน้อย บางครั้งถึงกับนั่งหันหลังให้เพื่อน เวลาทำกิจกรรมหน้าเสาธง
ถ้าเรานึกเอะใจตั้งแต่ทีแรกว่าทำไมลูกไม่ชอบไปโรงเรียน ลูกก็คงไม่ต้องโดนคุณครูทำร้ายร่างกาย ไม่ต้องล้มหัวคะมำแล้วไม่มีใครช่วย ทำไมเราถึงได้ส่งลูกมาเรียนในโรงเรียนที่ไม่ปลอดภัยแบบนี้นะ? พอน้องกำลังจะขึ้นอนุบาล 1 เราเลยปรึกษากับครูฝรั่ง ซึ่งคุณครูแนะนำให้ลองย้ายโรงเรียน เพราะน้องอาจจะไม่เหมาะกับโรงเรียนนี้ เราตัดสินใจส่งน้องไปทดลองเรียนชั้น อนุบาล 1 ที่ American School of Bangkok ตรงบางนา เพราะน้องเจออะไรมาเยอะแล้ว เราก็อยากจะส่งน้องเรียนโรงเรียนที่ดูโล่งๆ มีพื้นที่ อากาศดี และมีครูที่เข้าใจเขาจริงๆ
ช่วงทดลองเรียน 3 วันที่ ASB เป็นสามวันที่น้องมีความสุขมาก น้องกลับมาคุยเก่งสมวัย และเข้ากับเพื่อนใหม่ได้เร็วมาก น้องชอบวิธีการสอน และยอมเข้าร่วมกิจกรรมทุกๆอย่าง และที่สำคัญที่สุดเลย คือเด็กน้อย ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมาก เวลามีปัญหาอะไรก็เดินเข้าไปหาครูใหญ่ได้เลย เราเลยตัดสินใจส่งลูกเรียนที่นี่ จนถึงวันนี้น้องอยู่เกรด 3 แล้ว
เรามารู้ทีหลัง ว่าลูกของผู้ปกครองอีกท่านที่เรียนที่นี่ ก็ย้ายมาจากโรงเรียนเดียวกับน้องเอ และโดนคุณครูตีตั้งแต่เล็กๆเหมือนกัน แต่ว่าน้องอีกคนเก็บเงียบไม่บอกคุณแม่ จนกระทั่งโตแล้ว เราไม่รู้เลยว่ามีเด็กอีกกี่คนที่ถูกคุณครูทำร้าย โดยไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่
บางทีเราส่งลูกเรียนโรงเรียนที่คิดว่าหรูแล้ว ดีแล้ว หลักสูตรดีแล้ว แต่เราไม่รู้เลยว่าคนที่เป็นครูสอนลูกเรา เขามีความเป็นครูมากแค่ไหน หรือเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีแค่ไหน ยิ่งในสังคมไทยที่การตีเด็กยังเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายมองข้าม โดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ อย่างกรณีของน้องอีกคน ที่มาบอกคุณแม่ตอนโตแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่า “การตี อย่างไม่มีเหตุผล” จะส่งผลร้ายอะไรกับลูกบ้าง หากเกิดเรื่องแบบนี้กับลูกของคุณ อย่านิ่งนอนใจ อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ หากย้ายโรงเรียนได้ ให้ย้าย เพราะมีโรงเรียนดีๆอีกมากมาย ที่สามารถมอบสิ่งที่ลูกของคุณสมควรได้รับค่ะ