สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวในชีวิตของผมที่อยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆฟัง เพื่อเป็นแรงบัลดาลใจและก็เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ที่อยากจะไปเรียนต่อ, ไปทำงานต่างประเทศ, คนที่กำลังเตรียมตัวเรียนต่อ หรือคนที่อยากพัฒนาตัวเองด้านภาษาอังกฤษนะครับ เรื่องที่ผมจะเล่า ผมไม่ได้ต้องการจะโชว์หรืออวดแต่อย่างใดนะครับ แค่อยากจะให้เป็นเรื่องที่เพื่อนๆอ่านแล้วมีกำลังใจเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อยก็โอเคล่ะ ผมรู้สึกว่า แรงบันดาลใจ, ความหวังและความฝัน มันคือสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตของเรา มันคือพลังที่จะทำให้เราก้าวเดินต่อไปเพื่อเป้าหมายของเรา เฟ่ดเฟ่ ทำเป็นมาพูดหล่อ ผมว่า งั้นอย่าช้าทีเลย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะคับ
ปัจจุบันผมทำงานเป็นวิศวกรของบริษัทแห่งนึงในอเมริกา ซึ่งถึงวันนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 8 ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่ผมคิดว่าผมอยากมาเรียนเมืองนอก ขอย้อนกลับไปเล่าพื้นเพและชีวิตวัยเด็กของผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ
ผมเป็นคนจังหวัดชลบุรี พ่อผมเป็นทหารเรือชั้นประทวน ผมมีน้องชายหนึ่งคน แม่ผมเป็นแม่บ้าน ครอบครัวผมเป็นชนชั้นกลาง ถามว่าลำบากมากมั้ยก็ไม่ถึงขนาดว่าไม่มีจะกิน แต่ก็ไม่ได้สบายอะไร ตอนเด็กๆตั้งแต่อนุบาล 2 - ป.6 ผมเรียนโรงเรียนใกล้บ้านซึ่งห่างไปประมาณขับรถ 15 นาที ที่โรงเรียนนี้ผมเรียนได้ค่อนข้างดี สอบได้ที่ 1 เป็นประจำ (เรื่องจริงนะผมไม่ได้โม้ 555 ) พอจบ ป.6 แม่ผมอยากให้ผมไปเรียนโรงเรียนดังแห่งหนึ่งในชลบุรี (ดังในแง่โรงเรียนดัดสันดาน 555 จริงๆมันก็ไม่ขนาดนั้น แต่เค้ารู้ๆกันในฐานะโรงเรียนประจำ) ที่นี่ค่าเทอมก็ถือว่าแพงในระดับหนึ่งในสมัยนั้น โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวฐานะอย่างบ้านผม เพราะเป็นโรงเรียนเอกชน (แม่ผมเคยเล่าให้ผมฟังตอนโตว่า ตอนถึงเวลาจ่ายค่าเทอมต้องรอให้พ่อเงินเดือนออก เพราะว่าไม่พอ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเลย) ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี้เลย แม่บอกให้ไปสอบก็ไป ผมเตรียมตัวไปอย่างดี เพราะแม่อยากให้เข้าที่นี่มาก และนั้นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่แม่ขีดเส้นให้ผมทำตาม ตอนนั้นผมก็เฉยๆไม่ได้อยากเข้าอะไรมาก แต่ก็ไม่อยากให้แม่ผิดหวัง ปรากฏว่าผมสอบติด ต้องบอกว่า แม่ผมจะลงทุนกับผมเรื่องเรียนเรื่องเดียวเท่านั้น นอกนั้น
เรื่องอื่นๆก็เฉยๆ เรียนได้ดีสอบได้ดีก็ดีแล้วแต่ไม่มีรางวัลให้นะ อ้อ พ่อผมเคยบอกว่ามันเป็นหน้าที่ลูกอยู่แล้ว (ความเป็นทหารมาเต็ม) ส่วนแม่ชอบพูดว่า
“ถ้าไม่อยากเรียน โตไปต้องไปเลี้ยงควายนะลูก”
ผมเข้ามาเรียนที่โรงเรียนใหม่นี้ตอน ม.1 ทุกอย่างใหม่หมดเพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ ที่สำคัญผมต้องนั่งรถตู้ไปโรงเรียนซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งทุกวัน เพราะโรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 50 กิโล ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าอาบน้ำเตรียมตัว เพราะรถจะมารับตอนประมาณ 6 โมงเช้า ง่วงมากครับต้องไปหลับในรถ เอาหัวไถกระจกทุกวัน ตอนเย็นผมกลับถึงบ้านประมาณ 6 โมงเย็น กลับมาถึงก็ต้องมาทำการบ้าน สี่ทุ่มผมต้องเข้านอนแล้วเพราะตีห้าต้องตื่นไปโรงเรียนอีก ที่นี่ผมได้รู้ว่า มีคนเก่งกว่าผมอีกมาก จากที่เคยสอบได้ที่ 1 ผมสอบได้ที่ประมาณที่ 20 (ก๊ากๆๆ) ก็ถือว่าอยู่กลางๆของห้อง แต่ที่บ้านผมก็ไม่มีใครว่าอะไร ผมเรียนที่นี่ตั้งแต่ ม.1 จนถึง ม.6 ช่วง ม.3 มีเพื่อนหลายคนย้ายไปเรียนในกรุงเทพบ้าง ย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดบ้าง แต่ผมไม่ได้ย้ายไปไหน ไม่ได้กระตือรือร้น ที่จะย้ายไปอยู่โรงเรียนที่ดังกว่า เพราะขี้เกียจสอบ
จนจบ ม.5 การสอบเอ็นทรานซ์มันก็เข้ามาเคาะประตู ผมเริ่มเรียนพิเศษมาตลอดตั้งแต่ขึ้น ม.4 เทอม 2 เพราะ ม.4 เทอมแรกจัดหนักไปหน่อย เกรดออกมา 2.3 อึ๊งกิมกี่ หลังที่เคยเรียนได้ 3.0-3.2 ตอน ม.ต้น ฟิสิกส์ได้เกรด 1 เลขได้เกรด 1 ภาษาอังกฤษน่าจะได้เกรด 2 ถ้าจำไม่ผิด พูดตรงๆเรียนไม่รู้เรื่อง งงมาก ผมเลือกเรียนสายวิทย์เพราะ เป็นค่านิยมสมัยนั่นว่า เรียนเก่งต้องเรียนสายวิทย์ ทั้งนั้นที่ไม่รู้เลยว่าเราชอบอะไร ตี๊ดดดดด เศร้ามั้ยล่ะครับ แต่ผมก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะไปเรียนพิเศษที่สถาบันกวดวิชาที่ตัวเมืองชลบุรี เราเรียกมันว่า “ตึกน้ำ” ผมเรียน เคมีกับเลข (ผมมีแฟนคนแรกก็ที่ตึกน้ำที่แหละ ไม่เกี่ยวกับประเด็นหลักข้ามไป 555) จนถึงตอนปิดเทอมก่อนขึ้น ม.6 ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องเตรียมสอบเอ็นสะท้านกันแล้ว สมัยนั่น สอบได้ 2 ครั้ง เลือก 4 อันดับ ไม่ติดก็บ๊าบบาย เจอกันปีหน้า ช่วงปิดเทอม เพื่อนๆและผมเข้าไปเรียนกวดวิชากันในกรุงเทพเพราะวิชาที่จะเรียน ที่ “ตึกน้ำ” ไม่มี ผมไปเรียนฟิสิกส์ กับ เลข เพราะตั้งใจว่าจะเข้าวิศวะ พอขึ้น ม.6 ผมทุ่มสุดตัวให้กับเลขและฟิสิกส์ อ่านทุกวัน ไปไหนเอาหนังสือไปทำโจทย์ด้วย ด้วยความคิดที่ว่าถ้าผมเอ็นทรานซ์ไม่ติดมหาลัยรัฐ พ่อกับแม่ผม ต้องลำบากแน่ เพราะค่าเทอมนั้นมันมหาศาล แค่ค่าเทอมมหาลัยรัฐก็หืดล่ะ และอีกอย่างถ้าเข้าได้ พ่อแม่ก็จะได้สบายใจว่ามีที่เรียนล่ะ โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าผมชอบมั้ย ผมรู้แค่ว่าผมชอบเลขมากกว่าภาษาอังกฤษ,สังคมและชีวะ ตอนนั้นผมเลยเล็งวิศวะเกษตร บางเขนไว้
แต่ผลสอบรอบแรกออกมาไม่ดีนัก เลขหวังไว้ 80 ได้(55/100) ฟิสิกส์หวังไว้ 80 ได้ (65/100) ภาษาอังกฤษ หวังไว้ 35 เพราะผมมั่วเกือบทุกข้อ ได้ (50/100 ซึ่งเกินคาดมากๆ) เคมี หวังไว้ 50 ได้ (3X/100 จำตัวเลขไม่ได้) พื้นฐานวิศวะ หวังไว้ 40 ได้ (3X/100) คะแนนต่ำกว่าเป้าทุกตัว ยกเว้น ภาษาอังกฤษ ที่ผมกามั่วเกือบจะทั้งหมดเพราะอ่านไม่รู้เรื่องเลย เรียกว่าทิ้งเลยก็ว่าได้ แต่ดันได้ถึง 50 ซึ่งผมดีใจมากๆ ตามสถิติคะแนนเก่าแล้ว คะแนนที่ผมได้ไม่พอจะติด เกษตร ผมมีโอกาสอีก 1 ครั้ง ครั้งนี้ผมวางแผนใหม่ ทุ่มเวลาให้ 2 ตัวเน้นๆ คือฟิสิกส์และเคมี ผมลงเรียนเคมี intensive ของอ.อุ๊ ตัวที่หวังไว้มากที่สุดคือฟิสิกส์ ซึ่งก็ได้ผล คะแนนออกมาครั้งที่สอง ผมได้ เลข 45, ฟิสิกส์ 77.5(วุ้ววววว), ภาษาอังกฤษ 45 (น้อยกว่าเดิม), เคมี 56 (เยสสสสส!!!), เลข 4X สรุปว่า ฟิสิกส์ กับ เคมี ช่วยให้ผมเข้าเกษตรได้ เพราะระบบเอ็นทรานซ์จะเอาคะแนนที่ดีที่สุดมาคิด เย้ เอ็นติดแล้วโว้ยยยยยย… พ่อกับแม่ผมหน้าบานกันใหญ่ ใครถามบอก
“อ้อ เค้าได้วิศวะที่เกษตร” เป็นไงล่ะแม่ผม
เด่วคืนนี้หรือพรุ่งนี้เช้ามาลงตอนต่อไปนะคับ ขอเก็บของหนีเฮอริเคนก่อนนนน...
ป.ล. อ่านยากรึป่าวคับ ควรเว้นบรรทัดมั้ย
ป.ล. แก้คำผิดครับ รู้สึกคำผิดจะเยอะ ต้องขออภัยครับ
***ผมตอนเด็กและแม่***
ใส่ลิงค์ตอนต่อๆไปไว้ให้นะคับ จริงๆก็อยู่ในกระทู้เดียวกันนี่แหละครับ 555
[ตอนที่ 2] comment 26 - ในรั้วมหาลัย & จุดเปลี่ยนของชีวิต
http://ppantip.com/topic/35669585/comment26
[ตอนที่ 3] comment 29 - โคตะระฟลุ๊ค ได้มาเมืองนอกครั้งแรก
http://ppantip.com/topic/35669585/comment29
[บันทึกชีวิต]: เรื่องราวของเด็กโง่ภาษาอังกฤษที่วันนี้มาเป็นวิศวกรไทยในอเมริกา ตอนที่ 1 - ชีวิตวัยเด็ก
ปัจจุบันผมทำงานเป็นวิศวกรของบริษัทแห่งนึงในอเมริกา ซึ่งถึงวันนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 8 ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่ผมคิดว่าผมอยากมาเรียนเมืองนอก ขอย้อนกลับไปเล่าพื้นเพและชีวิตวัยเด็กของผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ
ผมเป็นคนจังหวัดชลบุรี พ่อผมเป็นทหารเรือชั้นประทวน ผมมีน้องชายหนึ่งคน แม่ผมเป็นแม่บ้าน ครอบครัวผมเป็นชนชั้นกลาง ถามว่าลำบากมากมั้ยก็ไม่ถึงขนาดว่าไม่มีจะกิน แต่ก็ไม่ได้สบายอะไร ตอนเด็กๆตั้งแต่อนุบาล 2 - ป.6 ผมเรียนโรงเรียนใกล้บ้านซึ่งห่างไปประมาณขับรถ 15 นาที ที่โรงเรียนนี้ผมเรียนได้ค่อนข้างดี สอบได้ที่ 1 เป็นประจำ (เรื่องจริงนะผมไม่ได้โม้ 555 ) พอจบ ป.6 แม่ผมอยากให้ผมไปเรียนโรงเรียนดังแห่งหนึ่งในชลบุรี (ดังในแง่โรงเรียนดัดสันดาน 555 จริงๆมันก็ไม่ขนาดนั้น แต่เค้ารู้ๆกันในฐานะโรงเรียนประจำ) ที่นี่ค่าเทอมก็ถือว่าแพงในระดับหนึ่งในสมัยนั้น โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวฐานะอย่างบ้านผม เพราะเป็นโรงเรียนเอกชน (แม่ผมเคยเล่าให้ผมฟังตอนโตว่า ตอนถึงเวลาจ่ายค่าเทอมต้องรอให้พ่อเงินเดือนออก เพราะว่าไม่พอ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเลย) ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี้เลย แม่บอกให้ไปสอบก็ไป ผมเตรียมตัวไปอย่างดี เพราะแม่อยากให้เข้าที่นี่มาก และนั้นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่แม่ขีดเส้นให้ผมทำตาม ตอนนั้นผมก็เฉยๆไม่ได้อยากเข้าอะไรมาก แต่ก็ไม่อยากให้แม่ผิดหวัง ปรากฏว่าผมสอบติด ต้องบอกว่า แม่ผมจะลงทุนกับผมเรื่องเรียนเรื่องเดียวเท่านั้น นอกนั้น
เรื่องอื่นๆก็เฉยๆ เรียนได้ดีสอบได้ดีก็ดีแล้วแต่ไม่มีรางวัลให้นะ อ้อ พ่อผมเคยบอกว่ามันเป็นหน้าที่ลูกอยู่แล้ว (ความเป็นทหารมาเต็ม) ส่วนแม่ชอบพูดว่า “ถ้าไม่อยากเรียน โตไปต้องไปเลี้ยงควายนะลูก”
ผมเข้ามาเรียนที่โรงเรียนใหม่นี้ตอน ม.1 ทุกอย่างใหม่หมดเพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ ที่สำคัญผมต้องนั่งรถตู้ไปโรงเรียนซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งทุกวัน เพราะโรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 50 กิโล ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าอาบน้ำเตรียมตัว เพราะรถจะมารับตอนประมาณ 6 โมงเช้า ง่วงมากครับต้องไปหลับในรถ เอาหัวไถกระจกทุกวัน ตอนเย็นผมกลับถึงบ้านประมาณ 6 โมงเย็น กลับมาถึงก็ต้องมาทำการบ้าน สี่ทุ่มผมต้องเข้านอนแล้วเพราะตีห้าต้องตื่นไปโรงเรียนอีก ที่นี่ผมได้รู้ว่า มีคนเก่งกว่าผมอีกมาก จากที่เคยสอบได้ที่ 1 ผมสอบได้ที่ประมาณที่ 20 (ก๊ากๆๆ) ก็ถือว่าอยู่กลางๆของห้อง แต่ที่บ้านผมก็ไม่มีใครว่าอะไร ผมเรียนที่นี่ตั้งแต่ ม.1 จนถึง ม.6 ช่วง ม.3 มีเพื่อนหลายคนย้ายไปเรียนในกรุงเทพบ้าง ย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดบ้าง แต่ผมไม่ได้ย้ายไปไหน ไม่ได้กระตือรือร้น ที่จะย้ายไปอยู่โรงเรียนที่ดังกว่า เพราะขี้เกียจสอบ
จนจบ ม.5 การสอบเอ็นทรานซ์มันก็เข้ามาเคาะประตู ผมเริ่มเรียนพิเศษมาตลอดตั้งแต่ขึ้น ม.4 เทอม 2 เพราะ ม.4 เทอมแรกจัดหนักไปหน่อย เกรดออกมา 2.3 อึ๊งกิมกี่ หลังที่เคยเรียนได้ 3.0-3.2 ตอน ม.ต้น ฟิสิกส์ได้เกรด 1 เลขได้เกรด 1 ภาษาอังกฤษน่าจะได้เกรด 2 ถ้าจำไม่ผิด พูดตรงๆเรียนไม่รู้เรื่อง งงมาก ผมเลือกเรียนสายวิทย์เพราะ เป็นค่านิยมสมัยนั่นว่า เรียนเก่งต้องเรียนสายวิทย์ ทั้งนั้นที่ไม่รู้เลยว่าเราชอบอะไร ตี๊ดดดดด เศร้ามั้ยล่ะครับ แต่ผมก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะไปเรียนพิเศษที่สถาบันกวดวิชาที่ตัวเมืองชลบุรี เราเรียกมันว่า “ตึกน้ำ” ผมเรียน เคมีกับเลข (ผมมีแฟนคนแรกก็ที่ตึกน้ำที่แหละ ไม่เกี่ยวกับประเด็นหลักข้ามไป 555) จนถึงตอนปิดเทอมก่อนขึ้น ม.6 ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องเตรียมสอบเอ็นสะท้านกันแล้ว สมัยนั่น สอบได้ 2 ครั้ง เลือก 4 อันดับ ไม่ติดก็บ๊าบบาย เจอกันปีหน้า ช่วงปิดเทอม เพื่อนๆและผมเข้าไปเรียนกวดวิชากันในกรุงเทพเพราะวิชาที่จะเรียน ที่ “ตึกน้ำ” ไม่มี ผมไปเรียนฟิสิกส์ กับ เลข เพราะตั้งใจว่าจะเข้าวิศวะ พอขึ้น ม.6 ผมทุ่มสุดตัวให้กับเลขและฟิสิกส์ อ่านทุกวัน ไปไหนเอาหนังสือไปทำโจทย์ด้วย ด้วยความคิดที่ว่าถ้าผมเอ็นทรานซ์ไม่ติดมหาลัยรัฐ พ่อกับแม่ผม ต้องลำบากแน่ เพราะค่าเทอมนั้นมันมหาศาล แค่ค่าเทอมมหาลัยรัฐก็หืดล่ะ และอีกอย่างถ้าเข้าได้ พ่อแม่ก็จะได้สบายใจว่ามีที่เรียนล่ะ โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าผมชอบมั้ย ผมรู้แค่ว่าผมชอบเลขมากกว่าภาษาอังกฤษ,สังคมและชีวะ ตอนนั้นผมเลยเล็งวิศวะเกษตร บางเขนไว้
แต่ผลสอบรอบแรกออกมาไม่ดีนัก เลขหวังไว้ 80 ได้(55/100) ฟิสิกส์หวังไว้ 80 ได้ (65/100) ภาษาอังกฤษ หวังไว้ 35 เพราะผมมั่วเกือบทุกข้อ ได้ (50/100 ซึ่งเกินคาดมากๆ) เคมี หวังไว้ 50 ได้ (3X/100 จำตัวเลขไม่ได้) พื้นฐานวิศวะ หวังไว้ 40 ได้ (3X/100) คะแนนต่ำกว่าเป้าทุกตัว ยกเว้น ภาษาอังกฤษ ที่ผมกามั่วเกือบจะทั้งหมดเพราะอ่านไม่รู้เรื่องเลย เรียกว่าทิ้งเลยก็ว่าได้ แต่ดันได้ถึง 50 ซึ่งผมดีใจมากๆ ตามสถิติคะแนนเก่าแล้ว คะแนนที่ผมได้ไม่พอจะติด เกษตร ผมมีโอกาสอีก 1 ครั้ง ครั้งนี้ผมวางแผนใหม่ ทุ่มเวลาให้ 2 ตัวเน้นๆ คือฟิสิกส์และเคมี ผมลงเรียนเคมี intensive ของอ.อุ๊ ตัวที่หวังไว้มากที่สุดคือฟิสิกส์ ซึ่งก็ได้ผล คะแนนออกมาครั้งที่สอง ผมได้ เลข 45, ฟิสิกส์ 77.5(วุ้ววววว), ภาษาอังกฤษ 45 (น้อยกว่าเดิม), เคมี 56 (เยสสสสส!!!), เลข 4X สรุปว่า ฟิสิกส์ กับ เคมี ช่วยให้ผมเข้าเกษตรได้ เพราะระบบเอ็นทรานซ์จะเอาคะแนนที่ดีที่สุดมาคิด เย้ เอ็นติดแล้วโว้ยยยยยย… พ่อกับแม่ผมหน้าบานกันใหญ่ ใครถามบอก “อ้อ เค้าได้วิศวะที่เกษตร” เป็นไงล่ะแม่ผม
เด่วคืนนี้หรือพรุ่งนี้เช้ามาลงตอนต่อไปนะคับ ขอเก็บของหนีเฮอริเคนก่อนนนน...
ป.ล. อ่านยากรึป่าวคับ ควรเว้นบรรทัดมั้ย
ป.ล. แก้คำผิดครับ รู้สึกคำผิดจะเยอะ ต้องขออภัยครับ
***ผมตอนเด็กและแม่***
ใส่ลิงค์ตอนต่อๆไปไว้ให้นะคับ จริงๆก็อยู่ในกระทู้เดียวกันนี่แหละครับ 555
[ตอนที่ 2] comment 26 - ในรั้วมหาลัย & จุดเปลี่ยนของชีวิต http://ppantip.com/topic/35669585/comment26
[ตอนที่ 3] comment 29 - โคตะระฟลุ๊ค ได้มาเมืองนอกครั้งแรก http://ppantip.com/topic/35669585/comment29