[CR] 365 วันในอังกฤษ : EP-1 เมื่อฉันไปเรียนปริญญาโท

สารบัญ
365 วันในอังกฤษ : EP-2 นครหลวงแห่งแคว้นบาวาเลีย - มิวนิค
>>> http://ppantip.com/topic/35690153
365 วันในอังกฤษ : EP-3 สู่เมืองแห่งเสียงดนตรี ซาลซ์บูร์ก ออสเตรีย
>>> http://ppantip.com/topic/35863981

“ เห้ย จะไปเรียนต่ออังกฤษหรอวะ  , ไปอยู่ 1 ปี ไม่สั้นไปหรอ”
“งี้เรียนปุ๊บปั๊บก็จบเลยดิ ที่อื่นเค้าเรียนกัน 2-3 ปี ไปแค่ 1 ปีมันจะคุ้มหรอวะ”
“ เนื้อหาที่เรียนมันอัดมาก เขาอัดให้จบภายใน 1 ปี ไม่หนักไปหรอ”
“ มีเวลา 1  ปี ในการจบปริญญาโท (course work + dissertation ) เนื้อหาก็เยอะ งานก็เยอะ จะเอาเวลาไหนไปเที่ยวไหนวะ ”
.
.
.

คำถามมากมายจากคนรอบข้าง เมื่อรู้ว่าเรากำลังจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ

เราเชื่อว่า หลายคนที่กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็คงจะมีคำถามคล้ายๆกันไม่ต่างไปจากนี้มาก

แต่ถ้าจะสรุปเอาสั้นๆง่ายๆ สิ่งที่ทุกคนอยากจะรู้ก็คือ

“ไปเรียนต่อที่อังกฤษ มันจะคุ้มหรือไม่คุ้ม”

เรายังไม่บอกละกันว่า มันคุ้มหรือไม่คุ้ม

แต่เราอยากให้ ลองมาฟัง ประสบการณ์ที่เราไปอยู่อังกฤษมา 1 ปีก่อน

แล้วพออ่านจบ

เราคิดว่าคุณคงตอบได้เองแหล่ะ

ว่า “ คุ้มหรือไม่คุ้ม ”



จริงแล้วจุดประสงค์ของเราที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา
คือ เราไม่อยากให้เรื่องราวใน 1 ปี ที่เราไปเรียนไปเที่ยว
อยู่แต่ในความทรงจำเรา และเลือนหายไปตามกาลเวลา ...
เราอยากมาแชร์เรื่องราว ผ่านข้อความ ผ่านรูปภาพ
เพื่อสักวันหนึ่งเมื่อ วันเวลาหมุนไป
เมื่อความทรงจำเริ่มเป็นภาพจางๆ
เราจะสามารถหยิบมันขึ้นมาใหม่ เพื่อเคาะภาพเหล่านั้น ให้กลับมาชัดเจนใหม่อีกครั้ง

เอาล่ะเราก็เวิ่นเว้อมาซะยืดยาวแล้ว
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

เนื่องจากกระทู้นี้ ยาวมากก  เราเลยขอแบ่งเป็นสองเรื่องหลักๆคือ

เรื่องแรกจะพูดถึง ชีวิตในมหาลัยที่อังกฤษ การเรียน การทำงาน

เรื่องที่สองที่จะมาเล่าให้ฟังคือ เที่ยว



ทั้งนี้ เราไม่ได้เที่ยวยาวตลอดทั้งปี คือถ้าช่วงไหนมีเวลาว่าง จากงานและเรียน เราก็จะหาเวลาไปเที่ยวทั้งในอังกฤษและในยุโรป

เอาล่ะ เราก็เวิ่นมาเยอะแล้ว เริ่มเลยดีกว่า


"ชีวิต ความเป็นอยู่ในมหาลัย"



มหาลัยที่เราไปเรียนต่อคือ University of Warwick ตั้งอยู่ในเมือง Coventry ในแถบ midland ของอังกฤษ  ( อยู่เหนือลอนดอนแต่ไม่ถึง scotland )




มหาลัยที่เราเรียนต้องบอกว่า จะแตกต่างกับมหาลัยอื่นในอังกฤษที่เพื่อนเราไปเรียน เพราะมหาลัยอื่นส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็น london, birmingham , reading , manchester etc. คนที่ไปอยู่จะได้สัมผัสถึงชีวิตในเมือง โดยเฉพาะลอนดอน ( เราเคยไปนอนหอเพื่อนที่ลอนดอน และต้องเดินทางในตอนเช้าด้วย  metro ซึ่งวุ่นวายมาก เจอคนไปทำงานเยอะแยะ  )

แล้วมหาลัยที่เราไปเรียน มีบรรยากาศเป็นยังไงล่ะ ?

“บ้านนอก” คือคำที่คนส่วนใหญ่เรียก เมื่อมาเยี่ยมเพื่อนที่เรียนใน warwick . . .

จะบ้านนอกอย่างที่เขากล่าวกันรึเปล่า เราไปดูกัน









ตึกเรียน wmg









ข้อดีคือมันรายร้อมไปด้วยธรรมชาติ มีเป็ด มีห่านมากมาย  วันดีคืนดี คุณอาจจะเจอหมาจิ้งจอกวิ่งเพ่นพ่านผ่านหน้าคุณก็เป็นได้ เมื่อคุณเดินเล่นในมหาลัยตอนกลางคืน

ถ้าโชคดีหน่อย ก็จะเจอหงส์นอนเล่นในมหาลัย ถึงแม้ภายนอกมันจะดูสวยงาม ตระการตา แต่ภายในหงส์เป็นสัตว์ที่ดุนะ อยู่ดีไม่ว่าดี มันจะพยายามจิก คนที่เดินผ่าน



เรื่องที่หน้าแปลกอีกอย่างของที่นี่คือ “ห่าน” ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามทำร้าย ห้ามฆ่าห่าน  
เป็นกฏของมหาวิทยาลัย เราเคยได้ยินมาว่า มีคนจีนคนนึงถูกมหาลัยไล่ออก
เพราะเอา ห่าน ไปทำอาหาร เอิ่มม คือคุณหิวขนาดนั้นเลยหรอครับ  ถึงขนาดต้องฆ่าห่านเพื่อไปทำอาหาร

ก็ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน เป็นเรื่องที่ฟังต่อๆกันมา...





ห้ามให้อาหารห่านและปลาด้วยนะ...  


แต่ในความบ้านนอก ก็มีข้อดีอยู่บ้าง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ต้นไม้ เริ่มจะออกดอก ...  





1. หอพัก

นักเรียนที่มหาลัย จะมีทางเลือก หลักๆอยู่ สอง ตัวเลือก คือเลือกหอพักในมหาลัย หรือนอกมหาลัย
ซึ่งจะขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ถ้าใครชอบใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ก็จะเลือกหอนอก ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว
คนที่เลือกหอนอก  ไม่อยู่ Leamington Spa  ก็จะไปอยู่ Coventry  

ก็อย่างที่บอกข้อดีคือได้ออกใช้ชีวิตในเมือง จะเดินเที่ยว ไป shopping ก็จะสะดวกกว่า
แต่ข้อเสียคือเรื่องการเดินทางเข้ามาเรียนในมหาลัย ต้องเดินทางมาโดยรถบัส
นั่งจากในเมืองเข้ามา  ( ถึงจะดูเหมือนข้อเสียแต่การเดินทางก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะมีรสบัสวิ่งอยู่เรื่อยๆ  และ public transport ของที่นี่เขาดีจริง แต่แค่อาจจะลำบากกว่าคนที่อยู่หอในมหาลัย ที่เดินไปเรียนได้เลย)

ก็เป็นเรื่องที่ต้อง trade-off กันไป ... ใครชอบการเดินทางชิวๆ ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ก็จะเลือกที่อยู่หอพักในมหาลัย ส่วนใครอยากใช้ชีวิตในเมือง ก็เลือกที่จะอยู่หอนอก

ตัวเรา เลือกที่จะอยู่หอในมหาลัย ด้วยเหตุผลข้อเดียวเลยคือ เดินทางสะดวก ไม่ยุ่งยาก และเราเป็นคนชอบออกกำลังกาย ชอบวิ่งเป็นประจำ ดังนั้น หอในมหาลัย น่าจะเข้ากับไลฟ์สไตล์เราที่สุด

ว่าแล้วมาดูสภาพแวดล้อมของหอในมหาลัยกันดีกว่า ...












2.ประเภทหอพักในมหาลัย

คืองี้ในอังกฤษหอจะมีหลายประเภทมาก เอาเริ่มต้นง่ายๆเลย โดยส่วนมากเราจะอยู่รวมกับคนอื่นใน flat
ซึ่งจะมีการแชร์ห้องน้ำ หรือห้องครัวด้วยกันตามแต่ละประเภทไป เริ่มจากราคาที่ไม่แพงมาก
คือห้องที่ไม่ได้มีห้องน้ำในตัวแบบที่เราอยู่ และต้องแชร์ห้องครัวกับ flat mate คนอื่นอีก 8 คน
ส่วนห้องน้ำจะแชร์กันสองคน โดยเพศเดียวกันจะแชร์ห้องนำด้วยกัน

หรูขึ้นมาหน่วยจะเป็นห้องแบบ ensuite คือเป็นห้องที่มีห้องน้ำในตัวเลย ไม่ต้องไปแชร์ร่วมกับคนอื่น
ซึ่งส่วนใหญ่คนไทยจะชอบห้องแบบนี้ แต่ห้องแบบ ensuiteใน warwick  ก็ยังต้องแชร์ห้องครัวกับ  flatmate คนอื่นอยู่เหมือนกัน  
ซึ่งสภาพห้องครัวก็ขึ้นอยู่กับตัวเราและ flatmate ด้วย ถ้าเจอคนที่สะอาดก็ดีไปแต่ถ้าเจอคนสกปรก  ...

หรูขึ้นมาอีกหน่อย จะเรียกว่าห้อง Studio  คือเป็นห้องส่วนตัวเลย มีห้องน้ำ มีครัวเล็กๆอยู่ในห้อง เสร็จสรรพ

ส่วนอีกแบบหนึ่งจะไม่เจอในหอพักมหาลัยจะเจอแต่ข้างนอกคือ การเช่าแบบ apartment
ก็คือเราเช่าทั้ง apartment เลย ซึ่งจะมีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ครบครัน
ซึ่งถ้าเราสนใจจะเช่าแบบ apartment เราต้องไปคุยตกลงกับ landlord ก่อน  ( landlord คือเจ้าของ apartment ) ให้เรียบร้อยมีทำสัญญา
เจรจาเรื่องค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งเพื่อนเราส่วนใหญ่ที่อยู่หอนอก มักจะเช่าแบบ apartment

3.การเรียน และชีวิตเด็กหอในอังกฤษ

ว่ากันด้วยเรื่องการเรียน คือการเรียนการสอนปริญญาโทของมหาวิทยาลัยในอังกฤษ จะต่างกันนะ
บางที่มีสอบเก็บคะแนน บางที่ไม่มีสอบ บางที่ต้องทำ dissertation ( thesis จบ) บางที่ไม่ต้องทำ
ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับมหาลัยที่เราไปเรียน และ สาขาวิชา ในส่วนของมหาลัยเรา และสาขาที่เราเลือกไปเรียน ไม่มีสอบเก็บคะแนน !!!
ฟังแล้วดูดีมากก ไม่มีสอบบ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ...

ลืมบอกไปสาขาที่เราเลือกไปเรียนต่อคือ supply chain & logistics management  ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งใน WMG ( WMG เป็นส่วนหนึ่งของ university of warwick)  คือจริงแล้ว warwick มีอยู่หลาย segments , WBS (Warwick Business School) ก็มีเรียนมีสอบ มีทำ Dissertation

การเรียนการสอนที่นี่ จะเรียนเป็น module โดย 1 module จะเรียนทั้งหมด 1  อาทิตย์ , เรียน จ-ศ ตั้งแต่ 9 โมงถึง 6 ครึ่ง
( แต่ก็มีบาง module เรียนถึง 4 ทุ่มก็มี ) โดย นักเรียนทุกคนต้องเรียนอย่างน้อย 9 module ถึงจะจบ  
นั่งคำนวนเล่นๆ งั้นเท่ากับว่าเราเรียนแค่ 9 อาทิตย์หรือสองเดือนกว่าๆ  ก็จบแล้วสิ ดูชิวขึ้นทันตา

แต่ๆๆๆ อย่าลืมว่า เพราะที่นี่เขาไม่เน้นเรื่องการสอบ เขาเลยเน้นเรื่องการทำงาน
โดยหลังจากเรียนจบ 1 module จะมีงาน 1 ชิ้น เรียกว่า PMA (Post module assginement)  
ซึ่งโดยเฉลี่ย จะอยู่ที่ประมาณ 5000 word ต่อ PMA  1 ชิ้น  โดยเขาจะให้ระยะเวลาในการทำงาน 1 เดือน

แต่โดยทั่วไป เราไม่ได้เรียน 1 เดือน 1 module ส่วนใหญ่ 2 module ใน 1  เดือนก็มี 3 module ใน 1 เดือน...
ดังนั้นการบริหารจัดการเวลา ทั้งการเรียน การทำงานถือว่าเป็นเรื่องที่มหาลัยให้ความสำคัญมาก และเนื่องจากว่าไม่มีคะแนนสอบ
ดังนั้น  PMA 1 ตัว เป็นคะแนนเพียวๆ 100%  คือถ้าพลาดแล้วก็ตกเลยนาจาา
แต่เขาก็ใจดีให้คุณส่งงานใหม่ได้อีกรอบหนึ่ง แต่ก็นั่นก็แปลว่า มีอีก 5000 words ที่คุณต้องเขียนใหม่ ...

มาว่าด้วยเรื่องการเขียน report กันดีกว่า คือ PMA ก็เหมือนการเขียน report ดีๆนี่เอง
ซึ่งใน 5000 words นี้ไม่ใช่เราอยากเขียนอะไรก็เขียน มโนอะไรขึ้นมาเองได้นะ ต้องมีการ reference ที่มาด้วย
ว่าข้อมูลตรงนี้ คุณไปเอามาจากตรงไหน มีใครบ้างที่พูดถึง ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการสากลที่ใช้กันทั่วโลก

การเขียน reference โดยส่วนมากมีสองส่วนหลักๆคือ การอ้างอิง กับการ  paraphrase เราจะไม่ลงลึกตรงนี้มากเอาเป็นว่า
หลักการคร่าวๆคือ เราเอาข้อมูลของใครมา ต้องอ้างอิงเขาด้วย จากหนังสือ จาก paper จาก journal ต้องมีการ reference เสมอ
นอกจากนั้น ไม่ใช่เราเอาของเขามาดื้อๆ copy paste
ต้องมีการเรียบเรียงประโยคออกมาใหม่ ให้ออกมาเป็นภาษาเรา ( ไม่ได้หมายถึงภาษาไทยแต่คือเป็นภาษาที่คนอ่านจะดูออกว่ามันเขียนมาจากเรา )  

ทำไมถึงต้อง paraphase?  เพราะถ้าเราไม่ paraphase เราจะโดนข้อหา plagiarism และเมืองนอกเขาถือว่าร้ายแรงมาก ถึงขั้นโดนไล่ออกได้เลย !!!


“ Plagiarism”
เรายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ตอนเรียนที่ไทยไม่ค่อยได้ยินคำนี้เท่าไร่
แต่เรื่องนี้ทั่วโลกเขาถือว่าเป็นประเด็นที่สำคัญมาก plagiarism คือการคัดลอกผลงานคนอื่น
หรือก็คือเอางานคนอื่นมาเขียนในงานตัวเอง โดยไม่มีการให้เครดิตหรือ  reference นั่นเอง

มีเรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือ มีคนเคยโดนข้อหา plagiarsm ตัวเอง ??

งงล่ะสิ คืองี้ ที่นี่เวลาเราส่ง pma ไปแล้ว งานของเราจะเข้าไปในระบบ turnitin ซึ่งถ้าเพื่อนเราเอา pma เราไปดูแล้วลอกเอาดื้อๆ เลย จะโดนข้อหา plagiarism ทั้งคู่  ( ทางที่ดีที่สุดคืออย่าส่งงานเราให้คนอื่น )

ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นสำหรับงานตัวเองด้วย ก็คือถ้าเราคัดลอกเอาประโยค หรือเนื้อหาบางส่วนของ pma ที่เราส่งไปก่อนหน้านี้
โดยไม่มีการ reference คัดลอกมาดื้อๆเลย เราก็จะโดนข้อหา plagiasirm ตัวเอง ด้วยเช่นกันนะฮะ
ซึ่งมีเพื่อนเราคนจีนโดนมาแล้ว

ทางทีดีที่สุดคือ เราต้อง “Reference” ตัวเอง According to (ABC, 2016 ) อะไรก็ว่ากันไป
ชื่อสินค้า:   อังกฤษ
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่