เมื่อต้องหา Android เครื่องใหม่มาใช้แทนเจ้าเครื่องเก่าที่เริ่มทำงานช้าและไม่รองรับแอพฯ ใหม่ๆ แล้ว ตัวเลือกที่เด้งขึ้นมาก็เลยตกอยู่ที่ Android ซึ่งราคาไม่แพงมานัก มีสเปกที่คุ้มค่า คุ้มราคา และหนึ่งในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านนี้คงหนี้ไม่พ้น Asus Zenfone ที่สร้างชื่อมาแล้วถึง 2 รุ่น และนี่คือรุ่นที่ 3 ของสมาร์ทโฟนที่ได้ขึ้นชื้อว่าคุ้ม กับ Zenfone 3 และไม่ธรรมดา เพราะนี่เป็นรุ่น Limited Edition แบบไม่ตั้งใจ (แต่จงใจ) จะเป็นยังไงเลยมารีวิวให้เพื่อนๆ ดูกันเล่นๆ ครับ
อย่างที่บอกว่า Zenfone 3 ตัวนี้เป็น Limited Edition ที่มาพร้อมกับหูฟังของ Marshall ... ดูดีเลยล่ะครับ เหตุผลที่ถูกใจเป็นพิเศษเพราะผมเป็นคนไม่ใส่หูฟัง In-Ear ครับ ใส่นานๆ แล้วเจ็บ แถมแอบรู้สึกว่าเสียงที่ได้มันไม่ค่อยมีมิติ อันนี้ความเห็นส่วนตัว ดังนั้นเมื่อมันมาพร้อมกับหูครอบหูแบบนี้ จึงดูว่ามันมีความน่าใช้ขึ้นมาหน่อย แถมฟรี มีจำนวนจำกัด เฉพาะใน Zenfone3 รุ่นจอ 5.5 นิ้ว
แพ็กเก็จจัดว่าอลังการ เพราะดูจากสภาพกล่องแล้ว มันคงไม่ใช่แค่มือถืออย่างเดียวแน่ๆ และเปิดออกมา ตัวหูฟังก็กินพิ้นที่ไป 2 ใน 3 แล้ว เบียดเจ้ากล่อง Zenfone 3 เหลือแค่กระติ๊ดเดียว แต่เดี๋ยววางหูฟังไว้ก่อน เพราะต้องไปดูพระเอกของเรา ถึงจะกล่องเล็ก แต่มันก็ยังเป็นตัวเอกอยู่ดี ... นี่ตั้งใจจะซื้อสมาร์ทโฟน ไม่ใช่ซื้อหูฟัง
สำหรับ Zenfone 3 ตัวนี้มีชื่อรหัส ZE552KL ซึ่งเป็นรุ่นที่มีหน้าจอ 5.5 นิ้ว และได้รับการเพิ่มแบตเตอร์รี่ให้มีความจุ 3000mAh ส่วนสเปกต่างๆ นั้นจะเหมือนกับรุ่น 5.2 นิ้วทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู แรม พื้นที่เก็บข้อมูล รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่มีมาให้ โดยที่ราคาที่แตกต่างกันราวๆ 4 พันบาท นั้น ถ้านับว่าได้แค่จอใหญ่ขึ้นอีกนิดหน่อย กับแบตเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร ก็ยังถือว่าไม่คุ้ม แต่พอได้หูฟังมาก็เลยพอรับได้ไปโดยปริยาย
สำหรับสเปกคร่าวๆ นั้นมีดังนี้
– หน้าจอ Super IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) จอกระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D
– ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 625 แบบ Octa-core
– หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 506
– แรม 3GB หน่วยความจำในเครื่อง 32GB
– รัน Android 6.0.1 Marshmallow ครอบทับด้วย Zen UI 3.0
– ใช้ได้ 2 ซิม : สล็อต 1 ใช้ Micro SIM , สล็อต 2 ใช้ Nano SIM หรือจะใส่ miroSD ก็ได้ รองรับความจุสูงสุด 2TB
– กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล สนับสนุนด้วยเทคโนโลยี ASUS PixelMaster 3.0, เซนเซอร์ Sony IMX298, Laser Focus, ค่ารูรับแสง f/2.0, มีระบบกับสั่น OIS + EIS และแฟลช Dual tone LED
– กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
– รองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มหลัง ได้สูงสุด 5 นิ้ว
– ใช้ USB Type-C
– แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh
ถ้าดูจากสเปกโดยรวม ก็สมราคา เพราะมือถือราคาหมื่นกลางๆ ก็ได้ประมาณนี้แหละครับ และจุดประสงค์ของผมก็คือเป็นมือถือเครื่องที่ 2 เน้นเอาไว้ใช้งาน Android (เพราะมี iPhone เป็นเครื่องหลักอยู่แล้ว) และไม่ต้องการซื้อแพงมาก แต่ต้องรองรับ 2 ซิมได้ ซึ่ง Zenfone ตั้งแต่รุ่นแรกก็ยึดถึอตามแนวทางนี้มาโดยตลอด จึงเรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ที่เล็งเอาไว้เลย
สิ่งที่ต้องบอกอย่างหนึ่งคือสมาร์ทโฟนตัวนี้เปลี่ยนพอร์ตมาใช้ USB-C เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสายชาร์จเดิมทั้งหมดที่เป็น Micro USB ก็ถึงเวลาปลดระวางได้ ซึ่งการเปลี่ยนพอร์ตมาเป็น USB-C นั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากขึ้นนอกจากจะสามารถเสียบกลับหัวไปมาได้ ไม่ต้องมาเล็งดูด้านการเสียบอีกต่อไป ส่วนความเร็วและการชาร์จนั้นพอๆ กับ Micro USB เดิมนั่นแหละ 5V, 2A เหมือนเดิม
สำหรับการใช้งาน เปิดเครื่องขึ้นมา จะพบกับหน้าจอการติดตั้งเหมือนปกติที่เจอใน Android ทุกรุ่น แต่ของ Zenfone นี้แอบเยอะ เพราะนอกจากจะต้อง Sign In บัญชีของ Gmail แล้ว ยังมีบัญชีของ Asus เอง และมีให้เลือกโหลดติดตั้งแอพฯ ที่ Asus แนะนำ ซึ่งก็ดีสำหรับผู้ใช้มือใหม่ แต่ก็น่ารำคาญอยู่พอสมควรกว่าจะได้เริ่มใช้ และอาจจะเกิดปัญหาแอพฯ ขยะล้นเครื่องถ้าคุณไม่รู้ว่าแอพฯ แต่ละตัวทำหน้าที่อะไรบ้างแล้วดันโหลดมาหมดเลย
หลังการติดตั้งเสร็จก็มาถึง Asus Zen UI ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ใช้งานง่าย ดูเรียบ และน่ารัก ซึ่งแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผม ถือว่ากลางๆ ขอให้ใช้งานง่ายก็โอเคแล้วมีแอพฯพื้นฐานมาให้เรียบร้อยดี พร้อมกับแอพฯเสริมบางตัวติดมาให้พอสมควร
สิ่งที่หนึ่งแอบไม่ชอบคือมันติดตั้งแอพฯ Mobile Manager มาให้ ซึ่งเป็นแอพฯ ประเภท Optimize เครื่อง เคลียร์ไฟล์ขยะ เรียกคือแรม และฟังก์ชันมากมาย ซึ่งผมไม่นิยมใช้ และไม่ชอบใช้เอาเสียเลย ต้องหาทางปิดการทำงานของมัน เพราะมันจะทำงานอัตโนมัติและคอยเช็คเครื่องเราเป็นระยะๆ ใครที่ใช้แอพฯ ประเภทนี้อยู่ก็คงชอบ เพราะมันมีมาให้เลยและทำงานได้ดีทีเดียว แต่ผมไม่ชอบ ปิดทิ้ง จบ
ประสิทธิภาพในการใช้งาน ขออนุญาติไม่เทสด้วย Benchmark เพราะไม่ชอบอ้างอิงคะแนนมากนัก เน้นความรู้สึกในการใช้งานมากกว่า โดยรวมถือว่าน่าประทับใจ ตัวเครื่องให้การใช้งานที่ลื่นไหลดี แม้ว่าจะเปิดแอพฯ หลายๆ ตัวพร้อมกัน โดยเฉพาะพวก Social และโปรแกรมแชทต่างๆ การสลับหน้าต่างทำได้ดี ไม่มีอาการค้างใดๆ ส่วนหนึ่งก็ต้องหมายเหตุตัวโตๆ ว่าเพราะเพิ่งเอามาใช้ ข้อมูลยังไม่เยอะมันก็เลยลื่นอยู่ ไว้ถ้าอัดข้อมูลไปเต็มๆ ก็อาจจะหน่วงได้อันนี้คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ไป
การเล่นแอพฯ หนักๆ พอใช้ได้ เพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับมือถือระดับนี้อยู่แล้ว แต่เข้าไปพอเล่นได้ทั้ง Pokemon Go, Seven Knight, LINE Farm ก็โอเคแล้ว ส่วนถ้าเป็นเกมที่กินกราฟิกสูงๆ ก็คงพอเล่นได้แต่น่าจะมีอาการกระตุกอยู่พอสมควร โดยส่วนตัวถ้าเล่นเกมกราฟิกเยอะๆ ผมจะไปเล่นบน iPhone มากกว่า (ไม่ได้เอามาเทียบกันนะครับ เพราะคนละระดับกันเลย)
เรื่องแบตเตอร์รี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ก็คงวัดอะไรยากเพราะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน อย่างผมเน้นใช้งานผ่าน WiFi เพราะออกไปนอกบ้านไม่บ่อยนัก แต่แอพฯ Social และ Chat นี่จัดเต็มครับ แบตใช้งานเช้ายันเย็นเหลือประมาณ 30% โดยพื้นฐานว่า มันคือเครื่องรองที่ไม่ได้เปิดมาดูบ่อย ไม่มีคนแชทมาบ่อยมากนัก เล่นเกมนิดหน่อยๆ หรือน้อยมาก อาจจะเรียกว่าเป็นการใช้งานของผู้ใช้สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นก็ว่าได้ แต่ถ้าใครเป็นเซียนเกม เทพแชท หรือเน็ตไอดอลแห่งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค อันนี้บอกเลยแบตเยอะกว่านี้ก็คงไม่พอ
มาดูกล้องกันบ้าง ให้มาถึง 16 ล้าน บอกเลยครับว่า "ชัด" จนน่าประทับใจ ทั้งสภาพแสงมาก หรือน้อยก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ประทับใจมากๆ ซึ่งผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ในระดับราคาประมาณนี้จะให้ภาพที่ดีขนาดนี้ทุกรุ่นหรือเปล่า แต่สำหรับ Zenfone 3 ตัวนี้ ผมให้ผ่านครับ เกินความคาดหมายเมื่อเทียบกับราคา
ลองถ่ายแสงน้อยแบบมุดลงไปถ่ายใต้โต๊ะกันเลย
อ่ะ ... มาดูพระรองกันบ้าง จะไม่พูดถึงเลยเดี๋ยวน้อยใจ กับหูฟัง Marshall ที่ให้มาด้วยในกล่องสำหรับ Limited Edition ซึ่งรุ่นนี้เค้าว่าเป็นรุ่นกลางๆ มูลค่าประมาณ 4 พันบาท และผมก็ไม่ใช่พวกหูทองอะไรมากนัก เอาเป็นว่าให้มาก็ใช้ และชอบมากกว่า In-Ear ที่แถมมาให้กล่องแน่นอน เพราะบอกแล้วว่าไม่ชอบ In-Ear
เรื่องคุณภาพเสียง ผมให้อยู่ในระดับเฉยๆ นะครับ หรือใครจะบอกว่าหูผมไม่ดีก็ได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้วด้านคุณภาพเสียงอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร ให้มาก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยแน่นอน แต่สิ่งที่ผมชอบหูฟังตัวนี้คือวัสดุ และชิ้นงานที่ดูมีคุณภาพดี ก็แน่ล่ะ ของแพงนิ ปกติไม่เคยซื้อหูฟังราคาแพงๆ ดังนั้นได้หูฟังที่คุณภาพเสียงดีพอสมควรกับคุณภาพวัสดุที่ดี แบบนี้ก็แฮปปี้ครับ น่าใช้งานทีเดียว และหูฟังตัวนี้ยังเป็น Small Talk และมีปุ่มรีโมทสำหรับปรับเสียงและรับสายมาให้ในตัวด้วย สมแล้วที่มาอยู่คู่กับสมาร์ทโฟน
โดยรวมนะครับ ผมว่า Asus Zenfone 3 Limited Edition จัดว่าเป็นสมาร์ทโฟน Android ที่ดูน่าใช้ดี แต่เน้นว่าต้องเป็น Limited ที่แถมหูฟังมาด้วยนะ เพราะดูคุ้มดี และสำหรับผมที่ไม่ชอบใช้ In-Ear มันคือทางออกครับ ส่วนเรื่องตัวสมาร์ทโฟนก็ยังคงทำได้ดีและคุ้มค่าตามสไตล์ของ Zenfone เค้าล่ะ แม้ว่าหลายๆ คนจะแอบบ่นว่าราคาเริ่มแรงขึ้นก็เถอะ แต่ด้วยดีไซน์ครั้งที่บอกเลยว่าดู "แพง" ขึ้นกว่าเดิม พร้อมฟังก์ชันในการใช้งานที่ครบๆ ในราคาคุ้มๆ หมื่นต้นๆ ถึงหมื่นกลางๆ แบบนี้ก็เป็นตัวเลือกที่โคตรน่าสนใจสำหรับคนที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนดีๆ ในราคาคุ้มๆ ดู ซึ่งเงื่อนไขการเลือก และความชอบส่วนบุคคลผมได้แจ้งไว้หมดแล้ว ใครที่มีความต้องการเป็นอื่นไปก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ครบแบบนี้ก็ได้นะครับ
[CR] [CR]++รีวิว Asus Zenfone 3 Marshall Limited Edition เมื่ออยากได้ Android เครื่องใหม่ แต่ไม่อยากกระเป๋าฉีก
เมื่อต้องหา Android เครื่องใหม่มาใช้แทนเจ้าเครื่องเก่าที่เริ่มทำงานช้าและไม่รองรับแอพฯ ใหม่ๆ แล้ว ตัวเลือกที่เด้งขึ้นมาก็เลยตกอยู่ที่ Android ซึ่งราคาไม่แพงมานัก มีสเปกที่คุ้มค่า คุ้มราคา และหนึ่งในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านนี้คงหนี้ไม่พ้น Asus Zenfone ที่สร้างชื่อมาแล้วถึง 2 รุ่น และนี่คือรุ่นที่ 3 ของสมาร์ทโฟนที่ได้ขึ้นชื้อว่าคุ้ม กับ Zenfone 3 และไม่ธรรมดา เพราะนี่เป็นรุ่น Limited Edition แบบไม่ตั้งใจ (แต่จงใจ) จะเป็นยังไงเลยมารีวิวให้เพื่อนๆ ดูกันเล่นๆ ครับ
อย่างที่บอกว่า Zenfone 3 ตัวนี้เป็น Limited Edition ที่มาพร้อมกับหูฟังของ Marshall ... ดูดีเลยล่ะครับ เหตุผลที่ถูกใจเป็นพิเศษเพราะผมเป็นคนไม่ใส่หูฟัง In-Ear ครับ ใส่นานๆ แล้วเจ็บ แถมแอบรู้สึกว่าเสียงที่ได้มันไม่ค่อยมีมิติ อันนี้ความเห็นส่วนตัว ดังนั้นเมื่อมันมาพร้อมกับหูครอบหูแบบนี้ จึงดูว่ามันมีความน่าใช้ขึ้นมาหน่อย แถมฟรี มีจำนวนจำกัด เฉพาะใน Zenfone3 รุ่นจอ 5.5 นิ้ว
แพ็กเก็จจัดว่าอลังการ เพราะดูจากสภาพกล่องแล้ว มันคงไม่ใช่แค่มือถืออย่างเดียวแน่ๆ และเปิดออกมา ตัวหูฟังก็กินพิ้นที่ไป 2 ใน 3 แล้ว เบียดเจ้ากล่อง Zenfone 3 เหลือแค่กระติ๊ดเดียว แต่เดี๋ยววางหูฟังไว้ก่อน เพราะต้องไปดูพระเอกของเรา ถึงจะกล่องเล็ก แต่มันก็ยังเป็นตัวเอกอยู่ดี ... นี่ตั้งใจจะซื้อสมาร์ทโฟน ไม่ใช่ซื้อหูฟัง
สำหรับ Zenfone 3 ตัวนี้มีชื่อรหัส ZE552KL ซึ่งเป็นรุ่นที่มีหน้าจอ 5.5 นิ้ว และได้รับการเพิ่มแบตเตอร์รี่ให้มีความจุ 3000mAh ส่วนสเปกต่างๆ นั้นจะเหมือนกับรุ่น 5.2 นิ้วทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู แรม พื้นที่เก็บข้อมูล รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่มีมาให้ โดยที่ราคาที่แตกต่างกันราวๆ 4 พันบาท นั้น ถ้านับว่าได้แค่จอใหญ่ขึ้นอีกนิดหน่อย กับแบตเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร ก็ยังถือว่าไม่คุ้ม แต่พอได้หูฟังมาก็เลยพอรับได้ไปโดยปริยาย
สำหรับสเปกคร่าวๆ นั้นมีดังนี้
– หน้าจอ Super IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) จอกระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D
– ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 625 แบบ Octa-core
– หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 506
– แรม 3GB หน่วยความจำในเครื่อง 32GB
– รัน Android 6.0.1 Marshmallow ครอบทับด้วย Zen UI 3.0
– ใช้ได้ 2 ซิม : สล็อต 1 ใช้ Micro SIM , สล็อต 2 ใช้ Nano SIM หรือจะใส่ miroSD ก็ได้ รองรับความจุสูงสุด 2TB
– กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล สนับสนุนด้วยเทคโนโลยี ASUS PixelMaster 3.0, เซนเซอร์ Sony IMX298, Laser Focus, ค่ารูรับแสง f/2.0, มีระบบกับสั่น OIS + EIS และแฟลช Dual tone LED
– กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
– รองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มหลัง ได้สูงสุด 5 นิ้ว
– ใช้ USB Type-C
– แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh
ถ้าดูจากสเปกโดยรวม ก็สมราคา เพราะมือถือราคาหมื่นกลางๆ ก็ได้ประมาณนี้แหละครับ และจุดประสงค์ของผมก็คือเป็นมือถือเครื่องที่ 2 เน้นเอาไว้ใช้งาน Android (เพราะมี iPhone เป็นเครื่องหลักอยู่แล้ว) และไม่ต้องการซื้อแพงมาก แต่ต้องรองรับ 2 ซิมได้ ซึ่ง Zenfone ตั้งแต่รุ่นแรกก็ยึดถึอตามแนวทางนี้มาโดยตลอด จึงเรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ที่เล็งเอาไว้เลย
สิ่งที่ต้องบอกอย่างหนึ่งคือสมาร์ทโฟนตัวนี้เปลี่ยนพอร์ตมาใช้ USB-C เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสายชาร์จเดิมทั้งหมดที่เป็น Micro USB ก็ถึงเวลาปลดระวางได้ ซึ่งการเปลี่ยนพอร์ตมาเป็น USB-C นั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากขึ้นนอกจากจะสามารถเสียบกลับหัวไปมาได้ ไม่ต้องมาเล็งดูด้านการเสียบอีกต่อไป ส่วนความเร็วและการชาร์จนั้นพอๆ กับ Micro USB เดิมนั่นแหละ 5V, 2A เหมือนเดิม
สำหรับการใช้งาน เปิดเครื่องขึ้นมา จะพบกับหน้าจอการติดตั้งเหมือนปกติที่เจอใน Android ทุกรุ่น แต่ของ Zenfone นี้แอบเยอะ เพราะนอกจากจะต้อง Sign In บัญชีของ Gmail แล้ว ยังมีบัญชีของ Asus เอง และมีให้เลือกโหลดติดตั้งแอพฯ ที่ Asus แนะนำ ซึ่งก็ดีสำหรับผู้ใช้มือใหม่ แต่ก็น่ารำคาญอยู่พอสมควรกว่าจะได้เริ่มใช้ และอาจจะเกิดปัญหาแอพฯ ขยะล้นเครื่องถ้าคุณไม่รู้ว่าแอพฯ แต่ละตัวทำหน้าที่อะไรบ้างแล้วดันโหลดมาหมดเลย
หลังการติดตั้งเสร็จก็มาถึง Asus Zen UI ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ใช้งานง่าย ดูเรียบ และน่ารัก ซึ่งแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผม ถือว่ากลางๆ ขอให้ใช้งานง่ายก็โอเคแล้วมีแอพฯพื้นฐานมาให้เรียบร้อยดี พร้อมกับแอพฯเสริมบางตัวติดมาให้พอสมควร
สิ่งที่หนึ่งแอบไม่ชอบคือมันติดตั้งแอพฯ Mobile Manager มาให้ ซึ่งเป็นแอพฯ ประเภท Optimize เครื่อง เคลียร์ไฟล์ขยะ เรียกคือแรม และฟังก์ชันมากมาย ซึ่งผมไม่นิยมใช้ และไม่ชอบใช้เอาเสียเลย ต้องหาทางปิดการทำงานของมัน เพราะมันจะทำงานอัตโนมัติและคอยเช็คเครื่องเราเป็นระยะๆ ใครที่ใช้แอพฯ ประเภทนี้อยู่ก็คงชอบ เพราะมันมีมาให้เลยและทำงานได้ดีทีเดียว แต่ผมไม่ชอบ ปิดทิ้ง จบ
ประสิทธิภาพในการใช้งาน ขออนุญาติไม่เทสด้วย Benchmark เพราะไม่ชอบอ้างอิงคะแนนมากนัก เน้นความรู้สึกในการใช้งานมากกว่า โดยรวมถือว่าน่าประทับใจ ตัวเครื่องให้การใช้งานที่ลื่นไหลดี แม้ว่าจะเปิดแอพฯ หลายๆ ตัวพร้อมกัน โดยเฉพาะพวก Social และโปรแกรมแชทต่างๆ การสลับหน้าต่างทำได้ดี ไม่มีอาการค้างใดๆ ส่วนหนึ่งก็ต้องหมายเหตุตัวโตๆ ว่าเพราะเพิ่งเอามาใช้ ข้อมูลยังไม่เยอะมันก็เลยลื่นอยู่ ไว้ถ้าอัดข้อมูลไปเต็มๆ ก็อาจจะหน่วงได้อันนี้คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ไป
การเล่นแอพฯ หนักๆ พอใช้ได้ เพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับมือถือระดับนี้อยู่แล้ว แต่เข้าไปพอเล่นได้ทั้ง Pokemon Go, Seven Knight, LINE Farm ก็โอเคแล้ว ส่วนถ้าเป็นเกมที่กินกราฟิกสูงๆ ก็คงพอเล่นได้แต่น่าจะมีอาการกระตุกอยู่พอสมควร โดยส่วนตัวถ้าเล่นเกมกราฟิกเยอะๆ ผมจะไปเล่นบน iPhone มากกว่า (ไม่ได้เอามาเทียบกันนะครับ เพราะคนละระดับกันเลย)
เรื่องแบตเตอร์รี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ก็คงวัดอะไรยากเพราะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน อย่างผมเน้นใช้งานผ่าน WiFi เพราะออกไปนอกบ้านไม่บ่อยนัก แต่แอพฯ Social และ Chat นี่จัดเต็มครับ แบตใช้งานเช้ายันเย็นเหลือประมาณ 30% โดยพื้นฐานว่า มันคือเครื่องรองที่ไม่ได้เปิดมาดูบ่อย ไม่มีคนแชทมาบ่อยมากนัก เล่นเกมนิดหน่อยๆ หรือน้อยมาก อาจจะเรียกว่าเป็นการใช้งานของผู้ใช้สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นก็ว่าได้ แต่ถ้าใครเป็นเซียนเกม เทพแชท หรือเน็ตไอดอลแห่งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค อันนี้บอกเลยแบตเยอะกว่านี้ก็คงไม่พอ
มาดูกล้องกันบ้าง ให้มาถึง 16 ล้าน บอกเลยครับว่า "ชัด" จนน่าประทับใจ ทั้งสภาพแสงมาก หรือน้อยก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ประทับใจมากๆ ซึ่งผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ในระดับราคาประมาณนี้จะให้ภาพที่ดีขนาดนี้ทุกรุ่นหรือเปล่า แต่สำหรับ Zenfone 3 ตัวนี้ ผมให้ผ่านครับ เกินความคาดหมายเมื่อเทียบกับราคา
ลองถ่ายแสงน้อยแบบมุดลงไปถ่ายใต้โต๊ะกันเลย
อ่ะ ... มาดูพระรองกันบ้าง จะไม่พูดถึงเลยเดี๋ยวน้อยใจ กับหูฟัง Marshall ที่ให้มาด้วยในกล่องสำหรับ Limited Edition ซึ่งรุ่นนี้เค้าว่าเป็นรุ่นกลางๆ มูลค่าประมาณ 4 พันบาท และผมก็ไม่ใช่พวกหูทองอะไรมากนัก เอาเป็นว่าให้มาก็ใช้ และชอบมากกว่า In-Ear ที่แถมมาให้กล่องแน่นอน เพราะบอกแล้วว่าไม่ชอบ In-Ear
เรื่องคุณภาพเสียง ผมให้อยู่ในระดับเฉยๆ นะครับ หรือใครจะบอกว่าหูผมไม่ดีก็ได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้วด้านคุณภาพเสียงอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร ให้มาก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยแน่นอน แต่สิ่งที่ผมชอบหูฟังตัวนี้คือวัสดุ และชิ้นงานที่ดูมีคุณภาพดี ก็แน่ล่ะ ของแพงนิ ปกติไม่เคยซื้อหูฟังราคาแพงๆ ดังนั้นได้หูฟังที่คุณภาพเสียงดีพอสมควรกับคุณภาพวัสดุที่ดี แบบนี้ก็แฮปปี้ครับ น่าใช้งานทีเดียว และหูฟังตัวนี้ยังเป็น Small Talk และมีปุ่มรีโมทสำหรับปรับเสียงและรับสายมาให้ในตัวด้วย สมแล้วที่มาอยู่คู่กับสมาร์ทโฟน
โดยรวมนะครับ ผมว่า Asus Zenfone 3 Limited Edition จัดว่าเป็นสมาร์ทโฟน Android ที่ดูน่าใช้ดี แต่เน้นว่าต้องเป็น Limited ที่แถมหูฟังมาด้วยนะ เพราะดูคุ้มดี และสำหรับผมที่ไม่ชอบใช้ In-Ear มันคือทางออกครับ ส่วนเรื่องตัวสมาร์ทโฟนก็ยังคงทำได้ดีและคุ้มค่าตามสไตล์ของ Zenfone เค้าล่ะ แม้ว่าหลายๆ คนจะแอบบ่นว่าราคาเริ่มแรงขึ้นก็เถอะ แต่ด้วยดีไซน์ครั้งที่บอกเลยว่าดู "แพง" ขึ้นกว่าเดิม พร้อมฟังก์ชันในการใช้งานที่ครบๆ ในราคาคุ้มๆ หมื่นต้นๆ ถึงหมื่นกลางๆ แบบนี้ก็เป็นตัวเลือกที่โคตรน่าสนใจสำหรับคนที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนดีๆ ในราคาคุ้มๆ ดู ซึ่งเงื่อนไขการเลือก และความชอบส่วนบุคคลผมได้แจ้งไว้หมดแล้ว ใครที่มีความต้องการเป็นอื่นไปก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ครบแบบนี้ก็ได้นะครับ