ประเด็นคือ
หากใช้กระบวนการทางศาล ถ้ายิ่งลักษณ์หนี
กระบวนทางศาลก็ต้องหยุด
แต่เมื่อใช้ ม.44 ให้อำนาจกรมบังคับคดีมีอำนาจยึดทรัพย์ได้
แม้จะหนี กรมบังคับคดีก็เดินเรื่องต่อได้
ถ่ายโอนไปไหน ก็ตามยึดได้หมด
ทีนี้ หากไม่มีให้ล่ะ ?
ก็ต้องตามสืบทรัพย์ ว่ามีที่ไหน เท่าไร ในระหว่างต้องชดใช้นี่ มีรายได้แค่ไหน จากอะไรบ้าง
ก็ตามยึด แต่ก็ไม่ใช่ยึดทั้งหมด ยึดแบบครึ่ง ๆ คือต้องเหลือไว้ให้ผู้ต้องชดใช้ยังชีพด้วย
ช่วงสืบทรัพย์นี่ จะมีระยะเวลา 10 ปี
ช่องสิบปีนี้ สืบได้เท่าไร ยึดได้เท่าไร ก็ได้เท่านั้น
พอพ้นสิบปี หากไม่มีให้ ก็กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
พอเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าหนี้ก็ได้แต่ตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้แล้ว
สภาพล้มละลายจะมีกำหนด 3 ปี
พ้นสามปี ก็ไม่มีพันธะใด ๆ จบเรื่อง
(อย่างแป๊ะลิ้ม ล้มละลายสองรอบชิวๆ ปี 42 ครั้บหนึ่ง ปี 53 ครั้งหนึ่ง ไม่ต้องจ่ายสักบาท
3 ปีพ้นสภาพล้มละลาย เจ้าหนี้ได้แต่ตาปริบ ๆ แต่แป๊ะลิ้มไม่เคยจน ใครจะทำอะไรได้)
จึงเห็นได้ว่า เรื่องนี้
เป็นการ "บีบ" ทางการเมือง
หนีก็บังคับคดีได้ เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนทางศาล
เงินเป็นหมื่นล้าน แม้มีให้ ก็ไม่มีใครยอมจ่ายหรอกครับ
ก็ต้องอยู่ในสภาพรับภาระพันธะกรณี 10 ปี บวกล้มละลาย 3 ปี
ซึ่งก็คือ อย่างน้อย 13 ปีที่จะทำอะไรไม่ได้ ลงสมัคร อบต.ยังไม่ได้
บีบทุกทาง หนีก็ยึด อยู่ก็ยึด
จะหวนกลับมามีอำนาจทางการเมืองเพื่อนเอาคืนก็ไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าปี
ถ้าผมเป็นนายกฯยิ่งลักษณ์
ผมจะบริจาคทรัพย์สินทุกอย่าง ณ วันนี้ให้องค์กรการกุศล
ทรัพย์สินตามที่แจ้งไว้ ก็ห้าร้อยกว่าล้าน ชิว ๆ
อยากยึด ไปตามยึดกับองค์กรการกุศล ไม่ยึดมีเรื่อง ยึดก็มีเรื่อง
สะใจ
เห็นใจก็แต่ท่านอดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายมนัส สร้อยพลอย
ตอนอยู่กับพรรค ปชป. ระบายข้าวกลางปี 52 หลายร้อยตัน
ราคาข้าวหอมปทุม ตันละสองหมื่นสี่ ระบายไปตันละหมื่นหก ขาดทุนตันละแปดพัน
ป.ป.ช. บอกเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง ทั้งที่มีอะไรไม่ชอบมาพากลทุกขั้นตอน
ไม่มีใครผิด ท่านอธิบดีกรมการค้างต่างประเทศก็ไม่ผิด
แต่พอเป็นรัฐบาลเพื่อไทย ก็โดนไล่ออกจากราชการ โดนฟ้อง โดนสั่งให้ชดใช้สี่พันล้าน
ก็แปลกดี ในรัฐบาลหนึ่งทำตามรัฐมนตรีสั่ง ถูกไปหมด ไม่มีอะไรผิด ป.ป.ช.ยืนยัน
แต่กับอีกรัฐบาลหนึ่ง ทำตามรัฐมนตรีสั่งเหมือนกัน แต่ผิดไปหมด โดนไล่ออก โดนฟ้อง โดนสั่งให้ชดใช้
เรื่องนี้ ยังอีกยาว
ไม่ต้องสามหมื่นห้าพันล้านหรอกครับ แค่สามหมื่นห้าพันบาท หากไม่มีให้ ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างมากล้มละลายแค่ 3 ปีก็พ้นพันธะ
หากใช้กระบวนการทางศาล ถ้ายิ่งลักษณ์หนี
กระบวนทางศาลก็ต้องหยุด
แต่เมื่อใช้ ม.44 ให้อำนาจกรมบังคับคดีมีอำนาจยึดทรัพย์ได้
แม้จะหนี กรมบังคับคดีก็เดินเรื่องต่อได้
ถ่ายโอนไปไหน ก็ตามยึดได้หมด
ทีนี้ หากไม่มีให้ล่ะ ?
ก็ต้องตามสืบทรัพย์ ว่ามีที่ไหน เท่าไร ในระหว่างต้องชดใช้นี่ มีรายได้แค่ไหน จากอะไรบ้าง
ก็ตามยึด แต่ก็ไม่ใช่ยึดทั้งหมด ยึดแบบครึ่ง ๆ คือต้องเหลือไว้ให้ผู้ต้องชดใช้ยังชีพด้วย
ช่วงสืบทรัพย์นี่ จะมีระยะเวลา 10 ปี
ช่องสิบปีนี้ สืบได้เท่าไร ยึดได้เท่าไร ก็ได้เท่านั้น
พอพ้นสิบปี หากไม่มีให้ ก็กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
พอเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าหนี้ก็ได้แต่ตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้แล้ว
สภาพล้มละลายจะมีกำหนด 3 ปี
พ้นสามปี ก็ไม่มีพันธะใด ๆ จบเรื่อง
(อย่างแป๊ะลิ้ม ล้มละลายสองรอบชิวๆ ปี 42 ครั้บหนึ่ง ปี 53 ครั้งหนึ่ง ไม่ต้องจ่ายสักบาท
3 ปีพ้นสภาพล้มละลาย เจ้าหนี้ได้แต่ตาปริบ ๆ แต่แป๊ะลิ้มไม่เคยจน ใครจะทำอะไรได้)
จึงเห็นได้ว่า เรื่องนี้
เป็นการ "บีบ" ทางการเมือง
หนีก็บังคับคดีได้ เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนทางศาล
เงินเป็นหมื่นล้าน แม้มีให้ ก็ไม่มีใครยอมจ่ายหรอกครับ
ก็ต้องอยู่ในสภาพรับภาระพันธะกรณี 10 ปี บวกล้มละลาย 3 ปี
ซึ่งก็คือ อย่างน้อย 13 ปีที่จะทำอะไรไม่ได้ ลงสมัคร อบต.ยังไม่ได้
บีบทุกทาง หนีก็ยึด อยู่ก็ยึด
จะหวนกลับมามีอำนาจทางการเมืองเพื่อนเอาคืนก็ไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าปี
ถ้าผมเป็นนายกฯยิ่งลักษณ์
ผมจะบริจาคทรัพย์สินทุกอย่าง ณ วันนี้ให้องค์กรการกุศล
ทรัพย์สินตามที่แจ้งไว้ ก็ห้าร้อยกว่าล้าน ชิว ๆ
อยากยึด ไปตามยึดกับองค์กรการกุศล ไม่ยึดมีเรื่อง ยึดก็มีเรื่อง
สะใจ
เห็นใจก็แต่ท่านอดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายมนัส สร้อยพลอย
ตอนอยู่กับพรรค ปชป. ระบายข้าวกลางปี 52 หลายร้อยตัน
ราคาข้าวหอมปทุม ตันละสองหมื่นสี่ ระบายไปตันละหมื่นหก ขาดทุนตันละแปดพัน
ป.ป.ช. บอกเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง ทั้งที่มีอะไรไม่ชอบมาพากลทุกขั้นตอน
ไม่มีใครผิด ท่านอธิบดีกรมการค้างต่างประเทศก็ไม่ผิด
แต่พอเป็นรัฐบาลเพื่อไทย ก็โดนไล่ออกจากราชการ โดนฟ้อง โดนสั่งให้ชดใช้สี่พันล้าน
ก็แปลกดี ในรัฐบาลหนึ่งทำตามรัฐมนตรีสั่ง ถูกไปหมด ไม่มีอะไรผิด ป.ป.ช.ยืนยัน
แต่กับอีกรัฐบาลหนึ่ง ทำตามรัฐมนตรีสั่งเหมือนกัน แต่ผิดไปหมด โดนไล่ออก โดนฟ้อง โดนสั่งให้ชดใช้
เรื่องนี้ ยังอีกยาว