สวัสดีค่ะ เรื่องของเราก็เหมือนสาวๆ ทั่วไปที่อยากมีผิว และรูปร่างสมส่วนตามวัย
เราเป็นคนมีสิวสมัยวัยรุ่นก็ใช้ยาคลีนิกหมอรักษาสิวในช่วง 17 – 22 ปี ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง ผิวหน้าก็ไม่ได้แย่อะไร
แต่สิ่งที่เราไม่ทำคือ การไม่ทากันแดด .. พอสิวหมด ก็เลิกใช้ยาหมอเพราะสิวไม่มีแล้ว ก็ใช้ครีมบำรุงทั่วไป
เช่น การ์นิเย่ , พอนด์ เป็นต้น สายประหยัดไม่ใช้ของแพง
พออายุเข้า 30 เราเริ่มทากันแดดเมื่อตอนเริ่มมีฝ้าอ่อนๆ บนหน้า และยังคงใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดจัดๆเหมือนเดิม
จึงทำให้เราเริ่มหาข้อมูลการรักษาฝ้าด้วยผัก ผลไม้ก่อน พอทำไปสักพักเรามีความรู้สึกว่า ฝ้าไม่จางลงเลย
ปกติแล้วเราฝังเข็มรักษาการนอนไม่หลับ และปวดศีรษะ เราก็บ่นว่าฝ้ามันเริ่มชัด คุณหมอก็แนะนำว่าฝังเข็มช่วยไหม
เลยเป็นที่มาของการฝังเข็มหน้าใส เราทำติดต่อกันปีที่ 1 - 2 ปี คือ ทำ 10 ครั้ง หยุดพัก 1 เดือน ก็วนไป
ปีที่ 3 เรายุ่งกับการทำงาน และคลีนิกของคุณหมออยู่ไกล เราก็เลยหยุดไม่ฝังเข็ม หน้าก็เริ่มมีเงาฝ้า รูขุมขนกว้าง นอนไม่หลับ กลับมาอีก
ปีที่ 4 เราฝังเข็มต่อ หน้าใส นอนหลับสนิทดี ปีที่ 5-6 หยุดเหมือนเดิม หน้ากลับมารูขุมขนกว้าง เหมือนเดิม
ปีที่ 7 ไปแค่คอร์สเดียว 10 ครั้ง แล้วเราก็หายหน้าไปเลย ในปีที่ 7 นี้ละก็เกิดเรื่องขึ้นเพราะฝ้ามันเข้มขึ้นมาก
มีพี่ที่ทำงานรักษาฝ้าที่คลีนิกแห่งหนึ่ง เราก็ไปรักษาตามเขา เพราะที่นี่ค่ายาไม่แพง แค่รอคิวนานมากเท่านั้นเอง
เรารักษาอยู่ 7 เดือน เรามีความสุขดีกับฝ้าที่จางลงไป หน้าใสขึ้น แต่มันใสแบบแปลก ๆ
ปีนี้ปีที่ 8 พอมาพบคุณหมอฝังเข็มอีกครั้งเนื่องจากคุณหมอมาเปิดคลีนิกใหม่ที่เดินทางสะดวกมากขึ้น
คำพูดแรกที่เจอกัน คือ “ ทำไมไปใช้สเตียรอยด์ ”
ในความเข้าใจของเราสเตียรอยด์คือครีมกิโล , ครีมในเน็ต , ครีมที่ไม่ได้มาตรฐานก็ตอบกลับว่า
“ไม่ได้ใช้ครีมกิโล หรือครีมในเน็ตนะคะ ใช้ยาหมอคลีนิก.........มา 7 เดือนเองค่ะ”
สรุปบทสนทนาและความรู้ที่ได้คือ ทุกคลีนิกมีใช้สเตียรอยด์ สเตียรอยด์ไม่ใช่ไม่ดี แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณในการใช้
สเตียรอยด์ก็เหมือนมีด ..ใช้ให้มีประโยชน์ก็เกิดประโยชน์ ใช้ในทางที่ผิดก็เกิดโทษ เช่น การนำมีดไปฆ่าคนตาย เป็นต้น
สเตียรอยด์ก็เหมือนกันแต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสูตรปรุงครีมนั้นๆ แค่ครีมที่เราใช้มีปริมาณสเตียรอยด์มากเท่านั้นเอง
เราเกิดความกังวลใจ เราเคยอ่านในพันทิพ หรือ เห็นคนที่หน้าพังเพราะสเตียรอยด์ เรากลัวมีปัญหาในอนาคต
นั่นจึงทำให้เราตัดสินใจหยุดครีมรักษาฝ้าจากคลีนิกดังกล่าว แต่เราตัดสินใจผิดที่ “ เราหักดิบ”
เราหยุดทุกอย่างตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 59 ทุกอย่างก็ปกติดี
วันที่ 14 ก.ค. 59 เราทำความสะอาดห้องน้ำ แล้วน้ำยาล้างห้องน้ำกระเด็นโดนหน้า เราก็รีบล้างน้ำอย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันที่ 15 ก.ค. 59 เราเริ่มมีผื่นขึ้นที่ไรผมด้านขวา ก็คิดว่าอาจจะเพราะน้ำยาล้างห้องน้ำที่กระเด็นมาโดน เดี๋ยวก็คงหาย
วันที่ 16 – 20 ก.ค. 59 เป็นวันหยุดเข้าพรรษา และวันอาสาฬบูชาพอดีเรากลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปทำบุญ
วันเสาร์ที่ 16 ก.ค. 59 ผื่นแดงเริ่มชัดเพิ่มขึ้น เราเริ่มกังวลใจว่ามันไม่ใช่สิว พยายามหาข้อมูล และพยายามสงบใจว่าโอเค
มันคือ effect จากการหักดิบยา เราใช้ว่านหางจระเข้สด ปลอกเปลือก ล้างเมือก และแปะหน้า ตัดว่านหางจระเข้มาใส่ในตู้เย็นรอใช้วันต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 17 ก.ค. 59 สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ผื่นคันทั้งหน้า เราตกใจ ร้องไห้เสียขวัญ หาไข่ขาวมาทา ..แต่ไม่มีการยุบตัว
เราใช้ว่านหางจระเข้เย็นมาแปะ แต่ก็มีความรู้สึกว่ามันยังแดง คัน และเห่อทั้งหน้า เราถ่ายรูปส่งไลน์ไปให้คุณหมอประจำของเราดู
ท่านก็บอกว่าเพราะการหยุดยาแบบหักดิบนั่นแล.. เวลาที่หยุดสเตียรอยด์ต้องค่อยๆ หยุดยา จนทำให้หน้าเราไม่รู้สึกว่าต้องการมันอีกต่อไป
จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี หน้าจึงจะลดผื่นลง
วันจันทร์ที่ 18 ก.ค. 59 หน้าของเราเห่อมากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้เราทนไม่ไหว กลับกทม.ทั้งๆที่เรายังไม่ได้ทำบุญตามที่เราตั้งใจไว้
โชคดีที่วันนั้นคุณหมอฝังเข็มเปิดคลีนิก พอมาถึงคุณหมอบอกขอเวลา 2 เดือน เราตัดสินใจฝังเข็มเพื่อรักษาสเตียรอยด์
เพราะจะกลับไปหาคุณหมอคลีนิกเดิมก็คงไม่พ้นรับสเตียรอยด์มาทา ไหนๆ หักดิบมันแล้ว ก็เดินหน้าต่อไป
คุณหมอบอกว่า สิ่งที่กลัวคือรอยดำที่อาจจะเกิดขึ้นจากการอักเสบแบบนี้ แต่เรื่องรอยดำค่อยมาว่ากันหลังจากผื่นยุบไปก่อน
หลังจากฝังเข็มครั้งแรก เมื่อถอนเข็ม มันโอเคมากทีเดียว เพราะผื่นและรอยแดงมันลดลง แต่ .....
แต่เมื่อเราเดินออกจากคลีนิกมาเจออากาศร้อน , ฝุ่นควันจากการจราจร และสิ่งกระตุ้นอื่นๆ หน้าก็เป็นผื่น และแดงเหมือนเดิม
ในวันแรกคุณหมอบอกว่าอย่าใช้หน้ากาก เพราะมันจะอบ ร้อน เกิดการเสียดสีบนผิวหน้า พอถอดอออกแล้วเดินผ่านผู้คน มันยากมาก
คนจะมองเราด้วยสายตา และความรู้สึกที่ต่างกันออกไป เราจิตตกประมาณ 1 อาทิตย์ จึงได้คิดว่า คนที่บั่นทอนจิตใจไม่ใช่คนอื่น
แต่เป็นตัวเราที่คิดว่าคนอื่นจะมองเราในมุมที่เราคิดไปต่างๆนานา จึงหยุดคิดและเชิดหน้าเดินออกนอกบ้านทำตัวปกติ
เราเข้าใจความรู้สึกของคนที่ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นใจเขา แต่ตอนนี้เรามาเป็นเอง ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของเขาเหล่านั้นมากขึ้น
ในระหว่างการฝังเข็ม เราก็คิดจะไปสถาบันโรคผิวหนัง แต่นึกได้ว่า อย่างไรก็คงได้สเตียรอยด์กลับมาแน่ๆ ตกลงใจ รักษาแบบนี้ต่อไป
ขั้นตอนการรักษา
การฝังเข็มโดยปกติจะฝังอาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่การรักษาสิวผื่นสเตียรอยด์จะเป็นแบบวันเว้นวันติดต่อกันไม่มีการหยุดพักเข็ม 1 เดือน
การฝังเข็มที่หน้าของเรา คุณหมอจัดเต็ม และเข็มที่ใช้ก็เป็นเข็มรักษาหน้าโดยเฉพาะซึ่งจะทำให้เจ็บน้อยกว่าบางคลีนิกที่ใช้เข็มตัวมาฝังที่หน้า
คุณหมอจะให้หยุดก็ต่อเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถฝังเข็มได้
ความเครียดทำให้เกิดสิ่งอื่นตามมา
หลังจากเกิดสิวสเตียรอยด์ ร่างกายของเราก็เกิดความผิดปกติตามมา
วันที่ 25 ก.ค. 59 ช่วงที่เราเดินทางกลับบ้าน เราคันมือและเท้า ซึ่งนั่นเป็นอาการแพ้อาหารของเรา
โดยปกติถ้ากินอาหารที่มีฟอร์มาลีนจะเกิดอาการดังกล่าว เราก็พยายามทบทวนว่าวันนั้นทั้งวันเรากินอะไรไปบ้าง
แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ อาหารที่เรากินก็เป็นเมนูทั่วไป อาการคันจะมาทุกวันตอนเย็น แต่มาน้อยจึงยังไม่ใส่ใจหาข้อมูลว่าเราเป็นอะไร
วันที่ 6 ส.ค. 59 เรามีประชุมงานประมาณ 11.30 น. คันมือคันเท้า เราเริ่มแปลกใจทำไมวันนี้มาเร็ว
แต่ อยู่ๆ ก็เกิดจุดแดงขึ้นที่ท้องแขนทั้ง 2 ข้าง ทำให้เราตกใจ แต่ผื่นแดงก็หายไปในระยะเวลาประมาณ 20 นาที
สรุปวันนั้นไม่ได้ไปหาคุณหมอนั่งทำงานต่อ แต่เริ่มหาข้อมูลว่าอาการแบบนี้เป็นอะไร
วันที่ 8 ส.ค. 59 อาการคันและผื่นแดงเริ่มมีทุกวัน ระยะเวลาที่เกิดขึ้นคือ 30 นาที
วันที่ 18 ส.ค. 59 เริ่มมีอาการเห่อที่ปาก ปากจะมีจุดแดงและปากบวม ส่วนอาการคันมือ คันเท้า ผื่นแดงยังมาปกติ
แต่ระยะเวลานานขึ้นจาก 30 นาที เป็น 1 ชม.
วันที่ 20 ส.ค. 59 เริ่มมีผื่นตามตัว ปากจะมีจุดแดง ปากบวม คันมือ คันเท้า ผื่นแดงยังมาปกติ
แต่ถ้าอาทิตย์ไหนกลับบ้านต่างจังหวัด หรือ ไปเที่ยวไหนจะไม่มีอาการคันและผื่นแดง
ในระหว่างนั้น เราก็ฝังเข็มปกติ คุณหมอก็บอกว่าใจเย็นๆ ขอเวลาอีก 1 เดือน
เราหาข้อมูลไปทั่ว เป็นโรคตับ , โรคไต , เซปเดิม หรือ อื่นๆ แต่ที่เรากลัวคือ โรคหลอดเลือดอักเสบ ยิ่งอ่านข้อมูล เฮ้ยย แน่ๆเลย
แต่เราไม่กินยาแก้แพ้ ไม่กินยาอะไร ยกเว้นทา Cadramine lotion เมื่อเวลาเกิดผื่นที่ตามตัวเท่านั้น
วันที่ 30 ส.ค. 59 เราพบคุณหมอที่สถาบันโรคผิวหนังนอกเวลา ไปรอตั้งแต่ 13.30 น. พบหมอตอน 17.30 น.
ได้ยาแก้แพ้มากิน.. คุณหมอบอกว่า เป็นลมพิษจากความเครียด หรือ ลมพิษจากการออกกำลังกาย....
บอกว่าคุณหมอคะ มันเป็นทุกเย็นตอนกลับบ้านนะคะ .. คุณหมอบอก ก็นั่นแหละได้รับความเครียดตอนนั้นพอดี ...
อืม...... สูญญาณกาศทางอารมณ์และความคิด เดินออกมาจ่ายเงิน + รับยา
เราหมดข้อสงสัยกับการไป หรือ ไม่ไปสถาบันโรคผิวหนังดี ขณะที่นั่งรอคุณหมอ เราสังเกตว่ามีหนุ่มสาวไปด้วยเรื่องสิวสเตียรอยด์จำนวนมาก
เขาเหล่านั้นคุยกับคุณหมอไม่ถึง 5 นาที ก็ได้ยินว่า เอายาไปทาแล้วค่อยกลับมาดูใหม่ ..
เราผ่านจุดรักษาสิวสเตียรอยด์มาแล้วในเวลาการรักษา 1 เดือน ฝังเข็มต่อและพยายามดื่มน้ำให้ครบ 1,6000 ML.
จนถึงวันนี้ ผื่นมาบ้างเล็กน้อย อาการคันมีน้อยมาก แต่ยังพอมีอยู่บ้าง
หน้าของเราผื่นน้อยแบบเป็นปกติคือวันที่ 12 ส.ค. 59 ซึ่งเร็วกว่าที่คุณหมอให้เวลาไว้ 1 เดือน อาจจะเป็นเพราะพอเป็นแล้วรีบรักษาทันที
แต่เราต้องต่อสู้กับลมพิษที่เกิดจากความเครียด (หมอสถาบันโรคผิวหนังเขาว่าแบบนั้น) ต่อไป..
นี่คือรูปปัจจุบัน วันที่ 24 ก.ย. 59 วันที่ตั้งกระทู้นี้
รูปที่ลงไม่มีการใช้ App ไม่เพิ่มแสง ไม่ตกแต่งภาพใด ๆ ยกเว้น Resize กับ ใส่ Watermark เท่านั้น
ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า
1. ล้างน้ำเปล่า ตามด้วยเช็ดน้ำเกลือ
2. ทา Ezerra
3. ทากันแดด อย่างอื่นที่เขาว่าดี อ่อนโยนกับผิวที่ติดสเตียรอยด์ เราแพ้หมด กันแดดตัวนี้บางมาก เราทาทุก 2 ชม.เลยทีเดียว
ตอนนี้หน้าว่างไม่แต่งหน้ามา 2 เดือน ครีมอะไรก็ไม่กล้าใช้เพราะกลัวจะแพ้
การมีผื่นเต็มหน้า ลูบหน้าแล้วสากมือ มันเป็นอะไรที่เกินบรรยายจริงๆ
ฝังเข็มแล้วได้หน้าใสกลับมา รูขุมขนก็เล็กลง นอนหลับ ไม่ปวดหัว
ส่วนเรื่องประเด็นข้อมูลฝังเข็ม คงหาอ่านได้จาก Internet อยู่แล้วเลยไม่กล่าวถึงนะคะ
ขอบคุณคุณหมอมากๆ ค่ะ ที่ทำให้หน้าใสเหมือนเดิม
วันที่ 8 ต.ค. 59
แก้ไขโดยการลบรูปออกทั้งหมด แต่เนื้อหา และข้อความต่างๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ใครที่หลังไมค์ถามเรื่องคลีนิกชื่อดังที่หน้าเราติดสเตียรอยด์ และคลีนิกฝังเข็มมา เราไม่ตอบกลับนะคะ
สู้สิวสเตียรอยด์ด้วยการฝังเข็ม
เราเป็นคนมีสิวสมัยวัยรุ่นก็ใช้ยาคลีนิกหมอรักษาสิวในช่วง 17 – 22 ปี ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง ผิวหน้าก็ไม่ได้แย่อะไร
แต่สิ่งที่เราไม่ทำคือ การไม่ทากันแดด .. พอสิวหมด ก็เลิกใช้ยาหมอเพราะสิวไม่มีแล้ว ก็ใช้ครีมบำรุงทั่วไป
เช่น การ์นิเย่ , พอนด์ เป็นต้น สายประหยัดไม่ใช้ของแพง
พออายุเข้า 30 เราเริ่มทากันแดดเมื่อตอนเริ่มมีฝ้าอ่อนๆ บนหน้า และยังคงใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดจัดๆเหมือนเดิม
จึงทำให้เราเริ่มหาข้อมูลการรักษาฝ้าด้วยผัก ผลไม้ก่อน พอทำไปสักพักเรามีความรู้สึกว่า ฝ้าไม่จางลงเลย
ปกติแล้วเราฝังเข็มรักษาการนอนไม่หลับ และปวดศีรษะ เราก็บ่นว่าฝ้ามันเริ่มชัด คุณหมอก็แนะนำว่าฝังเข็มช่วยไหม
เลยเป็นที่มาของการฝังเข็มหน้าใส เราทำติดต่อกันปีที่ 1 - 2 ปี คือ ทำ 10 ครั้ง หยุดพัก 1 เดือน ก็วนไป
ปีที่ 3 เรายุ่งกับการทำงาน และคลีนิกของคุณหมออยู่ไกล เราก็เลยหยุดไม่ฝังเข็ม หน้าก็เริ่มมีเงาฝ้า รูขุมขนกว้าง นอนไม่หลับ กลับมาอีก
ปีที่ 4 เราฝังเข็มต่อ หน้าใส นอนหลับสนิทดี ปีที่ 5-6 หยุดเหมือนเดิม หน้ากลับมารูขุมขนกว้าง เหมือนเดิม
ปีที่ 7 ไปแค่คอร์สเดียว 10 ครั้ง แล้วเราก็หายหน้าไปเลย ในปีที่ 7 นี้ละก็เกิดเรื่องขึ้นเพราะฝ้ามันเข้มขึ้นมาก
มีพี่ที่ทำงานรักษาฝ้าที่คลีนิกแห่งหนึ่ง เราก็ไปรักษาตามเขา เพราะที่นี่ค่ายาไม่แพง แค่รอคิวนานมากเท่านั้นเอง
เรารักษาอยู่ 7 เดือน เรามีความสุขดีกับฝ้าที่จางลงไป หน้าใสขึ้น แต่มันใสแบบแปลก ๆ
ปีนี้ปีที่ 8 พอมาพบคุณหมอฝังเข็มอีกครั้งเนื่องจากคุณหมอมาเปิดคลีนิกใหม่ที่เดินทางสะดวกมากขึ้น
คำพูดแรกที่เจอกัน คือ “ ทำไมไปใช้สเตียรอยด์ ”
ในความเข้าใจของเราสเตียรอยด์คือครีมกิโล , ครีมในเน็ต , ครีมที่ไม่ได้มาตรฐานก็ตอบกลับว่า
“ไม่ได้ใช้ครีมกิโล หรือครีมในเน็ตนะคะ ใช้ยาหมอคลีนิก.........มา 7 เดือนเองค่ะ”
สรุปบทสนทนาและความรู้ที่ได้คือ ทุกคลีนิกมีใช้สเตียรอยด์ สเตียรอยด์ไม่ใช่ไม่ดี แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณในการใช้
สเตียรอยด์ก็เหมือนมีด ..ใช้ให้มีประโยชน์ก็เกิดประโยชน์ ใช้ในทางที่ผิดก็เกิดโทษ เช่น การนำมีดไปฆ่าคนตาย เป็นต้น
สเตียรอยด์ก็เหมือนกันแต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสูตรปรุงครีมนั้นๆ แค่ครีมที่เราใช้มีปริมาณสเตียรอยด์มากเท่านั้นเอง
เราเกิดความกังวลใจ เราเคยอ่านในพันทิพ หรือ เห็นคนที่หน้าพังเพราะสเตียรอยด์ เรากลัวมีปัญหาในอนาคต
นั่นจึงทำให้เราตัดสินใจหยุดครีมรักษาฝ้าจากคลีนิกดังกล่าว แต่เราตัดสินใจผิดที่ “ เราหักดิบ”
เราหยุดทุกอย่างตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 59 ทุกอย่างก็ปกติดี
วันที่ 14 ก.ค. 59 เราทำความสะอาดห้องน้ำ แล้วน้ำยาล้างห้องน้ำกระเด็นโดนหน้า เราก็รีบล้างน้ำอย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันที่ 15 ก.ค. 59 เราเริ่มมีผื่นขึ้นที่ไรผมด้านขวา ก็คิดว่าอาจจะเพราะน้ำยาล้างห้องน้ำที่กระเด็นมาโดน เดี๋ยวก็คงหาย
วันที่ 16 – 20 ก.ค. 59 เป็นวันหยุดเข้าพรรษา และวันอาสาฬบูชาพอดีเรากลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปทำบุญ
วันเสาร์ที่ 16 ก.ค. 59 ผื่นแดงเริ่มชัดเพิ่มขึ้น เราเริ่มกังวลใจว่ามันไม่ใช่สิว พยายามหาข้อมูล และพยายามสงบใจว่าโอเค
มันคือ effect จากการหักดิบยา เราใช้ว่านหางจระเข้สด ปลอกเปลือก ล้างเมือก และแปะหน้า ตัดว่านหางจระเข้มาใส่ในตู้เย็นรอใช้วันต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 17 ก.ค. 59 สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ผื่นคันทั้งหน้า เราตกใจ ร้องไห้เสียขวัญ หาไข่ขาวมาทา ..แต่ไม่มีการยุบตัว
เราใช้ว่านหางจระเข้เย็นมาแปะ แต่ก็มีความรู้สึกว่ามันยังแดง คัน และเห่อทั้งหน้า เราถ่ายรูปส่งไลน์ไปให้คุณหมอประจำของเราดู
ท่านก็บอกว่าเพราะการหยุดยาแบบหักดิบนั่นแล.. เวลาที่หยุดสเตียรอยด์ต้องค่อยๆ หยุดยา จนทำให้หน้าเราไม่รู้สึกว่าต้องการมันอีกต่อไป
จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี หน้าจึงจะลดผื่นลง
วันจันทร์ที่ 18 ก.ค. 59 หน้าของเราเห่อมากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้เราทนไม่ไหว กลับกทม.ทั้งๆที่เรายังไม่ได้ทำบุญตามที่เราตั้งใจไว้
โชคดีที่วันนั้นคุณหมอฝังเข็มเปิดคลีนิก พอมาถึงคุณหมอบอกขอเวลา 2 เดือน เราตัดสินใจฝังเข็มเพื่อรักษาสเตียรอยด์
เพราะจะกลับไปหาคุณหมอคลีนิกเดิมก็คงไม่พ้นรับสเตียรอยด์มาทา ไหนๆ หักดิบมันแล้ว ก็เดินหน้าต่อไป
คุณหมอบอกว่า สิ่งที่กลัวคือรอยดำที่อาจจะเกิดขึ้นจากการอักเสบแบบนี้ แต่เรื่องรอยดำค่อยมาว่ากันหลังจากผื่นยุบไปก่อน
หลังจากฝังเข็มครั้งแรก เมื่อถอนเข็ม มันโอเคมากทีเดียว เพราะผื่นและรอยแดงมันลดลง แต่ .....
แต่เมื่อเราเดินออกจากคลีนิกมาเจออากาศร้อน , ฝุ่นควันจากการจราจร และสิ่งกระตุ้นอื่นๆ หน้าก็เป็นผื่น และแดงเหมือนเดิม
ในวันแรกคุณหมอบอกว่าอย่าใช้หน้ากาก เพราะมันจะอบ ร้อน เกิดการเสียดสีบนผิวหน้า พอถอดอออกแล้วเดินผ่านผู้คน มันยากมาก
คนจะมองเราด้วยสายตา และความรู้สึกที่ต่างกันออกไป เราจิตตกประมาณ 1 อาทิตย์ จึงได้คิดว่า คนที่บั่นทอนจิตใจไม่ใช่คนอื่น
แต่เป็นตัวเราที่คิดว่าคนอื่นจะมองเราในมุมที่เราคิดไปต่างๆนานา จึงหยุดคิดและเชิดหน้าเดินออกนอกบ้านทำตัวปกติ
เราเข้าใจความรู้สึกของคนที่ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นใจเขา แต่ตอนนี้เรามาเป็นเอง ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของเขาเหล่านั้นมากขึ้น
ในระหว่างการฝังเข็ม เราก็คิดจะไปสถาบันโรคผิวหนัง แต่นึกได้ว่า อย่างไรก็คงได้สเตียรอยด์กลับมาแน่ๆ ตกลงใจ รักษาแบบนี้ต่อไป
ขั้นตอนการรักษา
การฝังเข็มโดยปกติจะฝังอาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่การรักษาสิวผื่นสเตียรอยด์จะเป็นแบบวันเว้นวันติดต่อกันไม่มีการหยุดพักเข็ม 1 เดือน
การฝังเข็มที่หน้าของเรา คุณหมอจัดเต็ม และเข็มที่ใช้ก็เป็นเข็มรักษาหน้าโดยเฉพาะซึ่งจะทำให้เจ็บน้อยกว่าบางคลีนิกที่ใช้เข็มตัวมาฝังที่หน้า
คุณหมอจะให้หยุดก็ต่อเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถฝังเข็มได้
ความเครียดทำให้เกิดสิ่งอื่นตามมา
หลังจากเกิดสิวสเตียรอยด์ ร่างกายของเราก็เกิดความผิดปกติตามมา
วันที่ 25 ก.ค. 59 ช่วงที่เราเดินทางกลับบ้าน เราคันมือและเท้า ซึ่งนั่นเป็นอาการแพ้อาหารของเรา
โดยปกติถ้ากินอาหารที่มีฟอร์มาลีนจะเกิดอาการดังกล่าว เราก็พยายามทบทวนว่าวันนั้นทั้งวันเรากินอะไรไปบ้าง
แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ อาหารที่เรากินก็เป็นเมนูทั่วไป อาการคันจะมาทุกวันตอนเย็น แต่มาน้อยจึงยังไม่ใส่ใจหาข้อมูลว่าเราเป็นอะไร
วันที่ 6 ส.ค. 59 เรามีประชุมงานประมาณ 11.30 น. คันมือคันเท้า เราเริ่มแปลกใจทำไมวันนี้มาเร็ว
แต่ อยู่ๆ ก็เกิดจุดแดงขึ้นที่ท้องแขนทั้ง 2 ข้าง ทำให้เราตกใจ แต่ผื่นแดงก็หายไปในระยะเวลาประมาณ 20 นาที
สรุปวันนั้นไม่ได้ไปหาคุณหมอนั่งทำงานต่อ แต่เริ่มหาข้อมูลว่าอาการแบบนี้เป็นอะไร
วันที่ 8 ส.ค. 59 อาการคันและผื่นแดงเริ่มมีทุกวัน ระยะเวลาที่เกิดขึ้นคือ 30 นาที
วันที่ 18 ส.ค. 59 เริ่มมีอาการเห่อที่ปาก ปากจะมีจุดแดงและปากบวม ส่วนอาการคันมือ คันเท้า ผื่นแดงยังมาปกติ
แต่ระยะเวลานานขึ้นจาก 30 นาที เป็น 1 ชม.
วันที่ 20 ส.ค. 59 เริ่มมีผื่นตามตัว ปากจะมีจุดแดง ปากบวม คันมือ คันเท้า ผื่นแดงยังมาปกติ
แต่ถ้าอาทิตย์ไหนกลับบ้านต่างจังหวัด หรือ ไปเที่ยวไหนจะไม่มีอาการคันและผื่นแดง
ในระหว่างนั้น เราก็ฝังเข็มปกติ คุณหมอก็บอกว่าใจเย็นๆ ขอเวลาอีก 1 เดือน
เราหาข้อมูลไปทั่ว เป็นโรคตับ , โรคไต , เซปเดิม หรือ อื่นๆ แต่ที่เรากลัวคือ โรคหลอดเลือดอักเสบ ยิ่งอ่านข้อมูล เฮ้ยย แน่ๆเลย
แต่เราไม่กินยาแก้แพ้ ไม่กินยาอะไร ยกเว้นทา Cadramine lotion เมื่อเวลาเกิดผื่นที่ตามตัวเท่านั้น
วันที่ 30 ส.ค. 59 เราพบคุณหมอที่สถาบันโรคผิวหนังนอกเวลา ไปรอตั้งแต่ 13.30 น. พบหมอตอน 17.30 น.
ได้ยาแก้แพ้มากิน.. คุณหมอบอกว่า เป็นลมพิษจากความเครียด หรือ ลมพิษจากการออกกำลังกาย....
บอกว่าคุณหมอคะ มันเป็นทุกเย็นตอนกลับบ้านนะคะ .. คุณหมอบอก ก็นั่นแหละได้รับความเครียดตอนนั้นพอดี ...
อืม...... สูญญาณกาศทางอารมณ์และความคิด เดินออกมาจ่ายเงิน + รับยา
เราหมดข้อสงสัยกับการไป หรือ ไม่ไปสถาบันโรคผิวหนังดี ขณะที่นั่งรอคุณหมอ เราสังเกตว่ามีหนุ่มสาวไปด้วยเรื่องสิวสเตียรอยด์จำนวนมาก
เขาเหล่านั้นคุยกับคุณหมอไม่ถึง 5 นาที ก็ได้ยินว่า เอายาไปทาแล้วค่อยกลับมาดูใหม่ ..
เราผ่านจุดรักษาสิวสเตียรอยด์มาแล้วในเวลาการรักษา 1 เดือน ฝังเข็มต่อและพยายามดื่มน้ำให้ครบ 1,6000 ML.
จนถึงวันนี้ ผื่นมาบ้างเล็กน้อย อาการคันมีน้อยมาก แต่ยังพอมีอยู่บ้าง
หน้าของเราผื่นน้อยแบบเป็นปกติคือวันที่ 12 ส.ค. 59 ซึ่งเร็วกว่าที่คุณหมอให้เวลาไว้ 1 เดือน อาจจะเป็นเพราะพอเป็นแล้วรีบรักษาทันที
แต่เราต้องต่อสู้กับลมพิษที่เกิดจากความเครียด (หมอสถาบันโรคผิวหนังเขาว่าแบบนั้น) ต่อไป..
นี่คือรูปปัจจุบัน วันที่ 24 ก.ย. 59 วันที่ตั้งกระทู้นี้
รูปที่ลงไม่มีการใช้ App ไม่เพิ่มแสง ไม่ตกแต่งภาพใด ๆ ยกเว้น Resize กับ ใส่ Watermark เท่านั้น
ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า
1. ล้างน้ำเปล่า ตามด้วยเช็ดน้ำเกลือ
2. ทา Ezerra
3. ทากันแดด อย่างอื่นที่เขาว่าดี อ่อนโยนกับผิวที่ติดสเตียรอยด์ เราแพ้หมด กันแดดตัวนี้บางมาก เราทาทุก 2 ชม.เลยทีเดียว
ตอนนี้หน้าว่างไม่แต่งหน้ามา 2 เดือน ครีมอะไรก็ไม่กล้าใช้เพราะกลัวจะแพ้
การมีผื่นเต็มหน้า ลูบหน้าแล้วสากมือ มันเป็นอะไรที่เกินบรรยายจริงๆ
ฝังเข็มแล้วได้หน้าใสกลับมา รูขุมขนก็เล็กลง นอนหลับ ไม่ปวดหัว
ส่วนเรื่องประเด็นข้อมูลฝังเข็ม คงหาอ่านได้จาก Internet อยู่แล้วเลยไม่กล่าวถึงนะคะ
ขอบคุณคุณหมอมากๆ ค่ะ ที่ทำให้หน้าใสเหมือนเดิม
วันที่ 8 ต.ค. 59
แก้ไขโดยการลบรูปออกทั้งหมด แต่เนื้อหา และข้อความต่างๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ใครที่หลังไมค์ถามเรื่องคลีนิกชื่อดังที่หน้าเราติดสเตียรอยด์ และคลีนิกฝังเข็มมา เราไม่ตอบกลับนะคะ