จากนักแสดงที่ไม่ได้โด่งดังมากมายอะไร Tom Hardy กลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในโลก!
แม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีแต่นักแสดงหนุ่มหล่อล่ำมากฝีมืออย่าง “ทอม ฮาร์ดี” กลับไม่ค่อยได้รับการจับตามองจากคนทั่วไปที่ไม่ใช่คอหนังหรือแฟนบันเทิงเท่าไหร่นัก
จนกระทั่งถึงปีที่ผ่านมาซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปีทองของเขา เพราะนอกจากจะได้แสดงบทนำในภาพยนตร์รีเมคที่โด่งดังและได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกไปทั่วโลกอย่าง Mad Max แล้ว ทอมยังได้ขับร้องละครเพลง รับบทบาทแปลกใหม่ และได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายจาก “The Revenant”
บทบาทแรกของทอมในฐานะนักแสดงคือละครโทรทัศน์ของ HBO เรื่อง “Band of Brothers” ส่วนภาพยนตร์คือเรื่อง “Black Hawk Down” แต่ต่อมาทอมได้ประสบปัญหาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์และยาเสพติดจนชีวิตก้าวเข้าสู่ด้านมืดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
แต่ในที่สุดทอมก็สามารถเอาชนะใจตัวเองและโชคชะตา เพื่อกลับมาเฉิดฉายในวงการบันเทิงให้ทั้งโลกได้จับตามองอีกครั้ง
เอ็ดเวิร์ด โทมัส “ทอม” ฮาร์ดี เกิดวันที่ 15 กันยายน 1977 ในเขต East Sheen กรุงลอนดอน ทอมในวัย 20 ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงเนื่องจากชนะเลิศการประกวดนายแบบจากรายการ “The Big Breakfast”
ทอมในช่วงวัยรุ่นเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียนในข้อหาลักขโมย เขาใช้ความพยายามถึงสองหนในการสมัครเข้าศึกษาต่อในสถาบันการละครที่โด่งดังในลอนดอน จนในที่สุดก็ได้เข้าเรียนและรับบทเป็น John Janovec ในซีรี่ส์เรื่อง “Band of Brothers” ขณะที่ยังเป็นนักศึกษา
ทอมได้แสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง “Black Hawk Down” ของผู้กำกับชื่อดังริดลีย์ สก็อตต์
บทบาทต่อมาของเขาคือ Shinzon จาก “Star Trek: Nemesis” ในปี 2002 ภาพยนตร์ภาคต่อที่ประสบความสำเร็จของซีรี่ส์ Star Trek: The Next Generation
ทอมมีผลงานภาพยนตร์ประปรายแต่ไม่โด่งดังมากเท่าไหร่นัก เขาจึงหันไปพึ่งแอลกอฮอล์และยาเสพติดจนต้องเข้ารับการบำบัดในปี 2003
ด้วยความมุ่งมั่นในการกลับตัวกลับใจ ปีเดียวกันนั้นทอมได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ของ London Evening Standard จากผลงานละครเวทีเรื่อง “In Arabia We’d All Be Kings” และ “Blood”
ในปี 2005 เขากลับมาแสดงละครโทรทัศน์อีกครั้งในเรื่อง “The Virgin Queen” ของช่อง BBC
และในปีต่อมาเขาก็รับบทเป็น Raumont จากภาพยนตร์ “Marie Antoinette”
ทอมเป็นนักแสดงผู้มุ่งมั่นที่ได้รับการยอมรับเรื่องความทุ่มเท เขาลดน้ำหนักเกือบ 30 ปอนด์หรือราว 13 กิโลกรัม เพื่อรับบทบาทเป็นคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติดในเรื่อง “Stuart: A Life Backwards” จนได้เข้าชิงรางวัลด้านการแสดงของแบฟตา (BAFTA) เป็นครั้งแรก
ในปี 2008 เขาเพิ่มน้ำหนักและกล้ามเนื้อกว่า 42 ปอนด์หรือราว 19 กิโลกรัมเพื่อภาพยนตร์เรื่อง “Bronson” และได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก British Independent Film Award
ในปีเดียวกันนี้เขายังได้แสดงภาพยนตร์ “Sucker Punch” และ “RocknRolla”
ต่อมาในปี 2009 เขารับบท Heathcliff ในมินิซีรี่ส์ที่ดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง “Wuthering Heights” ซึ่งทำให้ทอมได้พบกับภรรยาของเขา “ชาร์ล็อต ไรลีย์” ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2014 และมีบุตรในปี 2015 ก่อนหน้านี้ทอมเคยแต่งงานมาก่อนและมีลูกชายหนึ่งคน
ทอมได้แสดงละครเวทีอเมริกันเป็นครั้งแรกในเรื่อง “The Long Red Road” ของผู้กำกับฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน ปี 2010
หลังจากที่เคยเข้าชิงมาก่อนในที่สุดเขาได้รับรางวัลแบฟตาจากภาพยนตร์ดังเรื่อง “Inception”
ในปี 2011 ทอมได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “Tinker Tailor Soldier Spy” ร่วมกับแกรี โอลด์แมน
และยังรับบทบาทใน “Warrior” ร่วมกับโจล เอ็ดเกอร์ทอน
เขาได้รับการจับตามองจากผู้คนในวงการบันเทิงสหรัฐฯ มากขึ้นหลังรับบทบาทเป็น Bane ในภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลน “แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด (The Dark Knight Rises)”
ทอมยังได้แสดงภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่อง “This Means War” ในปี 2012 และรับบทเป็นคนขายสุราเถื่อนจาก “Lawless”
นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกมากมายเช่นภาพยนตร์ลุ้นระทึกอย่าง “Locke”
“The Drop” ละครเวทีเรื่องสุดท้ายของ James Gandolfini และ “Child 44” ในปี 2015 ที่ผ่านมา
ทอมเป็นชายหนุ่มที่รักสุนัขมาก เขาเลี้ยงสุนัขไว้สองตัวและถึงขนาดสักรูปเจ้าพิตบูลไว้ที่แผ่นหลัง
ทอมกลับมารับบทในละครของ BBC อีกครั้งในซีซั่นสองของ “Peaky Blinders”
บทบาทที่โดดเด่นที่สุดของเขาคงจะเป็นเรื่องใดไปไม่ได้นอกจากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จถล่มทลายอย่าง “Mad Max: Fury Road” ที่เข้าชิงออสการ์ถึง 10 สาขา และเขาจะกลับมารับบทบาทใน “Mad Max: The Wasteland” อีกครั้งในปี 2017 ที่จะถึงนี้
นอกจากแสดงภาพยนตร์แล้วทอมก็ได้แจ้งเกิดในวงการเพลงด้วยการขับร้องละครเพลงเรื่อง “London Road”
ทอมยังได้รับบทบาทเป็นอันธพาลจากเกาะอังกฤษในเรื่อง “Legend”
เขาประสบความสำเร็จถล่มทลายจากเรื่อง “The Revenant” จนได้เข้าชิงรางวัลเกียรติยศของนักแสดงอย่างรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
ทอมและเพื่อนสนิท Dean Baker ยังได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชั่น Hardy Son & Baker ในปี 2012 ซึ่งได้อำนวยการสร้างสารคดีโทรทัศน์ “Poaching Wars” และกำลังจะสร้างมินิซีรี่ส์ “Taboo” ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ทอมได้ร่วมแสดงด้วยตัวเอง
ล่าสุดเขากำลังจะรับบทบาทในภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลน อีกครั้งในเรื่อง “Dunkirk” ร่วมกับนักแสดงมากฝีมือ Mark Rylance ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาเดียวกันจากภาพยนตร์เรื่อง “Bridge of Spies”
ที่มา: BusinessInsider, ภาพจาก: slashfilm, goodmantheatre, moviepilot, telegraph
บทความจาก
http://www.meekhao.com/news/tom-hardy
เส้นทางนี้ยิ่งกว่าหนังเรื่องใด! จากนักแสดงไร้ชื่อติดยา สู่ดาราชายผู้ไล่ล่าออสการ์
แม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีแต่นักแสดงหนุ่มหล่อล่ำมากฝีมืออย่าง “ทอม ฮาร์ดี” กลับไม่ค่อยได้รับการจับตามองจากคนทั่วไปที่ไม่ใช่คอหนังหรือแฟนบันเทิงเท่าไหร่นัก
จนกระทั่งถึงปีที่ผ่านมาซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปีทองของเขา เพราะนอกจากจะได้แสดงบทนำในภาพยนตร์รีเมคที่โด่งดังและได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกไปทั่วโลกอย่าง Mad Max แล้ว ทอมยังได้ขับร้องละครเพลง รับบทบาทแปลกใหม่ และได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายจาก “The Revenant”
บทบาทแรกของทอมในฐานะนักแสดงคือละครโทรทัศน์ของ HBO เรื่อง “Band of Brothers” ส่วนภาพยนตร์คือเรื่อง “Black Hawk Down” แต่ต่อมาทอมได้ประสบปัญหาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์และยาเสพติดจนชีวิตก้าวเข้าสู่ด้านมืดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
แต่ในที่สุดทอมก็สามารถเอาชนะใจตัวเองและโชคชะตา เพื่อกลับมาเฉิดฉายในวงการบันเทิงให้ทั้งโลกได้จับตามองอีกครั้ง
เอ็ดเวิร์ด โทมัส “ทอม” ฮาร์ดี เกิดวันที่ 15 กันยายน 1977 ในเขต East Sheen กรุงลอนดอน ทอมในวัย 20 ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงเนื่องจากชนะเลิศการประกวดนายแบบจากรายการ “The Big Breakfast”
ทอมในช่วงวัยรุ่นเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียนในข้อหาลักขโมย เขาใช้ความพยายามถึงสองหนในการสมัครเข้าศึกษาต่อในสถาบันการละครที่โด่งดังในลอนดอน จนในที่สุดก็ได้เข้าเรียนและรับบทเป็น John Janovec ในซีรี่ส์เรื่อง “Band of Brothers” ขณะที่ยังเป็นนักศึกษา
ทอมได้แสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง “Black Hawk Down” ของผู้กำกับชื่อดังริดลีย์ สก็อตต์
บทบาทต่อมาของเขาคือ Shinzon จาก “Star Trek: Nemesis” ในปี 2002 ภาพยนตร์ภาคต่อที่ประสบความสำเร็จของซีรี่ส์ Star Trek: The Next Generation
ทอมมีผลงานภาพยนตร์ประปรายแต่ไม่โด่งดังมากเท่าไหร่นัก เขาจึงหันไปพึ่งแอลกอฮอล์และยาเสพติดจนต้องเข้ารับการบำบัดในปี 2003
ด้วยความมุ่งมั่นในการกลับตัวกลับใจ ปีเดียวกันนั้นทอมได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ของ London Evening Standard จากผลงานละครเวทีเรื่อง “In Arabia We’d All Be Kings” และ “Blood”
ในปี 2005 เขากลับมาแสดงละครโทรทัศน์อีกครั้งในเรื่อง “The Virgin Queen” ของช่อง BBC
และในปีต่อมาเขาก็รับบทเป็น Raumont จากภาพยนตร์ “Marie Antoinette”
ทอมเป็นนักแสดงผู้มุ่งมั่นที่ได้รับการยอมรับเรื่องความทุ่มเท เขาลดน้ำหนักเกือบ 30 ปอนด์หรือราว 13 กิโลกรัม เพื่อรับบทบาทเป็นคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติดในเรื่อง “Stuart: A Life Backwards” จนได้เข้าชิงรางวัลด้านการแสดงของแบฟตา (BAFTA) เป็นครั้งแรก
ในปี 2008 เขาเพิ่มน้ำหนักและกล้ามเนื้อกว่า 42 ปอนด์หรือราว 19 กิโลกรัมเพื่อภาพยนตร์เรื่อง “Bronson” และได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก British Independent Film Award
ในปีเดียวกันนี้เขายังได้แสดงภาพยนตร์ “Sucker Punch” และ “RocknRolla”
ต่อมาในปี 2009 เขารับบท Heathcliff ในมินิซีรี่ส์ที่ดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง “Wuthering Heights” ซึ่งทำให้ทอมได้พบกับภรรยาของเขา “ชาร์ล็อต ไรลีย์” ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2014 และมีบุตรในปี 2015 ก่อนหน้านี้ทอมเคยแต่งงานมาก่อนและมีลูกชายหนึ่งคน
ทอมได้แสดงละครเวทีอเมริกันเป็นครั้งแรกในเรื่อง “The Long Red Road” ของผู้กำกับฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน ปี 2010
หลังจากที่เคยเข้าชิงมาก่อนในที่สุดเขาได้รับรางวัลแบฟตาจากภาพยนตร์ดังเรื่อง “Inception”
ในปี 2011 ทอมได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “Tinker Tailor Soldier Spy” ร่วมกับแกรี โอลด์แมน
และยังรับบทบาทใน “Warrior” ร่วมกับโจล เอ็ดเกอร์ทอน
เขาได้รับการจับตามองจากผู้คนในวงการบันเทิงสหรัฐฯ มากขึ้นหลังรับบทบาทเป็น Bane ในภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลน “แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด (The Dark Knight Rises)”
ทอมยังได้แสดงภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่อง “This Means War” ในปี 2012 และรับบทเป็นคนขายสุราเถื่อนจาก “Lawless”
นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกมากมายเช่นภาพยนตร์ลุ้นระทึกอย่าง “Locke”
“The Drop” ละครเวทีเรื่องสุดท้ายของ James Gandolfini และ “Child 44” ในปี 2015 ที่ผ่านมา
ทอมเป็นชายหนุ่มที่รักสุนัขมาก เขาเลี้ยงสุนัขไว้สองตัวและถึงขนาดสักรูปเจ้าพิตบูลไว้ที่แผ่นหลัง
ทอมกลับมารับบทในละครของ BBC อีกครั้งในซีซั่นสองของ “Peaky Blinders”
บทบาทที่โดดเด่นที่สุดของเขาคงจะเป็นเรื่องใดไปไม่ได้นอกจากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จถล่มทลายอย่าง “Mad Max: Fury Road” ที่เข้าชิงออสการ์ถึง 10 สาขา และเขาจะกลับมารับบทบาทใน “Mad Max: The Wasteland” อีกครั้งในปี 2017 ที่จะถึงนี้
นอกจากแสดงภาพยนตร์แล้วทอมก็ได้แจ้งเกิดในวงการเพลงด้วยการขับร้องละครเพลงเรื่อง “London Road”
ทอมยังได้รับบทบาทเป็นอันธพาลจากเกาะอังกฤษในเรื่อง “Legend”
เขาประสบความสำเร็จถล่มทลายจากเรื่อง “The Revenant” จนได้เข้าชิงรางวัลเกียรติยศของนักแสดงอย่างรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
ทอมและเพื่อนสนิท Dean Baker ยังได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชั่น Hardy Son & Baker ในปี 2012 ซึ่งได้อำนวยการสร้างสารคดีโทรทัศน์ “Poaching Wars” และกำลังจะสร้างมินิซีรี่ส์ “Taboo” ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ทอมได้ร่วมแสดงด้วยตัวเอง
ล่าสุดเขากำลังจะรับบทบาทในภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลน อีกครั้งในเรื่อง “Dunkirk” ร่วมกับนักแสดงมากฝีมือ Mark Rylance ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาเดียวกันจากภาพยนตร์เรื่อง “Bridge of Spies”
ที่มา: BusinessInsider, ภาพจาก: slashfilm, goodmantheatre, moviepilot, telegraph
บทความจาก http://www.meekhao.com/news/tom-hardy