เมื่อกระดูกร้าว..ร้าวไปทั้งชีวิต

เมื่อเดือนสิงหาที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ขาดฝันขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มันได้กระทบกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมากเลยค่ะ
คือ ดิฉันได้ลื่นล้มจากการรีบวิ่งไปขึ้นรถเพื่อกลับหอเพราะว่าทุกคนได้รอเราอยู่คนเดียว เกรงใจเค้า
แล้วจึงลื่นล้มทั้งที่ยังไม่ได้ถึงรถด้วยซ้ำ

ปรากฏว่าข้อเท้าซ้ายบวมนูนขึ้นมาทันตาเห็น ส่วนเท้าขวาไม่เป็นอะไร ถลอกที่เข่านิดหน่อย
พนักงานที่อยู่บริเวณนั้นรีบหายามาทาให้ เสร็จพอจะลุกขึ้นเดินเท่านั้นแหละ ถึงกับก้าวเดินไม่ได้เลย
พี่ๆต้องขับซาเล้งไปส่งขึ้นรถ แล้วก็นั่งรถกลับมาที่หอ

ถึงเวลาที่ต้องเดินขึ้นหอ เป็นอะไรที่ลำบากใจมาก
เราใช้เท้าขวากระโดขึ้นบันได มือทั้งสองข้างก้อสาวบันได้จับเกาะไว้
กว่าจะถึงห้องซึ่งอยู่ชั้น สี่ ปาเข้าไปเกือบ 20 นาที
รีบอาบน้ำแล้วมาดูเท้าตัวเอง ปรากฏว่ามันบวมมากยิ่งขึ้น ก้อเลยรบกวนพี่ที่หอซื้อผ้าผันแผลมาพันเพื่อหวังว่าจะให้อาการบวมลดลง
ก่อนอื่นก็ทายาหม่องก่อนแล้วค่อยพันผ้าพันแผลแบบหลวมๆไว้ พอให้ผ่านคืนนี้ไป แบบขี้เกียจไปหาหมอ ถ้าอาการยังไม่หายพรุ่งนี้ค่อยไปหาก้อแล้วกัน

เป็นคืนที่แสนทรมานมาก มันปวดดดไปทั้งเท้าเลย พยายามหนุนเท้าให้สูง วางพาดมันอยู่บนหมอน
แต่ก้อต้องลุกขึ้นมาเป็นพักๆ เพื่อมาดูแล้วลูบๆ ขอให้หายเรวๆ ด้วยเถิด
ขอให้วันพรุ่งนี้มีจริง วันที่เป็นวันปกติของเรา

พอวันรุ่งขึ้นพอลุกจากเตียงเท่านั้นแหละ จะก้าวเดินไม่ได้เลย จิ้มเท้าลงจากเตียง มันเจ็บมากก
อาการบวมลดลงแล้วนิดนึง แต่ทำไมอาการปวดถึงยังเหมือนเดิมอะ???
แต่ก็ดันทุรังอาบน้ำและยังซักผ้าด้วย โดยลงน้ำหนักที่เท้าขวามากกว่า ทำอะไรเสร็จสับโทรหาพี่ที่อยู่หอเดียวกันให้พาไปหาหมอหน่อย
ในใจนี่กลัวมาก กลัวว่าจะต้องใส่เฝือกเลยหรือป่าว ถ้าใส่นะชีวิตจะเป็นยังไง ไม่อยากจะคิดเลย

พอถึงโรงพยาบาาลถึงกับต้องนั่งเวลแชร์เลยอ่าาา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ
วัดความดันเรียบร้อยแล้วรอเข้าพบหมอ หมอวันนี้ดันไม่ใช่หมอกระดูกโดยตรง เป็นหมอประจำวันเฉยๆ แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
เป็นหมอผช.เค้าให้เราไป x-ray ก่อน จากนั้นค่อยเข้าพบหมอฟังดูอาการจากผลการ เอกซ์อีกที

เมื่อx-rayเสร็จ ผลออกมาว่า กระดูกหลังเท้าบริเวณนิ้วก้อยที่ว่าเจ็บปวดนั้น มันร้าววววค่ะ
น้ำตานี่คลอเบ้าเลย ไม่คิดว่ามันจะเป็นหนักขนาดนี้ นี่แค่หกล้มนิดเดียวเอง
ก้อเลยถามหมอว่า แล้วต้องรักษายังไง
หมอบอกว่าคงต้องใส่เฝือกอ่อนไปก่อน แล้วรอหมอกระดูกโดยตรงมาตรวจดูอีกที
เราถึงกับตกสกิจ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องถึงขั้นใส่เฝือกเลยหรอนี่

ถึงเวลาเข็นรถไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อทำการใส่เฝือกอ่อน ลักษณะมันคล้ายๆ กับผ้าอ้อมของเด็กแต่หนากว่า
พยาบาลจะวัดขนาดของเท้าเราก่อน วันมาจนถึงครึ่งน่อง เสร็จแล้วก้อนำผ้านั้นไปชุบน้ำให้พอหมาด
แล้วนำมาทาบที่ฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงครึ่งน่อง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งได้พันผ้าพันแผลไว้ (เอารูปใส่ไม่ได้อะคะ)
แล้วการเดินก้อต้องใช้ไม้ค้ำยัน 2 อันเลยเชียว

ดิฉันต้องโทรไปลาที่ทำงานว่าตอนนี้ไม่สามารถทำงานได้ คงต้องหยุดพักเป็นเวลานานเลย
พี่ๆ ที่ทำงานใจดีมากและเป็นห่วงเรา ในเรื่องต่อไปที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเหมือนผู้พิการจะทำยังไงต่อไป
ก้อเลยให้ไปพักที่บ้านของพี่เค้าด้วย ก่อนอื่นก้อต้องไปเก็บผ้าที่หอที่อยู่ชั้น 4 ก่อน
การขึ้นบันไดก็แสนลำบากเลย พี่แม่บ้านต้องมาช่วยพยุงหิ้วปีกทั้งสองข้าง แล้วเราก้อกระโดดขึ้นทีละขั้นไป
กว่าจะถึงห้องนี่หอบกันทั้งคนป่วยทั้งคนไม่ป่วยเลย

การที่มาอยู่บ้านพี่เค้า เรารู้สึกเกรงใจพี่เค้ามาก ทำอะไรให้ทุกอย่าง
หาอะไรให้กินแต่ละมื้อ เป็นห่วงเป็นใย ล้างจานข้าวให้ ส่งผ่าซักให้ นี่เป็นบุญคุณที่จะหาที่ใดได้ยากมากก
ต้องขอขอบคุณพี่เค้าจิงๆ พี่ๆที่ทำงานก็หมุนเวียนกันมาเยี่ยมไม่เว้นวันเลย ก้อพอที่จะหายเหงาบ้างแต่เป็นบางเวลาเท่านั้น
ถึง ณ จุดนี้เรารู้ซิ้งถึงคนที่ต้องใช้ไม่ค้ำยันเลย มันยากมากต่อการดำเนินชีวิตเรา จะทำอะไรเป็นไม่ได้ไปหมด
เพราะว่ามื้อทั้งสองต้องจับไม้ค้ำยันไว้ เท้าก้อใช้ได้แค้ข้างขวาข้างเดียว จะใช้มืออีกข้างถือจาน หรือตระกร้าซักผ้ายังไม่ได้เลย
คือลำบากมาก อีกอย่างตอนขึ้นที่ที่เป็นระดับต่างกัน หากสูงไปก้อเดินขึ้นไม่ได้อีก ดิฉันถึงกับคลานขึ้นเลย
ยิ่งตอนอาบน้ำนะ ต้องเอาเท้าข้างที่เจ็บพาดไว้กับเก้าอี้ แล้วนั้งเก้าอี้อีกตัวอาบน้ำ
ชีวิตหนอชีวิต ทำไมต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย บางครั้งถึงกับเครียด คิดมากไปทุกเรื่อง
ไหนจะเรื่องทางบ้านที่เป็นห่วงอยู่ ทั้งพ่อและกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะมาหาที่ทำงานก้อลำบากท่านแกแล้ว
ไหนจะเรื่องงานอีก ต้องขาดการทำงานเป็นเวลานาน พี่ๆ ที่ทำงานจะว่าไงบ้างก็ไม่รุ้ มาพักกินแรงเค้าทั้งที่ทุกคนทำงานกันหมด มีงานเลี้ยงของแผนก
งานเลี้ยงของพนักงานทั้งหมด ก็อดค่ะ ไม่ได้ไปเลยย
ไหนจะเรื่องเงินเดือนที่จะไม่ได้อีก และอีกเรื่องที่คิดมากคือ ต้นเดือนตุลาที่จะมาถึงนี้เรามีแพลนไปทัศนศึกษากับเพื่อนและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย
ดิฉันได้ทุนการศึกษานักเรียนเรียนดีไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์ ซึ่งคงต้องทำใจเอาไว้บ้าง แต่ก้อแอบหวังลึกๆในใจว่า
จะต้องหาย ต้องเดินได้แล้วไปให้ได้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่ดีของชีวิต ทั้งยังเป็นครั้งแรกของดิฉันที่จะได้บินไปต่างประเทศ

เมื่อวันนัดพบหมอกระดูกมาถึง ซึ่งหวังว่าจะได้ถอดเฝือกซักที ปรากฏว่าหมอไม่ให้ x-ray เลย แล้วก้อสาธยายอาการเลย?
เป็นอันว่าหมอบอกยังถอดไม่ได้ ต้องใส่ต่อไปอีกเดือนหรือสองเดือนเพื่อให้กระดูกได้ติดกันจริงๆ
พอออกมานอกห้อง ดิฉันไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮเลยที่โรลพยายาลนั้น ไม่อาย ไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น
ก็จะทำไม มันผิดหวังอะ นี่เราต้องเสียการทำงานไปอีกนาน พ่อกับแม่จะว่าไง ท่านก็ต้องห่วงเราเพิ่มเป็นเท่าตัว แล้วต้องอาศัยบ้านพี่เค้าอยู่ต่อไปงั้นหรือ
มันก็เลยเศร้ามากกก โทรหาแม่ทั้งน้ำตาเลย แม่บอกงั้นให้กลับมารักษาตัวที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวแม่จะดูแลเอง อยู่บ้านไม่เหงาหรอกมีเพื่อนบ้านเยอะแยะ
ดิฉันตัดสินใจกลับบ้านในอีกสองวันต่อมา นั่งรถบัสมาลงที่สถานีขนส่ง แล้วให้แม่มาเหมารถทางบ้านรับทีนั่นพร้อมกับไม่ค้ำยันที่ยืมมาจากอนามัย
เห็นแม่ครั้งแรกน้ำตาพรากอีกละ มันไหลด้วยความติ้นตันใจ ดีใจจนบอกไม่ถูก

การที่มาอยู่รักษาตัวที่บ้านมันค่อนข้างมีความสุขมากกว่า การที่ได้ใกล้ชิดคนที่เรารักมันเป็นกำลังใจที่ดี ที่จะใช้ชีวิตดำเนินต่ออย่างสดใสเลยก็ว่าได้
ผู้เป็นแม่ในความรักลูก ที่เห็นลูกเจ็บจนอยากให้ตัวเองได้เจ็บแทน ท่านทำทุกอย่างดูแลเอาใจใส่ดียิ่งกว่าใคร เป็นห่วงอยู่ทุกเวลา
หาตำราดีๆ เพื่อจะมารักษาอาการให้หายป่วย  ขนาดไม่ใช่ชิวิตท่านเองท่านยังอุตสาห์มาดูแลเอาใจใส่มากขนาดนั้น ทำทุกอย่างเพื่อลูก
ทุกอย่างจริงๆ ทุกความหวังของลูกคือความหวังของแม่

มาอยู่บ้านได้สองวันแม่พาไปโรงพยาบาล หมอให้ x-ray แล้วถอดเฝือกเลย คืออัลไล??
ดีใจจนพูดไม่ออก หลังจากถอดเฝือกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป เดี๋ยวกลับมาเล่าให้ฟังใหม่นะคะ

ปล.เขียนไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ดีใจมากนะคะที่เข้าอ่านมาถึงจุดนี้ ขอบคุณมากค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่