คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ตอนที่ผมเรียนจบช่วงปี 2549 ผมประสบปัญหาเดียวกับคุณเลย
จบปริญญาตรี สาขาสังคมศาสตร์ เกรดเฉลี่ย 3 กว่า จากมหาวิทยาลัยรัฐที่มีนักศึกษามากที่สุด
คณะที่เรียน คนเยอะก็จริง แต่ดันไปเลือกเรียนสาขาแขนงเฉพาะทาง คนเรียนน้อยสุดในคณะ เพราะอยากเท่และหนีคณิตศาสตร์ บาดแผลเหวอะหนักตอนสมัครงานนี่ละครับ ในขณะที่เพื่อนที่จบนิติศาสตร์กับบัญชีนี่หางานได้ง่ายมาก
สถานภาพตรงนั้น คือ คนธรรมดา Plain Plain คนหนึ่งที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน
เป็นคนช่วยงานอายุงาน 2 ปี กินเงินรายวันก็เท่านั้นครับ เขาไม่นับว่าเป็นงานประจำ
ตอนสมัครขอเงินเดือน 12000 โดนกดไปเหลือ 9000 บาทก็มี โกรธสุดก็ 8500 บาท (สมัยนั้นยังไม่มีนโยบายที่ให้เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 15000 บาท)
ตกงานอยู่พอสมควร ประมาณเดือนนึง จนสมัครงานได้ที่แรกเพราะเจ้านายจากที่ทำงานเก่าช่วยดันสุดฤทธิ์ เป็นงานรับหน้าคนต่างชาติที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับคนที่มาติดต่อ ที่เจ้านายเลือกงานนี้ให้เพราะมองว่าผมพอไปได้กับภาษาอังกฤษ
แรกๆก็เงอะๆงะๆ สุดท้ายก็เกลาไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าตนเองมีของ จึงตัดสินใจลงทุน 1500 บาทเพื่อไปสอบ TOEIC ที่อาคาร BB อโศก
ผลออกมา คือ จากการอ่านไวยากรณ์ การฝึกฟังในการทำงาน และการฝึกทำข้อสอบจริง (กลัวทำไม่ทัน) ทำให้ได้ 755/990 คะแนน
จำได้ว่าพอได้คะแนนปุ๊บ...ความฝันมาเลย เทิร์นโอเวอร์เพื่อให้เงินเดือนก้าวกระโดด ตอนนั้นพร้อมจะออกจากกรุงเทพฯ แล้ว หุฮ่าๆๆ
แต่ฝันนั้นก็ค้างเติ่งกับช็อตสัมภาษณ์งานกับบริษัทประกอบรถชื่อดังฝั่งอเมริกาใน จ.ระยอง
คือ คุยกับเราดีทุกอย่าง ชมเรื่องภาษาอังกฤษด้วย...แต่ประสบการณ์การทำงานไม่ตรง...ภาพที่คนสัมภาษณ์เก็บใบสมัครผมแล้ววางในตะกร้า...พร้อมกับคำว่า "แล้วจะติดต่อกลับไป"...ครับผม...บีบหัวใจมาก
หลังจากนั้นก็พยายามเลือกงานที่เราสนใจ ทำที่เดิมไปพลาง เลือกงานไปพลาง บางครั้งเจอเงื่อนไขงี่เง่า เช่น นัดวันดิบดี...นั่งรถทัวร์ไปถึงหน้าบริษัทที่แหลมฉบังแล้ว...ปรากฏว่ายกเลิกนัดก่อนสัมภาษณ์ 1 ชั่วโมง...มันจะมีอะไรให้ท้อแบบนี้เสมอๆ
ซ้อนท้ายรถเพื่อนเข้าไปหย่อนใบสมัครทิ้งไว้ในนิคมอุตฯ...เห็นประกาศรับสมัครของบริษัทประกอบรถกระบะส่งออก ก็คิดว่าทำไมไม่เลือกเรียนสายอาชีพฟะ รับเยอะมาก เงินดีด้วย แต่เสี่ยง แล้วก็มีสิ่งนี้ในหัวมาตลอด จนมีความคิดอุตริเรื่องเรียนช่างในวัยแก่
เรื่องเรียนเสริม จัดตารางดีๆ อย่าให้ชนงาน ถ้าว่างงาน บ้านซัพพอร์ทโอเคครับ ผมเจอทำงานล่วงเวลา กับเจ้านายตำหนิเรื่องออกจากที่ทำงานก่อน ผมก็ซี้ดแล้ว...
กระทั่ง ได้งานเป็นพนักงานราชการนั่นแหละ เงินดีกว่าข้าราชการมาก (และไม่น่าเชื่อว่าจะได้เท่าที่ทำงานเดิม แต่เวลาว่างเยอะกว่า ตอนนั้นเพราะที่ทำงานแรก ทำมาหลายปีแล้วความก้าวหน้าไม่น่าจะมี แถมวันหยุด...อืม...ก็อย่างที่รู้ว่าเอกชนใช้คุ้มขนาดไหน)
หารำไพ่พิเศษ? ทำแล้ว แต่ทนสังขารไม่ไหวครับ ไปสักพักจะกรอบ รู้ตัวเลยว่าไม่ไหว อย่าฝืนเลย
ตำแหน่งพนักงานราชการนั้น อำนาจไม่มี ทำอะไรไม่ได้ เหมือนลูกมือข้าราชการอีกทีครับ เจ็บช้ำใจก็ทนเอา แต่ข้อดีคือเวลาเริ่มเยอะขึ้น กล้าพูดเลยว่างานเบาลงกว่าเอกชนที่เดิม 1 ใน 3 สบายใจมากๆ
แต่บทมันเขียนไว้ครับ ทำพนักงานราชการไปไปไม่นานก็สอบ ภาค ก. ได้ และตามมาด้วยสอบรับราชการได้...เวลามันผ่านไปเร็วมาก...ชีวิตนี้โอเคแล้วครับ มาถึงฝั่งฝันแล้ว
ที่เหลือก็อย่าทำให้คนอื่นด่าหรือทำผิดให้โดนไล่ออก 5555
ถ้าจะแนะนำ จขกท. ก็คือ
1) สอบภาษาอังกฤษหรือสอบภาษาที่ 3 เก็บไว้ครับ ถ้ามีวุฒิบัตรสอบ HSK หรือ JLPT หรือ Zertifikat ของ Goethe หยิบออกมาด้วย...ดูมีราคาขึ้นมาทันที
2) Resume คือ สิ่งที่จะบอกตัวตนเราทุกอย่าง วางเลย์เอาท์ดีๆ เขียนให้ดี อย่าตกม้าตายเพราะเรื่องง่ายๆ เช่น ชื่อเมล์ที่ดูไม่เป็นมืออาชีพ หรือการเขียนอะไรที่สุดโต่งลงไปคนสัมภาษณ์อาจมีอคติกับคุณแต่ตอนแรก ดึงจุดเด่นคุณออกมาให้ได้ ทำการบ้านเยอะๆครับ แทคติคสำคัญมาก
3) รีบศึกษาหาความรู้ หาประสบการณ์ในฟิลด์ที่เราสนใจให้มากๆ ฝึกอบรม หรือสอบใบเซอร์ฯ ที่น่าจะจำเป็นกับหน้าที่การงานที่คุณสนใจให้ได้ โอเคล่ะ จริงๆแล้วไม่ได้ใช้มันเท่าไหร่...แต่การพูดคุยระหว่างการสัมภาษณ์งาน มันก็มักจะเปิดเผยตัวตนของคุณออกมาในที่สุด หวังว่าคุณคงเข้าใจ
4) บุคลิค...สำคัญจริงๆครับ อย่าเปิดเผยตัวตนออกมามากเกินไป วุฒิภาวะสำคัญจริงๆครับช่วงสัมภาษณ์งาน...ความมั่นใจด้วย สร้าง Trust ในตัวคุณให้ได้ เข้าใจไหม???
ผมทำงานมาทั้งหมด 3 ที่ ประสบการณ์ไม่เยอะ พูดอะไรมากก็ไม่ได้ ที่แรกนี่มีป้าดัน แต่อีกสองที่ต่อมา ผมทำการบ้านตอนสอบสัมภาษณ์หนักมากครับ แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างครับ สู้ๆครับ เด็กใหม่สมัยนี้เก่งกว่ารุ่นผมอยู่แล้ว
จบปริญญาตรี สาขาสังคมศาสตร์ เกรดเฉลี่ย 3 กว่า จากมหาวิทยาลัยรัฐที่มีนักศึกษามากที่สุด
คณะที่เรียน คนเยอะก็จริง แต่ดันไปเลือกเรียนสาขาแขนงเฉพาะทาง คนเรียนน้อยสุดในคณะ เพราะอยากเท่และหนีคณิตศาสตร์ บาดแผลเหวอะหนักตอนสมัครงานนี่ละครับ ในขณะที่เพื่อนที่จบนิติศาสตร์กับบัญชีนี่หางานได้ง่ายมาก
สถานภาพตรงนั้น คือ คนธรรมดา Plain Plain คนหนึ่งที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน
เป็นคนช่วยงานอายุงาน 2 ปี กินเงินรายวันก็เท่านั้นครับ เขาไม่นับว่าเป็นงานประจำ
ตอนสมัครขอเงินเดือน 12000 โดนกดไปเหลือ 9000 บาทก็มี โกรธสุดก็ 8500 บาท (สมัยนั้นยังไม่มีนโยบายที่ให้เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 15000 บาท)
ตกงานอยู่พอสมควร ประมาณเดือนนึง จนสมัครงานได้ที่แรกเพราะเจ้านายจากที่ทำงานเก่าช่วยดันสุดฤทธิ์ เป็นงานรับหน้าคนต่างชาติที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับคนที่มาติดต่อ ที่เจ้านายเลือกงานนี้ให้เพราะมองว่าผมพอไปได้กับภาษาอังกฤษ
แรกๆก็เงอะๆงะๆ สุดท้ายก็เกลาไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าตนเองมีของ จึงตัดสินใจลงทุน 1500 บาทเพื่อไปสอบ TOEIC ที่อาคาร BB อโศก
ผลออกมา คือ จากการอ่านไวยากรณ์ การฝึกฟังในการทำงาน และการฝึกทำข้อสอบจริง (กลัวทำไม่ทัน) ทำให้ได้ 755/990 คะแนน
จำได้ว่าพอได้คะแนนปุ๊บ...ความฝันมาเลย เทิร์นโอเวอร์เพื่อให้เงินเดือนก้าวกระโดด ตอนนั้นพร้อมจะออกจากกรุงเทพฯ แล้ว หุฮ่าๆๆ
แต่ฝันนั้นก็ค้างเติ่งกับช็อตสัมภาษณ์งานกับบริษัทประกอบรถชื่อดังฝั่งอเมริกาใน จ.ระยอง
คือ คุยกับเราดีทุกอย่าง ชมเรื่องภาษาอังกฤษด้วย...แต่ประสบการณ์การทำงานไม่ตรง...ภาพที่คนสัมภาษณ์เก็บใบสมัครผมแล้ววางในตะกร้า...พร้อมกับคำว่า "แล้วจะติดต่อกลับไป"...ครับผม...บีบหัวใจมาก
หลังจากนั้นก็พยายามเลือกงานที่เราสนใจ ทำที่เดิมไปพลาง เลือกงานไปพลาง บางครั้งเจอเงื่อนไขงี่เง่า เช่น นัดวันดิบดี...นั่งรถทัวร์ไปถึงหน้าบริษัทที่แหลมฉบังแล้ว...ปรากฏว่ายกเลิกนัดก่อนสัมภาษณ์ 1 ชั่วโมง...มันจะมีอะไรให้ท้อแบบนี้เสมอๆ
ซ้อนท้ายรถเพื่อนเข้าไปหย่อนใบสมัครทิ้งไว้ในนิคมอุตฯ...เห็นประกาศรับสมัครของบริษัทประกอบรถกระบะส่งออก ก็คิดว่าทำไมไม่เลือกเรียนสายอาชีพฟะ รับเยอะมาก เงินดีด้วย แต่เสี่ยง แล้วก็มีสิ่งนี้ในหัวมาตลอด จนมีความคิดอุตริเรื่องเรียนช่างในวัยแก่
เรื่องเรียนเสริม จัดตารางดีๆ อย่าให้ชนงาน ถ้าว่างงาน บ้านซัพพอร์ทโอเคครับ ผมเจอทำงานล่วงเวลา กับเจ้านายตำหนิเรื่องออกจากที่ทำงานก่อน ผมก็ซี้ดแล้ว...
กระทั่ง ได้งานเป็นพนักงานราชการนั่นแหละ เงินดีกว่าข้าราชการมาก (และไม่น่าเชื่อว่าจะได้เท่าที่ทำงานเดิม แต่เวลาว่างเยอะกว่า ตอนนั้นเพราะที่ทำงานแรก ทำมาหลายปีแล้วความก้าวหน้าไม่น่าจะมี แถมวันหยุด...อืม...ก็อย่างที่รู้ว่าเอกชนใช้คุ้มขนาดไหน)
หารำไพ่พิเศษ? ทำแล้ว แต่ทนสังขารไม่ไหวครับ ไปสักพักจะกรอบ รู้ตัวเลยว่าไม่ไหว อย่าฝืนเลย
ตำแหน่งพนักงานราชการนั้น อำนาจไม่มี ทำอะไรไม่ได้ เหมือนลูกมือข้าราชการอีกทีครับ เจ็บช้ำใจก็ทนเอา แต่ข้อดีคือเวลาเริ่มเยอะขึ้น กล้าพูดเลยว่างานเบาลงกว่าเอกชนที่เดิม 1 ใน 3 สบายใจมากๆ
แต่บทมันเขียนไว้ครับ ทำพนักงานราชการไปไปไม่นานก็สอบ ภาค ก. ได้ และตามมาด้วยสอบรับราชการได้...เวลามันผ่านไปเร็วมาก...ชีวิตนี้โอเคแล้วครับ มาถึงฝั่งฝันแล้ว
ที่เหลือก็อย่าทำให้คนอื่นด่าหรือทำผิดให้โดนไล่ออก 5555
ถ้าจะแนะนำ จขกท. ก็คือ
1) สอบภาษาอังกฤษหรือสอบภาษาที่ 3 เก็บไว้ครับ ถ้ามีวุฒิบัตรสอบ HSK หรือ JLPT หรือ Zertifikat ของ Goethe หยิบออกมาด้วย...ดูมีราคาขึ้นมาทันที
2) Resume คือ สิ่งที่จะบอกตัวตนเราทุกอย่าง วางเลย์เอาท์ดีๆ เขียนให้ดี อย่าตกม้าตายเพราะเรื่องง่ายๆ เช่น ชื่อเมล์ที่ดูไม่เป็นมืออาชีพ หรือการเขียนอะไรที่สุดโต่งลงไปคนสัมภาษณ์อาจมีอคติกับคุณแต่ตอนแรก ดึงจุดเด่นคุณออกมาให้ได้ ทำการบ้านเยอะๆครับ แทคติคสำคัญมาก
3) รีบศึกษาหาความรู้ หาประสบการณ์ในฟิลด์ที่เราสนใจให้มากๆ ฝึกอบรม หรือสอบใบเซอร์ฯ ที่น่าจะจำเป็นกับหน้าที่การงานที่คุณสนใจให้ได้ โอเคล่ะ จริงๆแล้วไม่ได้ใช้มันเท่าไหร่...แต่การพูดคุยระหว่างการสัมภาษณ์งาน มันก็มักจะเปิดเผยตัวตนของคุณออกมาในที่สุด หวังว่าคุณคงเข้าใจ
4) บุคลิค...สำคัญจริงๆครับ อย่าเปิดเผยตัวตนออกมามากเกินไป วุฒิภาวะสำคัญจริงๆครับช่วงสัมภาษณ์งาน...ความมั่นใจด้วย สร้าง Trust ในตัวคุณให้ได้ เข้าใจไหม???
ผมทำงานมาทั้งหมด 3 ที่ ประสบการณ์ไม่เยอะ พูดอะไรมากก็ไม่ได้ ที่แรกนี่มีป้าดัน แต่อีกสองที่ต่อมา ผมทำการบ้านตอนสอบสัมภาษณ์หนักมากครับ แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างครับ สู้ๆครับ เด็กใหม่สมัยนี้เก่งกว่ารุ่นผมอยู่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 18
บุคลิก การตอบคำถามเฉพาะหน้า มีผลมากกว่าเกรดค่ะ เวลาสัมภาษณ์เด็กก็ดูหน่วยก้าน ดูความอยากเข้าทำงาน ความตั้งใจ
เด็กจบใหม่บริษัทไม่คาดหวังเพราะยังไงก็เริ่มจาก 0 เหมือนกัน
ขอแค่เข้ากับทีมได้ ทำผิด ทำพลาด ขอโทษเป็น
โดนตำหนิแล้วปรับปรุง มีมารยาท สั่งงานอะไรก็พยายามทำ
ทำไม่ได้ก็ถาม ไม่ใช่นั่งรอจนพี่ๆต้องมาตามจี้
มีความรับผิดชอบต่องาน
ไม่ติดโทรศัพท์ chat ติด facebook ตลอดเวลา
สเปคนี้หายากนะ บอกเลย ถ้าน้องทำได้ ไม่ต้องอายเกรด สมัครไปร้อยบริษัท มีเรียกแน่นอน
บริษัทใหญ่ไม่เรียกก็ไปทำบริษัทเล็กๆเก็บประสบการณ์ พอเรามีประสบการณ์ สมัครที่ใหม่ไม่มีใครสนใจเกรดแล้วค่ะ
เด็กจบใหม่บริษัทไม่คาดหวังเพราะยังไงก็เริ่มจาก 0 เหมือนกัน
ขอแค่เข้ากับทีมได้ ทำผิด ทำพลาด ขอโทษเป็น
โดนตำหนิแล้วปรับปรุง มีมารยาท สั่งงานอะไรก็พยายามทำ
ทำไม่ได้ก็ถาม ไม่ใช่นั่งรอจนพี่ๆต้องมาตามจี้
มีความรับผิดชอบต่องาน
ไม่ติดโทรศัพท์ chat ติด facebook ตลอดเวลา
สเปคนี้หายากนะ บอกเลย ถ้าน้องทำได้ ไม่ต้องอายเกรด สมัครไปร้อยบริษัท มีเรียกแน่นอน
บริษัทใหญ่ไม่เรียกก็ไปทำบริษัทเล็กๆเก็บประสบการณ์ พอเรามีประสบการณ์ สมัครที่ใหม่ไม่มีใครสนใจเกรดแล้วค่ะ
แสดงความคิดเห็น
นักศึกษาจบใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครเอา!
สมัครงานที่ไหนมีแค่โดนเรียกไปสัมภาษณ์แล้วก็เงียบหายไป
อยากทราบว่า ควรเริ่มสมัครงานประเภทไหนก่อนดีคะ ที่จะหาประสบการณ์ในการทำงาน
หรือมีวิธีใดบ้างในการสมัครงานให้ได้ ของผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์
ช่วยให้คำแนะนำหน่อยนะคะ