Credit
http://www.1morenews.com/8037.html
นับแต่บรรลุข้อตกลง การเข้าซื้อหุ้น 30 % ในสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด พร้อมด้วยการเป็น Title Sponsor 5 ปี ด้วยวงเงิน 600 ล้านบาท ของ บริษัทซีเมนต์ไทย โฮลดิ้ง จากัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นทั้งหมด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด 5 ประการคือ
1. สโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด เปลี่ยนชื่อเป็น สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ เอสซีจี ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด
2. สนาม ยามาฮ่า สเตเดียม เปลี่ยนเป็น สนาม เอสซีจี สเตเดียม
3. สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 1 สมัย ในปี 2555
4. พนักงานบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นแฟนของสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด มากขึ้น
5. การทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ทางด้านกีฬาฟุตบอลของ บริษัทปูนซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) มีความเข้มแข็งและมีสีสันมากขึ้น
สัญญาการเป็นผู้สนับสนุนหลักของ SCG ต่อ สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด มูลค่า 600 ล้านบาท ฉบับแรก มีอายุ 5 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 น่าจะสิ้นสุดลงในปี 2559 หรือ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้นั่นเอง
แน่นอนล่ะ ถ้าผลงานดี มีแชมป์ติดมือ โอกาสที่จะมีการเซ็นสัญญาสนับสนุน ฉบับที่ 2 ต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก แต่ถ้าผลงานไม่ดี ปีนี้ จบลงด้วยมือเปล่าเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ก็คงต้องเจรจากันน้ำลายเหนียว และยากจะคาดเดาการพิจารณาตัดสินใจของผู้ให้
นี่จึงอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ ผู้บริหารสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ต้องทุ่มเทกำลังทุกอย่างที่มี เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุดในปีนี้ ปีสุดท้ายของสัญญามูลค่า 600 ล้านบาท ของบริษัทซีเมนต์ไทย โฮลดิ้ง จากัด จะสิ้นสุดลง และนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ ระวิ โหลทอง เจ้าของสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ต้องออกแถงการณ์ “ถ้ามีการลงโทษทีม SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด อย่างรุนแรง จะประกาศยุบทีมทันที”
ชัดยิ่งกว่าชัด คือ ถ้าเหตุการณ์ที่แฟนSCG เมืองทองฯ ตีกับ แฟนท่าเรือ เป็นเหตุให้ถูกสมาคมฯ ลงโทษตัด 9 แต้ม เหมือน เมื่อ 2 ปีก่อน ก็เท่ากับว่า SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด หมดโอกาสเป็นแชมป์ไทยลีก ประจำฤดูกาลนี้ ทันที นั่นหมายความว่า ตลอดอายุสัญญา 5 ปีที่ SCG จ่ายเงินสนับสนุนให้เมืองทอง ยูไนเต็ด 600 ล้านบาท เมืองทอง ยูไนเต็ด ทำได้เพียง 1 แชมป์ คือ แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ประจำปี 2555 ปีแรกที่ SCG เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น และ เป็นผู้สนับสนุนหลักของทีม
คำประกาศ ถ้าถูกลงโทษรุนแรง คือ ตัดแต้ม จะยุบทีม จึงไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้น สำหรับผู้ทำธุรกิจกีฬา เพราะในสภาพธุรกิจปัจจุบันนี้ สภาพการลงทุนของระวิ โหลทอง ใน เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ อีก 2 ทีม ที่บริษัทในเครือข่ายสยามสปอร์ตฯ เป็นเจ้าของ นั้น หากไม่มีผู้สนับสนุนหลัก เช่น SCG ย่อมจะดำเนินไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
ในขณะที่บริษัทแม่อย่างสยามสปอร์ตฯ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ ประสบภาวะขาดทุน 3 ปีติดต่อกัน คือ ปี 2557 ขาดทุน 133.86 ล้านบาท ปี 2558 ขาดทุน 33.89 ล้านบาท และ ปี 2559 จนถึงไตรมาสที่ 2 หรือ ครึ่งปีแรก ขาดทุน 167.51 ล้านบาท
รายได้หลักของ สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คือ รายได้จากผู้สนับสนุน และผู้สนับสนุนหลัก ก็คือ SCG ที่จ่ายเป็นหลักร้อยล้านบาท ต่อปี ในขณะที่ผู้สนับสนุนอื่นๆ จากการประเมินของนักการตลาด คาดว่าน่าจะอยู่หลักสิบล้านบาท เท่านั้น
รายได้จากการจำหน่ายตั๋ว น่าจะไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากไม่สามารถขยายที่นั่งได้อีกแล้ว ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายเสื้อ ก็ขายสิทธิให้กับแกรนด์สปอร์ต ไปแล้ว จึงไม่สามารถขยายตัวได้มาก แม้ว่าทีมกำลังทำผลงานได้ดี และมีแฟนซื้อเสื้อเพิ่มจำนวนมากก็ตาม
นักวิเคราะห์การตลาดกีฬา ให้ความเห็นว่า การทำสัญญา 5 ปี ลงทุนไปกับทีมด้วยเม็ดเงินสูงถึง 600 ล้านบาท เป็นที่แน่นอนว่าผู้ลงทุน ย่อมคาดหวังผลที่เป็นเลิศ แต่การได้แชมป์เพียง 1 รายการ แม้จะไม่ผิดหวังทั้งหมด แต่ก็เรียกได้ว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงผู้บริหารของทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด เองด้วย
“เราจึงได้เห็นการลงทุนซื้อนักกีฬา อย่างมีนัยยะสำคัญ ในปีนี้ ด้วยการซื้อนักกีฬาทีมชาติ เข้าสู่ทีม ด้วยเม็ดเงินมหาศาล และน่าจะประสบความสำเร็จเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรฯ ได้เลยทีเดียว เพราะขณะนี้ SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด มีโอกาสเป็นแชมป์ ทั้ง 3 รายการ แต่เหตุการณ์แฟนเมืองทอง ตีกับ แฟนท่าเรือ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ สโมสรฯ ได้อย่างน่าใจหาย”
การไม่ได้เล่นในสนาม เอสซีจี สเตเดียม และ ห้ามแฟนเข้าชมทุกเกม ที่ลงแข่ง จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด เสียหายอย่างมาก มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ไม่มีรายได้ และ ไม่มีกำลังใจให้กับทีม ในขณะที่คู่แข่ง มีกองเชียร์ได้เต็มที่
อีก 5 นัดที่เหลือ ในฤดูกาลนี้ มีจุดเปลี่ยนได้ทุกนัด กับคะแนนที่นาอยู่เพียง 3 แต้ม นั่นหมายความว่า ถ้าพลาดเพียงนัดเดียว แชมป์ไทยลีก ปีนี้ ที่อีกไม่กี่ก้าว ก็จะคว้าได้แล้ว มีโอกาสจะหลุดมือไปสูงมาก
การลงแข่งขัน โดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตที่ผูกพันอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการพิจารณาลงโทษ จะออกมาอย่างไร ย่อมจะมีผลต่อขวัญกำลังใจของนักกีฬา และผู้บริหาร อย่างแน่นอน
ที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยกว่า ผลการพิจารณาบทลงโทษของคณะกรรมการฯ ที่สมาคมแต่งตั้งขึ้น ก็คือ ท่าทีของผู้บริหาร SCG ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสร
เนื่องจาก SCG เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีนโยบายบริหารธุรกิจ และ บริหารองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญกับเรื่อง ธรรมาภิบาล สูงมาก ถึงกับมีคณะกรรมการธรรมาภิบาล ของบริษัท ทำหน้าที่กำกับดูแล ตรวจสอบ วางนโยบาย ให้คำแนะนำการเข้าไปทากิจกรรมใดๆ หรือเข้าไปลงทุนของ SCG ในกิจกรรม หรือ กิจการใดๆ จะต้องดำเนินไปด้วยหลักธรรมาภิบาล และต้องให้สังคมได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ทำร้ายสังคม และต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ SCG
การถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งของ SCG “เอสซีจี ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดีในทุกชุมชนและทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”
การเข้ามาลงทุนในสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด SCG มีความมุ่งหวังที่จะใช้สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นสื่อในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ SCG และเป็นการลงทุนธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้บริหารสโมสร การสร้างอะคาเดมี่ ผลิตนักฟุตบอล การมีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ และ มีการพัฒนาทีมไปสู่ระดับเอเชีย ได้
5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริหาร SCG คงจะประเมินได้แล้วว่าการใช้เงินของบริษัทปูนซีเมนต์ จากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน มาลงทุน 30 % ในสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด และการเป็นผู้สนับสนุน ตามสัญญา 5 ปี 600 ล้านบาท ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน หรือไม่ ทั้งผลตอบแทนทางธุรกิจ และ ผลตอบแทนทางสังคม
แน่นอนว่า “ดีก็ได้ ร้ายก็มี” อยู่ที่จะมองมุมไหน ?
นอกเหนือจาก การเปลี่ยนแปลง 5 ประการที่กล่าวข้างต้น แล้ว
สิ่งที่มาพร้อมกับเปลี่ยนแปลงทั้งของ เมืองทอง ยูไนเต็ด และ เอสซีจี ก็คือ ภาพลักษณ์ของ Brand ทั้ง 2 Brand ที่ถูกทำให้ด่างพร้อย จากแฟนเมืองทองฯ จำนวนหนึ่ง ทั้งที่ใส่เสื้อสโมสร SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด และ ใส่ชุดดำ ที่กำลังกลายเป็นผู้ร้ายของวงการฟุตบอลไทย
ไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม แต่การใช้ความรุนแรงทั้งในและนอกสนาม การตะโกนด่าทอด้วยคำหยาบคายในสนามฟุตบอล การเป็นตัวอย่างที่ไมดีแก่เยาวชน การทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้าม สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นการขัดหลักธรรมาภิบาล ที่ SCG ยึดมั่นถือมั่น เป็นแนวทางบริหารองค์กรและธุรกิจ ทั้งสิ้น
แม้พฤติกรรมของแฟนบอลจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของสโมสรฯ แต่ก็มิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ทั้งหมด เพราะกฎ กติกา การแข่งขันฟุตบอลอาชีพ ได้กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสโมสร ที่มีต่อแฟนบอล ไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสกัดกั้น หลีกเลี่ยง การสร้างเหตุที่จะนำไปสู่การทะเลาะวิวาทของแฟนบอล และมีบทลงโทษ สโมสร กำกับไว้ด้วย
เป็นที่น่าเสียใจ ที่แฟนบอลกลุ่มหนึ่ง กำลังทำให้สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ตกอยู่ในสถานะที่ลำบาก ทั้งในสนามแข่งขันและสนามธุรกิจ
เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ บริษัทธรรมาภิบาล เช่น SCG จะต้องมาด่างพร้อยไปกับพฤติกรรมของแฟนบอล กลุ่มนั้น ที่อยู่ในสนาม เอสซีจี สเตเดียม และ ใส่เสื้อ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ร้ายไปกว่านั้น ชื่อ สนาม เอสซีจี สเตเดียม กำลังกลายเป็นนรกของทีมเยือน (แฟนท่าเรือ) และ เป็นสถานที่เสี่ยงภัยของแฟนฟุตบอล ชนิดที่ยากจะล้างภาพนี้ออกไปได้ เนื่องจากเกิดเหตุซ้ำๆ
ถ้าเพียงแต่ผู้บริหารสโมสร จะประกาศตัดญาติขาดมิตรกับแฟนบอลเกเรกลุ่มนั้น ซึ่งเชื่อว่าผู้บริหารสโมสร น่าจะสืบหาตัวได้ไม่ยาก ห้ามเข้าสนาม ห้ามเฉียดใกล้สโมสร และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชี้ช่องเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม ดำเนินคดี ก็จะเป็นการรักษาสโมสร และ รักษาแฟนที่ดีซึ่งมีเป็นส่วนใหญ่ ไว้ได้
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟนบอลกลุ่มดังกล่าว ก่อเหตุ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่แฟนบอลกลุ่มนั้น จะถูกจับกุมดำเนินคดี หรือ ถูกมาตรการลงโทษจากสโมสร มีแต่การเชิญมาปรับความเข้าใจ การร้องขอให้ ลด ละ เลิก พฤติกรรมยั่วยุ และการใช้ความรุนแรง ซึ่งได้ผลหรือไม่ ก็เป็นอย่างที่ได้เห็นกับตาทุกคนแล้วในวันนี้
เพื่อจะรักษา เอสซีจี ไว้กับสโมสร ให้คงความเป็นสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ตลอดไป คงถึงเวลาที่ผู้บริหารสโมสร จะต้องตัดอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต ไว้หรือยัง ?
ถ้า เอสซีจี ถอนตัวไป ถ้า เมืองทอง ยูไนเต็ด ยุบทีมไป ฟุตบอลไทยจะหมดสนุกแน่ และการพัฒนาของทีมชาติไทย อาจจะได้รับผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะฉะนั้นนิ้วไหนร้าย ตัดนิ้วนั้น ก่อนจะลุกลามจนต้องตัดทั้งมือ หรือ กลายเป็นติดเชื้อในกระแสโลหิต ในที่สุด
ด้วยความปรารถนาดีต่อวงการฟุตบอลไทย
การลงทุนที่คุ้มค่าของ SCG ในเมืองทอง ยูไนเต็ด ? by 1 more news
นับแต่บรรลุข้อตกลง การเข้าซื้อหุ้น 30 % ในสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด พร้อมด้วยการเป็น Title Sponsor 5 ปี ด้วยวงเงิน 600 ล้านบาท ของ บริษัทซีเมนต์ไทย โฮลดิ้ง จากัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นทั้งหมด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด 5 ประการคือ
1. สโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด เปลี่ยนชื่อเป็น สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ เอสซีจี ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด
2. สนาม ยามาฮ่า สเตเดียม เปลี่ยนเป็น สนาม เอสซีจี สเตเดียม
3. สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 1 สมัย ในปี 2555
4. พนักงานบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นแฟนของสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด มากขึ้น
5. การทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ทางด้านกีฬาฟุตบอลของ บริษัทปูนซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) มีความเข้มแข็งและมีสีสันมากขึ้น
สัญญาการเป็นผู้สนับสนุนหลักของ SCG ต่อ สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด มูลค่า 600 ล้านบาท ฉบับแรก มีอายุ 5 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 น่าจะสิ้นสุดลงในปี 2559 หรือ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้นั่นเอง
แน่นอนล่ะ ถ้าผลงานดี มีแชมป์ติดมือ โอกาสที่จะมีการเซ็นสัญญาสนับสนุน ฉบับที่ 2 ต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก แต่ถ้าผลงานไม่ดี ปีนี้ จบลงด้วยมือเปล่าเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ก็คงต้องเจรจากันน้ำลายเหนียว และยากจะคาดเดาการพิจารณาตัดสินใจของผู้ให้
นี่จึงอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ ผู้บริหารสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ต้องทุ่มเทกำลังทุกอย่างที่มี เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุดในปีนี้ ปีสุดท้ายของสัญญามูลค่า 600 ล้านบาท ของบริษัทซีเมนต์ไทย โฮลดิ้ง จากัด จะสิ้นสุดลง และนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ ระวิ โหลทอง เจ้าของสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ต้องออกแถงการณ์ “ถ้ามีการลงโทษทีม SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด อย่างรุนแรง จะประกาศยุบทีมทันที”
ชัดยิ่งกว่าชัด คือ ถ้าเหตุการณ์ที่แฟนSCG เมืองทองฯ ตีกับ แฟนท่าเรือ เป็นเหตุให้ถูกสมาคมฯ ลงโทษตัด 9 แต้ม เหมือน เมื่อ 2 ปีก่อน ก็เท่ากับว่า SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด หมดโอกาสเป็นแชมป์ไทยลีก ประจำฤดูกาลนี้ ทันที นั่นหมายความว่า ตลอดอายุสัญญา 5 ปีที่ SCG จ่ายเงินสนับสนุนให้เมืองทอง ยูไนเต็ด 600 ล้านบาท เมืองทอง ยูไนเต็ด ทำได้เพียง 1 แชมป์ คือ แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ประจำปี 2555 ปีแรกที่ SCG เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น และ เป็นผู้สนับสนุนหลักของทีม
คำประกาศ ถ้าถูกลงโทษรุนแรง คือ ตัดแต้ม จะยุบทีม จึงไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้น สำหรับผู้ทำธุรกิจกีฬา เพราะในสภาพธุรกิจปัจจุบันนี้ สภาพการลงทุนของระวิ โหลทอง ใน เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ อีก 2 ทีม ที่บริษัทในเครือข่ายสยามสปอร์ตฯ เป็นเจ้าของ นั้น หากไม่มีผู้สนับสนุนหลัก เช่น SCG ย่อมจะดำเนินไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
ในขณะที่บริษัทแม่อย่างสยามสปอร์ตฯ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ ประสบภาวะขาดทุน 3 ปีติดต่อกัน คือ ปี 2557 ขาดทุน 133.86 ล้านบาท ปี 2558 ขาดทุน 33.89 ล้านบาท และ ปี 2559 จนถึงไตรมาสที่ 2 หรือ ครึ่งปีแรก ขาดทุน 167.51 ล้านบาท
รายได้หลักของ สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คือ รายได้จากผู้สนับสนุน และผู้สนับสนุนหลัก ก็คือ SCG ที่จ่ายเป็นหลักร้อยล้านบาท ต่อปี ในขณะที่ผู้สนับสนุนอื่นๆ จากการประเมินของนักการตลาด คาดว่าน่าจะอยู่หลักสิบล้านบาท เท่านั้น
รายได้จากการจำหน่ายตั๋ว น่าจะไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากไม่สามารถขยายที่นั่งได้อีกแล้ว ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายเสื้อ ก็ขายสิทธิให้กับแกรนด์สปอร์ต ไปแล้ว จึงไม่สามารถขยายตัวได้มาก แม้ว่าทีมกำลังทำผลงานได้ดี และมีแฟนซื้อเสื้อเพิ่มจำนวนมากก็ตาม
นักวิเคราะห์การตลาดกีฬา ให้ความเห็นว่า การทำสัญญา 5 ปี ลงทุนไปกับทีมด้วยเม็ดเงินสูงถึง 600 ล้านบาท เป็นที่แน่นอนว่าผู้ลงทุน ย่อมคาดหวังผลที่เป็นเลิศ แต่การได้แชมป์เพียง 1 รายการ แม้จะไม่ผิดหวังทั้งหมด แต่ก็เรียกได้ว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงผู้บริหารของทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด เองด้วย
“เราจึงได้เห็นการลงทุนซื้อนักกีฬา อย่างมีนัยยะสำคัญ ในปีนี้ ด้วยการซื้อนักกีฬาทีมชาติ เข้าสู่ทีม ด้วยเม็ดเงินมหาศาล และน่าจะประสบความสำเร็จเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรฯ ได้เลยทีเดียว เพราะขณะนี้ SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด มีโอกาสเป็นแชมป์ ทั้ง 3 รายการ แต่เหตุการณ์แฟนเมืองทอง ตีกับ แฟนท่าเรือ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ สโมสรฯ ได้อย่างน่าใจหาย”
การไม่ได้เล่นในสนาม เอสซีจี สเตเดียม และ ห้ามแฟนเข้าชมทุกเกม ที่ลงแข่ง จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด เสียหายอย่างมาก มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ไม่มีรายได้ และ ไม่มีกำลังใจให้กับทีม ในขณะที่คู่แข่ง มีกองเชียร์ได้เต็มที่
อีก 5 นัดที่เหลือ ในฤดูกาลนี้ มีจุดเปลี่ยนได้ทุกนัด กับคะแนนที่นาอยู่เพียง 3 แต้ม นั่นหมายความว่า ถ้าพลาดเพียงนัดเดียว แชมป์ไทยลีก ปีนี้ ที่อีกไม่กี่ก้าว ก็จะคว้าได้แล้ว มีโอกาสจะหลุดมือไปสูงมาก
การลงแข่งขัน โดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตที่ผูกพันอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการพิจารณาลงโทษ จะออกมาอย่างไร ย่อมจะมีผลต่อขวัญกำลังใจของนักกีฬา และผู้บริหาร อย่างแน่นอน
ที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยกว่า ผลการพิจารณาบทลงโทษของคณะกรรมการฯ ที่สมาคมแต่งตั้งขึ้น ก็คือ ท่าทีของผู้บริหาร SCG ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสร
เนื่องจาก SCG เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีนโยบายบริหารธุรกิจ และ บริหารองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญกับเรื่อง ธรรมาภิบาล สูงมาก ถึงกับมีคณะกรรมการธรรมาภิบาล ของบริษัท ทำหน้าที่กำกับดูแล ตรวจสอบ วางนโยบาย ให้คำแนะนำการเข้าไปทากิจกรรมใดๆ หรือเข้าไปลงทุนของ SCG ในกิจกรรม หรือ กิจการใดๆ จะต้องดำเนินไปด้วยหลักธรรมาภิบาล และต้องให้สังคมได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ทำร้ายสังคม และต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ SCG
การถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งของ SCG “เอสซีจี ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดีในทุกชุมชนและทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”
การเข้ามาลงทุนในสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด SCG มีความมุ่งหวังที่จะใช้สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นสื่อในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ SCG และเป็นการลงทุนธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้บริหารสโมสร การสร้างอะคาเดมี่ ผลิตนักฟุตบอล การมีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ และ มีการพัฒนาทีมไปสู่ระดับเอเชีย ได้
5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริหาร SCG คงจะประเมินได้แล้วว่าการใช้เงินของบริษัทปูนซีเมนต์ จากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน มาลงทุน 30 % ในสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด และการเป็นผู้สนับสนุน ตามสัญญา 5 ปี 600 ล้านบาท ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน หรือไม่ ทั้งผลตอบแทนทางธุรกิจ และ ผลตอบแทนทางสังคม
แน่นอนว่า “ดีก็ได้ ร้ายก็มี” อยู่ที่จะมองมุมไหน ?
นอกเหนือจาก การเปลี่ยนแปลง 5 ประการที่กล่าวข้างต้น แล้ว
สิ่งที่มาพร้อมกับเปลี่ยนแปลงทั้งของ เมืองทอง ยูไนเต็ด และ เอสซีจี ก็คือ ภาพลักษณ์ของ Brand ทั้ง 2 Brand ที่ถูกทำให้ด่างพร้อย จากแฟนเมืองทองฯ จำนวนหนึ่ง ทั้งที่ใส่เสื้อสโมสร SCG เมืองทอง ยูไนเต็ด และ ใส่ชุดดำ ที่กำลังกลายเป็นผู้ร้ายของวงการฟุตบอลไทย
ไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม แต่การใช้ความรุนแรงทั้งในและนอกสนาม การตะโกนด่าทอด้วยคำหยาบคายในสนามฟุตบอล การเป็นตัวอย่างที่ไมดีแก่เยาวชน การทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้าม สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นการขัดหลักธรรมาภิบาล ที่ SCG ยึดมั่นถือมั่น เป็นแนวทางบริหารองค์กรและธุรกิจ ทั้งสิ้น
แม้พฤติกรรมของแฟนบอลจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของสโมสรฯ แต่ก็มิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ทั้งหมด เพราะกฎ กติกา การแข่งขันฟุตบอลอาชีพ ได้กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสโมสร ที่มีต่อแฟนบอล ไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสกัดกั้น หลีกเลี่ยง การสร้างเหตุที่จะนำไปสู่การทะเลาะวิวาทของแฟนบอล และมีบทลงโทษ สโมสร กำกับไว้ด้วย
เป็นที่น่าเสียใจ ที่แฟนบอลกลุ่มหนึ่ง กำลังทำให้สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ตกอยู่ในสถานะที่ลำบาก ทั้งในสนามแข่งขันและสนามธุรกิจ
เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ บริษัทธรรมาภิบาล เช่น SCG จะต้องมาด่างพร้อยไปกับพฤติกรรมของแฟนบอล กลุ่มนั้น ที่อยู่ในสนาม เอสซีจี สเตเดียม และ ใส่เสื้อ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ร้ายไปกว่านั้น ชื่อ สนาม เอสซีจี สเตเดียม กำลังกลายเป็นนรกของทีมเยือน (แฟนท่าเรือ) และ เป็นสถานที่เสี่ยงภัยของแฟนฟุตบอล ชนิดที่ยากจะล้างภาพนี้ออกไปได้ เนื่องจากเกิดเหตุซ้ำๆ
ถ้าเพียงแต่ผู้บริหารสโมสร จะประกาศตัดญาติขาดมิตรกับแฟนบอลเกเรกลุ่มนั้น ซึ่งเชื่อว่าผู้บริหารสโมสร น่าจะสืบหาตัวได้ไม่ยาก ห้ามเข้าสนาม ห้ามเฉียดใกล้สโมสร และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชี้ช่องเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม ดำเนินคดี ก็จะเป็นการรักษาสโมสร และ รักษาแฟนที่ดีซึ่งมีเป็นส่วนใหญ่ ไว้ได้
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟนบอลกลุ่มดังกล่าว ก่อเหตุ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่แฟนบอลกลุ่มนั้น จะถูกจับกุมดำเนินคดี หรือ ถูกมาตรการลงโทษจากสโมสร มีแต่การเชิญมาปรับความเข้าใจ การร้องขอให้ ลด ละ เลิก พฤติกรรมยั่วยุ และการใช้ความรุนแรง ซึ่งได้ผลหรือไม่ ก็เป็นอย่างที่ได้เห็นกับตาทุกคนแล้วในวันนี้
เพื่อจะรักษา เอสซีจี ไว้กับสโมสร ให้คงความเป็นสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ตลอดไป คงถึงเวลาที่ผู้บริหารสโมสร จะต้องตัดอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต ไว้หรือยัง ?
ถ้า เอสซีจี ถอนตัวไป ถ้า เมืองทอง ยูไนเต็ด ยุบทีมไป ฟุตบอลไทยจะหมดสนุกแน่ และการพัฒนาของทีมชาติไทย อาจจะได้รับผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะฉะนั้นนิ้วไหนร้าย ตัดนิ้วนั้น ก่อนจะลุกลามจนต้องตัดทั้งมือ หรือ กลายเป็นติดเชื้อในกระแสโลหิต ในที่สุด
ด้วยความปรารถนาดีต่อวงการฟุตบอลไทย