สถานะของผมคืออะไร

เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของผมเอง ก่อนอื่นผมขอบรรยายถึงตัวเองก่อน ปัจจุบันผมเป็นโสดๆ มา 12 ปี แล้วมีลูกสาว 1 คน อยู่กันมาสองคนได้ 12 ปีแล้วโดยผมไม่คิดจะเอาใครเข้ามาในชีวิติอีก ผมเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ก็เหมือนคนขี้เหงาทั่วไปหาความสุขที่ไม่ผูกพันไปเลยเรียกได้ว่าว่างไม่ได้ต้องออกเลยได้รู้จักแต่คนกลางคืน ซึ่งผมก็พอรู้ดีว่าชีกลางคืนมันไม่มีอะไรจริง 70 % คือต่างคนต่างหลอกลวง ซึ่งตรงนี้ผมรับได้ ผู้หญิงเขาทำงานหาเลี้ยงตัวเองส่วนเราก็หาความสุขใส่ตัวที่สามารถใช้เงินซื้อได้ อยู่มาวันหนึ่งผมไปเที่ยวร้านที่คุนเคยเป็นร้านประจำล่าสุดของผมซึ่งทุกคนในร้านรู้จักผมทุกคนวันนั้นผมได้สังเกตุเห็นน้องคนหนึ่งซึ่งจริงๆเขาก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว และผมก็เห็นเขามาได้พักหนึ่งแล้วแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เรียกว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในร้านที่ผมไม่เคยคุยด้วยก็ว่าได้ ลืมบอกร้านที่ว่าเป็นร้านแนวผับโคโยตี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะโตแล้ว มีพนักงานผู้หญิงสวยๆเยอะมาก น้องคนนี้เขาทำงานเป็นการตลาดของร้านมีหน้าที่ดูแลการตลาดของร้าน น้องเป็นคนหน้าตาดี เรียกว่าแขกขาประจำของร้านรู้จักกับน้องเขาทุกคน จะมีก็ผมนี่แหละที่เป็นขาประจำที่ไม่เคยคุยกับน้องเขาเลย อาจเพราะว่าผมเป็นลูกค้าที่แปลกของร้านก็ได้ เพราะใครๆที่มาร้านนี้เป้าหมายคือมานัวกับเด็กในร้าน ส่วนผมมานั่งคุยดื่มเหล้าก็ไม่เก่งผมจะชอบพูดคุยกับเด็กในร้าน เด็กๆชอบมานั่งกับผมเพราะได้ดื่มและไม่ต้องถูกรวนรามก็เลยสนิทกันทั้งร้านจนบางที่น้องบางคนเกรงใจไม่กล้าขอ แต่ก็มีบ้างบางคนที่คุยถูกใจหน้าตาถูกใจผมก็เรียกมานั่งจับมือบ้างแต่ก็แค่นั้น พอแหละมาต่อที่เรื่องผมกับน้องดีกว่า วันนั้นที่เราได้คุยกันครั้งแรกผมเห็นน้องเขาเดินผ่านมาป่ะหน้ากันน้องเขาสวัสดีผม ผมพึงสังเกตุโอ้น่ารักจังตามประสาผู้ชาที่มักสนใจกับรูปลักษภายนอกก่อน พอผมเขามานั่งโต๊ะก็เลยบอกเด็กให้ไปเรียกน้องเขามาให้หน่อยอยากคุยด้วย น้องเขาไม่ได้มีหน้าที่นั่งคุยกับแขกน่ะครับ เขาก็เดินทักแขกไปเลย นั่งดื่มเป็นเพื่อนแขกบ้างแล้วแต่เขา และน้องเขาก็เดินมาหาผมนั้นเป็นครั้งแรกที่เรานั่งด้วยกัน น้องเขาเป็นคนคุยสนุกนั้นทางผมเลยเพราะเรามาหาเพื่อนคุย เป็นกันเองในระดับหนึ่งเขาก็บอกเห็นผมมาเที่ยวที่นี่นานแล้วแต่ไม่เคยเขามาคุยด้วยสักที่เขาบอกเห็นเด็กเต็มโต๊ะเลยไม่ได้เขามา ผมยังนึกในใจต่อไปนี้ผมคงอยากให้มีแค่น้องคนเดียวแหละที่โต๊ะผม แล้ววันแรกที่เราได้คุยกันก็ผ่านไป ตัวผมรู้สึกอะไรไหม ไม่เหมือนเดิมมานั่งคุยกลับบ้านนอนเพราะเชื่อว่าชีวิตคนกลางคืนมันคือความฝันไม่ใช่โลกความเป็นจริงไม่ควรจริงจังเอาสาระอะไรมาก เช้าก็แยกทางต่างคนต่างไปมีชีวิตของตัวเอง จนกระทั้งเราคุยกันมาเลยเริ่มเป็นคนที่สนิทกันมากขึ้นสนิทกว่าทุกคนในร้าน มาถึงชวันนึงน้องเขาดูนิ่งๆ ไอ้ผมก็พอรู้มาว่าน้องเขามีแฟนแล้ว ก็เลยพอจะรู้ว่าคงมีปัญหาเรื่องแฟนก็เลยนั่งคุยกันเรื่องแฟนเขาเขาบอกว่าเลิกกับแฟน เพราะแฟนเขาติดผู้หญิงคนอืนอะไรทำนองนี้แหละ แฟนเขาที่ผมรู้มาเป้นลูกคนมีเงินมีกิจการเรียกว่ามาฐานะดีมาก ผมก็เลยเผือกน้องเขาไปว่าอย่าไปคิดิะไรเลยคนอยู่ในฐานะเลิกได้อย่างนั้น ถ้าเขารักเราจริงเขาคงไม่ปล่อยให้เราต้องมาทำงานแบบนี้หรอก และผมก็พูอะไรอีกเยอะแยะจำไม่ได้แล้วจนน้องเขาสบายใจ และวเราก็สนิทกันขึ้นเลยๆ จนมาวันหนึ่งผมไปต่างจังหวัด ก็เลยชวนน้องเขาตามไป น้องเขาก็ตามไปกับเพื่อนเขานั้นเป็นครั้งแรกที่เราเที่ยวก้วยกันแต่มีบุคคลอื่นด้วย ก็โอเคก็แค่เที่ยวแบบไม่คิดอะไร หลังจากนั้นก็มีกินข้าวกันบ้าง ดูหนังบ้างซึ่งส่วนใหญ่น้องเขาจะเป็นคนชวน ไปกันสองคนบ้าง มีคนอื่นบ้างตามแต่โอกาส จนมาถึงการเที่ยวต่างจังหวัดรอบที่สองพอดีน้องเขาพึ่งถอยรถออกมายังขับไม่เป็นผมก็เป็นคนสอน ก็เลยชวนกันไปเที่ยวทะเลหัวหินโดยมีผู้หญิงอีกคนไปด้วยซึ่งผมเป็นคนให้น้องเขาชวนไปเพื่อที่เขาจะได้สบายใจว่าไปกับผมปลอดภัยแน่นอนเราก็ไปเที่ยวด้วยกัน ก็เหมือนไปเปลี่ยนสถานที่นั่งชิวๆ น้องเขาเป็นคนชอบเที่ยวเรียกว่าตรอนทัวร์เลยล่ะ ซึ่งทิปนี้ผมก็ยังไม่คิดอะไรกับเขาเฉยๆ อาจเพราะมีคนอืนไปด้วยเลยไม่ได้คิดอะไร คิดแต่หาความสุขใส่ตัวโดยมีเพื่อนคุยด้วยก็ไม่เหงาดี ผมปกติเป็นคนไม่ชอบเดินทางไกลไปเที่ยวไหนหยุดยาวก็นอน ถ้าจะไปก็ต่างประเทศเลยไปคนเดียวเวลาที่เหนื่อยอยากหนีปัญหานึกจะไปก็ไปเลยไม่มีการว่างแผน และแล้วก็มาถึงทิปสำคัญเรียกว่าเป็นทิปที่ทำให้ผมรู้สึกเลยว่าผมชอบน้องเขานี่หว่า เราชวนกันว่าจะไปไหวพระ แต่พอถึงวันไปกับไปเที่ยวทะเลอีกไม่ได้ไห้วพระ รอบที่สามแล้วทะเลเนี่ย ซึ่งผมเป็นคนไม่ชอบน้ำทะเล น้องเขาก็ไม่ชอบเพราะไม่เคยเห็นเล่นน้ำเลย แต่ไปที่ไรทะเลทุกที เที่ยวนี้เราไปกันสองคนโดยไม่มีบุคคลที่ 3 น้องเขาคงเริ่มไว้ใจผมว่าผมคงไม่ทำอะไรเขาแน่ ตามตรงเลยน่ะตลอดเวลาที่อยู่กับเขาไม่เคยมีเรื่อง sex อยู่ในหัวผมเลยเพราะผมเชื่อว่าเมื่อเราเริ่มรู้สึกดีกับใครมากๆ เราจะไม่ทำอะรไที่เสี่ยงต่อการเสียสิ่งๆ นั้นไป เมื่อไปถึงทะเลเราก็หาที่พักเราก็อยู่ห้องเดียวกันบังเอิญเป็นคอนดดริมทะเลมีเตียงเดียง ผมก็น้อนโซฟาก็สบายดี เราไปก็ไปตามสูตรเราหาที่กินที่เที่ยวไปเรื่อยผมมีความสุขมากระหว่างที่อยู่กันสองคนโดยไม่มีคนอื่น นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกชอบเขาอย่างจริงจังขึ้นมา กับมาเราก็คุยกันมาเลยทุกวันวันไหนไม่ได้คุยเหมือนขาดอะไรไป กินข้าวกันบ่อยขึ้นดูหนังเยอะมากไม่เคยดูหนังนอกบ้านถี่อย่างงี้เลยเพราะเป็นคนไม่ชอบไปไหนเท่าไรเวลากลางวัน ถ้าถามผมระหว่างที่คุยกันไปไหนมาไหนด้วยกันช่วงหลังนี้ฟิวเหมือนอะไร อันนี้ผมคิดเองน่ะ เหมือนคนเป็นแฟนกันเลย ผมก็เลยเริ่มมโนไปว่าเราคงเป็นแฟนกันแน่เลย เราเจอกันทุกวัน คุยกันทุกวัน ช่วงนี้บอกเลยผมฟินมาก (ศัพท์วัยรุ่นจำลูกมา) ความรู้สึกเก่าที่ไม่อยากมีใครอยากรับผิดชอบลูกสาวคนเดียวไม่อยากเอาใครเขามาในชีวิตมันเริ่มหายไป เมื่อก่อนคิดอยู่เสมอว่าผมเป็นคนทำให้ลูกผมขาดแม่ ผมต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด หาสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาให้ชีวิตเขาดีที่สุด เลยไม่คิดจะแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้ใครอีก แต่ความคิดนั้นมันเริ่มหายไปแล้ว เพราะน้องเขาทำให้ผมหายเหงา หายเบื่อ หาเซ้ง พึ่งรู้เวลาลามีคนถามว่าทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง ถึงบ้านหรือยัง มันโคตรมีความสุขเลยถ้าคนถามคือน้องเขา ถามว่าถ้ารู้สึกขนาดนั้นทำไม่ไม่บอกน้องเขาไปล่ะว่าเราชอบเขา ก็อย่างที่บอกเวลาที่ผมชอบใครมากจริงๆ สักคนผมไม่อยากทำหรือพูดอะไรที่เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปอยากรักษามันไว้แบบนี้ล่ะ มีความสุขแล้ว และก็มาถึงทิปที่สามทิปนี้ไกลเลย ขอตั้งชื่อว่าทิป สมุยยิ้มชีวิต (ขอโทษที่ไม่สุภาพครับ) แต่ต้องชื่อนี้จริง ทิปนี้ขอละเอียดนิดนึง ก่อนไปสมุยเราแวะพักที่กรุงเทพก่อนน้องเขามีธุระ และอยากรับน้องสาวเขาเที่ยวกรุงเทพหนึ่งวัน ผมก็ไกด์ชั้นดีเพราะเกิดและดตที่นี่กินมาหมด7ย่านนำ้ ซึ่งทิปนี้ตั้งใจจะสร้างความประทับใจให้น้องเขาแบบมิรู้ลืมจัดแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ให้ เมื่อไปถึงก็เริ่มไปรับน้องสาวของเขาไปเที่ยวกินอยากไปไหนพาไปหมด จนต้องหาที่พักเพราะะตอนเช้าต้องส่งน้องสาวเขาเข้าหอแต่เช้าก็ตะเวนหาที่พักกันจนตี 3 กว่าจะได้เช้าผมก็ต้องตื่นแต่เช้าพาน้องสาวเขาไปส่งที่ รร และกับมารับน้องเขาไปธุระก่อนแล้วเราก็บินไปสมุย
โทษที่ลืมเล่าจุดสำคัญของทิปนี้ มีช่วงหนึ่งเราเข้าไปไหวพระที่หวัดหัวลำโพงผมก็ได้ถ่ายรูปให้เขาสองคนพี่น้อง แล้วก็เลยลงเฟสผมโดยไม่มีผมอยู่ในเฟรมตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมาปีกว่าเชื่อไหม ผมกับน้องเขาไม่เคยมีรูปด้วยกันเลยซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะปกติก็ไม่ชอบถ่ายรูปคู่กับใครเท่าไรอยู่แล้ว พอรูปขึ้นเฟสเท่านั้นแหละ น้องเขาก็เดินมาบอกลงทำไมลบเลยมันขึ้นแท็กเฟสเขาด้วยซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยเข้าใจงงๆ แท็กอะไรว่ะ แล้วมันจะเป็นอะไรว่ะมันไม่มีเราอยู่ในเฟรมนี่หว้า ก็พึ่งถึงบางออว่าเขาคงกลัวแฟนเขาคนที่เขาคุยอยู่เห็น ผมเริ่มนอยแล้ว นอยอันนี้ก็จำลูกมา ทำไมว่ะกลัวแฟนเห็น แล้วทำไมไม่ชวนแฟนมาว่ะถ้ามีแฟนแล้วชวนคนอื่นมาทำไมว่ะ แล้วมากับคนอื่นสองต่อสองห้าหกวัน ไม่กลัวแฟนว่าเหรอว่ะ ตอนนั้นอยากระเบิดออกมาเลยแหละ แต่ก็ได้แต่คิดในใจ
ความรู้สึกเซ้งๆก็เริ่มขึ้น
ตัดมาที่สมุยเลย ผมก็เริ่มสังเกตุเขามากขึ้นจากเมื่อก่อนไม่เคยคิดจะรับรู้เรื่องส่วนตัวของเขา เริ่มเห็นเขาโทรศัพท์คุยกับใครก็ไม่รู้ บ่อยมากทำนองว่ารายงานว่าตอนนี้ถึงไหน ทำอะไรอยู่ คือง่ายๆ เหมือนคุยกับแฟนนั้นแหละ ผมนี่ตัวเย็นทุกครั้งที่เห็นเขารับโทรศัพท์ ดูไลท์ เลยเฮ้ยนี่มันอะไรกันว่ะ เฮ้ยสนใจทางนี้บ้างคนทั้งคนน่ะมองไม่เห็นเลยเหรอ ทำไมไม่ไม่ทำตอนที่อยู่คนเดียวว่ะ ส่วนไอ้บ้านั้นก็โทรมาอยู่ได้คิดถึงกันขนาดนั้นไม่อาสาพาเขามาเที่ยวว่ะปล่อยให้มากับตรูทำไม บ้าหรือเปล่าว่ะปัญญาอ่อนฉิบ ตอนนั้นคิดไปสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ควรต้องคุยไหม เอาให้ชัดไปเลยดีไหม แต่แล้วความคิดแบบนั้นก็หายไปเพราะเหตุผลเดิม ไม่อยากเสียความรู้สึกดีดีทีมีกับเขาไป ก็เลยต้องทนฟังตลอดสามสี่วันที่อยู่ที่นี่ ผมเศร้ามาก สับสนมาก ถามตัวเองตลอดเวลาตรูมาทำอะไรที่นี่ คนที่ควรอยู่ที่นี่ไม่ควรเป็นตรู ทิปนี้ผมเหมือนเป็นแค่ลมที่พัดอยู่รอบตัวน้องเขา เหมือนเขามาเที่ยวคนเดียว บอกตามตรงมีผู้หญิงมาก็พอได้ไม่เคยเจอความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน เหมือนไม่มีตัวตน อยากให้เวลามันจบลงเร็วๆ จะได้กลับบ้าน ทุกวันที่อยู่ที่นี่ต้องฝืนยิ้มฝืนคุยเรื่องสนุก เพื่อไม่ให้น้องเขารู้สึกว่าผมกำลังเศร้าสุดๆ คิดดูนอนอยู่ห้องดียวกันถึงจะคนล่ะเตียงแต่ต้องนอนทนฟังคนที่เราชอบมากๆ คุยกับผู้ชายของเขาอย่างเมามันรายงานสถานะการต่างๆ ว่าสนุกไหม สวยไหม เป็นไงบ้าง มันโคตรเจ็บเลยครับชีวิตนี้ไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน ต้องแกล้งหลับทั้งที่ไม่ง่วง  มันเหมือนน้องเขาเอาอะไรแหลมๆมาทิมตามตัวผมตลอดเวลาให้เลือดออกแค่ซิบๆ ไม่ถึงตายประมาณนั้น มันทำให้รู้สึกได้เลยที่เคยมโนมันไม่มีทางเป็นความจริงเพราะผมผมคงไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยในสายตาเขา เขาถึงไม่ได้แคร์ความรู้สึกผมเลย ผมก็แค่คนอาสาพาเทียว เขาก็แค่คนที่ชอบเที่ยว จนจบทิปกลับมา และเขาก็คงแอบสังเกตุเห็นแหละว่าผมเป็นอะไรดูนอยๆ ก็ตอนขากลับนี่แหละ
ต่อมาหลังจากกลับมาแล้วผมก็คิดอยู่พักนึงว่าต้องทำอะไรสักอย่าง คือตักใจซะแล้วหายตัวไปเลยทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะเขาก็ยังติดต่อมาเหมือนเดิม คอยถามคอยห่วงใยผมเหมือนเดิม ไอ้ผมไม่เคยเมาก็เมามันทุกวันเขาก็คอยหิ้วมาส่งบ้านคอยดูแลผมอย่างดีเป็นห่วงเป็นใยตลอด ผมก็เลยสงสัยว่าเขาต้องการอะไรจากผม เขาทำเพื่ออะไร ผมก็เลยมานั่งคิดประมวงเหตุการณ์ตั้งแต่เรารู้จักกันมาทบทวนเรื่องราวอย่างละเอียด และก็บอกเขาไปตามตรงว่าการเที่ยวครั้งล่าสุดผมรู้สึกยังไง เขาก็บอกว่าเขาไม่รู้ว่าผมรู้สึกอย่างนั้นกับเขา ผมไม่เคยบอกเขา และเขาก็เป็นคนตรงๆ บอกผมว่าเขาคุยกับคนเยอะไม่ได้คุยกับผมคนเดียว แต่เขาไม่ยังไม่คิดจะจริงจังกับใคร ซึ่งตรงนี้ผมรู้อยู่แล้ว แต่ว่าไอ้บ้าที่ดทรหาเขาตลอดเวลาที่เราอยู่ที่สมุย ผมคิดว่าคงจะเป็นคนพิเศษของเขา ผมก็เลยทบทวนดูว่าผมอยู่ในสถานะไหนในลิสของน้องเขา โดยดูจากพฤติกรรมของน้องเขา ก็มาพบว่าขนาดเด็กเสริฟในร้านน้องเขายังให้ความสนิทสนมมากกว่าผมอีก เวลาที่เขาอยู่กับเด็กพวกนั้นนั่งเอาหัวซบไหล่กันถ่ายรูปหัวแทบจะติดกัน ดูน้องเขามีความสุขมากเหมือนอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่รู้ใจ ส่วนผมน่ะเหรอมือยังไม่เคยได้จับอย่าคิดถึงเรื่องเอาหัวไปซบไหล่เขาเลย ขนาดเจอกันล่าสุดเมื่อคืนผมพาเด็กในร้านผู้ชายไปนั่งกินเหล้าด้วยพอเขามาเจอ เขาปรี่เขาไปนั่งซบไหล่เด็กคนนั้นโดยมีผมนั่งอยู่ตรงข้าม ผมนี้โคตรอิจฉาเด็กคนนั้นเลยผมรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนั้เพราะเป็นรุ่นน้อง แต่ผมแอบคิดว่าไอ้เด็กคนนั้นต้องคิดบ้างล่ะ 555 ผมอิจฉามากจนต้องหน้าด้านเรียกเขามานั่งข้างๆผมหน่อยได้ไหม เขาก็รุกขึ้นมานั่งเต็มใจไหมไม่รู้ ผมก็เลยลองดูบอกขอจับมือหน่อยซิ เขาบอกไม่อ่ะไม่ชอบเขาเป็นคนอินดี้ไม่ชอบอะไรแบบนี้ ตอนผมรับว่าชอบเขาเขาบอกผมไม่ชัดเจนเอง แล้วไงตอนนี้ผมชัดเจนแล้วเอาไง อินดี้คืออะไร คุณให้ความสนิทกับทุกคนที่คุณรู้จักแบบนันได้ แต่สำหรับผมคุณอินดี้ ผมเลยเลยสรุปสถานะของผมเองว่า ผมก็คืองานของเขา(ลูกค้า)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่