คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ทำไม ต้องมามัววิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ปั้นแต่งกันตอนเกิดไม่ได้? จะมองกันที่คุณค่าหรือแข่งกันที่ความสามารถหน่อยไม่ได้หรือ? ความจริงก็คือ ขี้ปากของคนช่างวิจารณ์เป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่วิบากกรรมเอาไว้ทิ่มตำเจ้าของกรรม พวกเราถูกคนรอบข้างกระตุ้นเตือนให้ได้รู้สึกผิดหรือภูมิใจกับกรรมเก่าแต่หน หลัง ซึ่งต่างก็หลงลืมกันไปหมดแล้วว่าทำอะไรมา รู้แต่ว่ารูปโฉมโนมพรรณที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ มีอำนาจดึงดูดเสียงติฉินนินทาลับหลัง หรือไม่ก็กระตุ้นเสียงชื่นชมต่อหน้า และไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่มีชีวิตอยู่กี่วันก็โดนแค่นั้น
รูป โฉมยังมีอิทธิพลทางใจอื่นๆ ลองสังเกตเถิด ชายที่มีรูปศีรษะใหญ่ได้รูปสวย จะน่าเชื่อถือว่าเป็นผู้นำได้ ซึ่งพุทธพจน์ก็เผยแล้วว่าเป็นเพราะเคยเป็นผู้นำบุญมามากนั่นเอง
เรื่อง ของความงามเป็นสิ่งหนึ่งที่อ้างได้เต็มปากว่า ไม่ใช่เรื่องขององค์ประกอบทางกายอย่างเดียว คุณคงเคยได้ยินคำว่า "ความประพฤติงาม" หรือ "เป็นผู้มีปัญญาอันงาม" ซึ่งมาจากความรู้สึกสัมผัสความงามของใครสักคนได้ อาจจะเพียงผ่านการโต้ตอบอีเมลหรือพูดคุยโทรศัพท์ โดยไม่เคยพบหน้าค่าตาเลยสักครั้ง
ทั้ง หมดล้วนเป็นร่องรอยชี้ให้เห็นว่ามูลเหตุของความงาม หาใช่ผลงานของความบังเอิญไม่ ความบังเอิญไม่อาจออกแบบความงามหรือความน่าเกลียด ใจที่งาม และใจที่น่าเกลียดต่างหาก ที่อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด
ใจ ที่น่าเกลียดคืออย่างไร? คือใจที่เหนียวเหนอะด้วยความตระหนี่ ถอดเป็นคำไทยคือ "ขี้เหนียว" นอกจากนั้น ใจที่มืดดำด้วยความเห็นแก่ตัว ถอดเป็นคำไทยคือ "ใจดำ" ซึ่งต่างก็ตกแต่งจิตให้น่าเกลียดได้ไม่แพ้กัน
สรุป แล้วความน่ารังเกียจของจิตนั่นแหละ คือต้นเหตุแห่งกายที่น่ารังเกียจ ความงดงามของจิตนั่นแหละ ต้นเหตุแห่งกายที่งดงาม หลักง่ายๆคือถ้าเกิดกิเลสแล้วตามใจกิเลสบ่อยๆ จะเป็นเหตุให้ใจทรามลง ส่งผลให้มีรูปทรามได้เดี๋ยวนั้น เช่น ใบหน้าหมองคล้ำ ราศีหม่นมืดลง แต่ถ้าเกิดกิเลสแล้วรู้จักระงับ ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ จะเป็นเหตุให้ใจสวยขึ้น ส่งผลให้รูปสวยได้เดี๋ยวนั้น เช่น ใบหน้ากระจ่าง ราศีสดใสขึ้น ถ้าสังเกตอยู่อย่างนี้ก็คงไม่กังขาว่า ถ้าชาติหน้ามี ใจสวยหรือใจทรามจะมีบทบาทตกแต่งรูปร่างหน้ามากน้อยเพียงใด
กรรมในการให้ทาน
จุด ประสงค์ของการให้ทานในทางพุทธศาสนา ก็เพื่อมุ่งทำลายความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นหลัก เมื่อความตระหนี่ถี่เหนียวหายไป ใจดีๆก็มาเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายาม แจกแจงความงามตามระดับการให้ได้ดังนี้
๑) ทรัพยทาน
"ความ ตระหนี่" เป็นยางเหนียวที่ทำให้จิตเหนอะหนะ ทึบตัน หาความปลอดโปร่งมิได้ คล้ายฟองเหนียวตะปุ่มตะป่ำเกาะจิตอยู่ยุ่บยั่บ เป็นความอึดอัดแก่เจ้าตัวเองและคนอยู่ใกล้ กิริยาที่แสดงความงก หรือหวงแหนแม้ส่วนเกิน คนลำบากตากหน้ามาขอก็ไม่ให้ ไม่คิดเผื่อแผ่ ไม่เอาใครเลย ล้วนส่งคลื่นความรู้สึกน่าเกลียดออกมาทั้งส้ิน
ตอน เกิดมาเป็นทารกแบเบาะ ธรรมชาติบังคับให้ทุกคนเรียกร้องเอาเข้าตัว แล้วก็หวงแหนสมบัติส่วนตน ฉะนั้น การให้ทานจึงเป็นเรื่องต้องฝึก จะให้เกิดเองไม่ได้ แล้วก็ไม่มีอุปกรณ์การฝึกใดหาง่ายกว่าข้าวของที่เป็นส่วนเกิน ส่วนที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อน แต่อาจช่วยแบ่งเบาให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยลงได้
เมื่อ ค่อยๆฝึกให้ของ ให้ทรัพย์ส่วนเกิน แบ่งปันของดีให้คนอื่นใช้ ยางเหนียวก็เร่ิมละลาย กลายเป็นความปลอดโปร่ง น่าอึดอัดน้อยลงจนรู้สึกได้ด้วยตนเอง กระทั่งเมื่อฝึกถึงขั้นที่ "ให้ทานด้วยความเลื่อมใสศรัทธา" ก็จะมีรัศมีสว่างสวยฉายออกมาจากใจ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัส
การ ให้ด้วยความศรัทธาคือเต็มใจให้ ใจจึงเป็นกุศลเต็มกำลัง จะเป็นความปลื้มใจที่ได้อนุเคราะห์ผู้อื่น หรือจะเพราะเลื่อมใสศรัทธาในผู้รับเช่นพระสงฆ์ผู้ทรงศีลก็ตาม กำลังศรัทธาที่เต็มเปี่ยมจะเป็นปัจจัยให้เกิดผลมากทั้งสิ้น เมื่อคิดให้ทานด้วยจิตที่ผ่องแผ้วสวยใสที่สุด ย่อมเป็นเหตุบันดาลรูปร่างหน้าตาที่สวยชวนพิศที่สุดเช่นกัน
เกณฑ์ ง่ายๆที่ตัดสินได้ว่าใจของคุณมีศรัทธาขณะให้ทาน คือ เมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากข้างใน เป็นยิ้มอันบันดาลขึ้นจากความปลื้มเปรม ความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน แต่ถ้าทำทานแล้วฝืนยิ้มไปแกนๆ ใจไม่เป็นสุขนั้นไม่นับว่าถึงความเลื่อมใสในทาน เพราะแสดงให้เห็นว่าใจยังแห้งแล้งอยู่
หาก ให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่น แก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่ยอมร่วมให้ทานกับใคร ไม่ยอมถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนแปลกหน้าที่เขามาพร้อมเรา ดึงดันจะแยกเป็นต่างหากให้พระต้องสวดสองที แบบนี้กรรมจะตกแต่งให้ชาติต่อไปหน้าตาออกรสเค็ม หรือเห็นแล้วไม่สบายใจเสียมากกว่าจะน่าเลื่อมใส ตามอาการทางจิตนั่นเอง
วิธี ง่ายๆเพื่อสร้างศรัทธาในการให้ คือ ให้เพราะอยากให้ ถวายเพราะอยากถวาย และอย่าเลือกหน้า อย่าสร้างเงื่อนไขว่าอย่าเป็นสัตว์ ต้องเป็นคน ต้องเป็นพระ ขอเพียงของที่ให้ทานเป็นสิ่งที่คุณได้มาโดยชอบธรรม ไม่เดือดร้อนใคร กับทั้งมีน้ำจิตคิดอยากให้ ใจก็เบิกบานเป็นปีติได้แล้ว ยิ่งสั่งสมบ่อยเท่าไร ใจในการให้ยิ่งสวยขึ้นเท่านั้น
เมื่อ คุณให้ทานครบวงจร ในที่สุดผลของทานจะนำคุณเลื่อนชั้นทางจิต และคุณจะมีสิทธิ์ให้ทานกับผู้ควรแก่การรับสูงชั้นขึ้นไปเรื่อยๆเอง ความเลื่อมใสศรัทธาจะเกิดขึ้นสูงสุด เมื่อทั้งผู้ให้และผู้รับมีความบริสุทธิ์หมดจด คือ ศีลสะอาด ความประพฤติสะอาด วัตถุที่ใช้ในการให้ทานสะอาด และความตั้งใจขณะถวายทานสะอาด
กล่าว โดยย่นย่อที่สุด ยิ่งความตระหนี่น้อยลงเท่าไร คุณจะยิ่งเห็นใจตัวเองน่าเกลียดน้อยลงเท่านั้น และยิ่งความเลื่อมใสในทานปรากฏชัดขึ้นเพียงใด ใครๆจะยิ่งบอกว่าหน้าตาคุณมีรัศมีชวนชมชัดขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ชาติหน้า
รูป โฉมยังมีอิทธิพลทางใจอื่นๆ ลองสังเกตเถิด ชายที่มีรูปศีรษะใหญ่ได้รูปสวย จะน่าเชื่อถือว่าเป็นผู้นำได้ ซึ่งพุทธพจน์ก็เผยแล้วว่าเป็นเพราะเคยเป็นผู้นำบุญมามากนั่นเอง
เรื่อง ของความงามเป็นสิ่งหนึ่งที่อ้างได้เต็มปากว่า ไม่ใช่เรื่องขององค์ประกอบทางกายอย่างเดียว คุณคงเคยได้ยินคำว่า "ความประพฤติงาม" หรือ "เป็นผู้มีปัญญาอันงาม" ซึ่งมาจากความรู้สึกสัมผัสความงามของใครสักคนได้ อาจจะเพียงผ่านการโต้ตอบอีเมลหรือพูดคุยโทรศัพท์ โดยไม่เคยพบหน้าค่าตาเลยสักครั้ง
ทั้ง หมดล้วนเป็นร่องรอยชี้ให้เห็นว่ามูลเหตุของความงาม หาใช่ผลงานของความบังเอิญไม่ ความบังเอิญไม่อาจออกแบบความงามหรือความน่าเกลียด ใจที่งาม และใจที่น่าเกลียดต่างหาก ที่อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด
ใจ ที่น่าเกลียดคืออย่างไร? คือใจที่เหนียวเหนอะด้วยความตระหนี่ ถอดเป็นคำไทยคือ "ขี้เหนียว" นอกจากนั้น ใจที่มืดดำด้วยความเห็นแก่ตัว ถอดเป็นคำไทยคือ "ใจดำ" ซึ่งต่างก็ตกแต่งจิตให้น่าเกลียดได้ไม่แพ้กัน
สรุป แล้วความน่ารังเกียจของจิตนั่นแหละ คือต้นเหตุแห่งกายที่น่ารังเกียจ ความงดงามของจิตนั่นแหละ ต้นเหตุแห่งกายที่งดงาม หลักง่ายๆคือถ้าเกิดกิเลสแล้วตามใจกิเลสบ่อยๆ จะเป็นเหตุให้ใจทรามลง ส่งผลให้มีรูปทรามได้เดี๋ยวนั้น เช่น ใบหน้าหมองคล้ำ ราศีหม่นมืดลง แต่ถ้าเกิดกิเลสแล้วรู้จักระงับ ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ จะเป็นเหตุให้ใจสวยขึ้น ส่งผลให้รูปสวยได้เดี๋ยวนั้น เช่น ใบหน้ากระจ่าง ราศีสดใสขึ้น ถ้าสังเกตอยู่อย่างนี้ก็คงไม่กังขาว่า ถ้าชาติหน้ามี ใจสวยหรือใจทรามจะมีบทบาทตกแต่งรูปร่างหน้ามากน้อยเพียงใด
กรรมในการให้ทาน
จุด ประสงค์ของการให้ทานในทางพุทธศาสนา ก็เพื่อมุ่งทำลายความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นหลัก เมื่อความตระหนี่ถี่เหนียวหายไป ใจดีๆก็มาเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายาม แจกแจงความงามตามระดับการให้ได้ดังนี้
๑) ทรัพยทาน
"ความ ตระหนี่" เป็นยางเหนียวที่ทำให้จิตเหนอะหนะ ทึบตัน หาความปลอดโปร่งมิได้ คล้ายฟองเหนียวตะปุ่มตะป่ำเกาะจิตอยู่ยุ่บยั่บ เป็นความอึดอัดแก่เจ้าตัวเองและคนอยู่ใกล้ กิริยาที่แสดงความงก หรือหวงแหนแม้ส่วนเกิน คนลำบากตากหน้ามาขอก็ไม่ให้ ไม่คิดเผื่อแผ่ ไม่เอาใครเลย ล้วนส่งคลื่นความรู้สึกน่าเกลียดออกมาทั้งส้ิน
ตอน เกิดมาเป็นทารกแบเบาะ ธรรมชาติบังคับให้ทุกคนเรียกร้องเอาเข้าตัว แล้วก็หวงแหนสมบัติส่วนตน ฉะนั้น การให้ทานจึงเป็นเรื่องต้องฝึก จะให้เกิดเองไม่ได้ แล้วก็ไม่มีอุปกรณ์การฝึกใดหาง่ายกว่าข้าวของที่เป็นส่วนเกิน ส่วนที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อน แต่อาจช่วยแบ่งเบาให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยลงได้
เมื่อ ค่อยๆฝึกให้ของ ให้ทรัพย์ส่วนเกิน แบ่งปันของดีให้คนอื่นใช้ ยางเหนียวก็เร่ิมละลาย กลายเป็นความปลอดโปร่ง น่าอึดอัดน้อยลงจนรู้สึกได้ด้วยตนเอง กระทั่งเมื่อฝึกถึงขั้นที่ "ให้ทานด้วยความเลื่อมใสศรัทธา" ก็จะมีรัศมีสว่างสวยฉายออกมาจากใจ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัส
การ ให้ด้วยความศรัทธาคือเต็มใจให้ ใจจึงเป็นกุศลเต็มกำลัง จะเป็นความปลื้มใจที่ได้อนุเคราะห์ผู้อื่น หรือจะเพราะเลื่อมใสศรัทธาในผู้รับเช่นพระสงฆ์ผู้ทรงศีลก็ตาม กำลังศรัทธาที่เต็มเปี่ยมจะเป็นปัจจัยให้เกิดผลมากทั้งสิ้น เมื่อคิดให้ทานด้วยจิตที่ผ่องแผ้วสวยใสที่สุด ย่อมเป็นเหตุบันดาลรูปร่างหน้าตาที่สวยชวนพิศที่สุดเช่นกัน
เกณฑ์ ง่ายๆที่ตัดสินได้ว่าใจของคุณมีศรัทธาขณะให้ทาน คือ เมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากข้างใน เป็นยิ้มอันบันดาลขึ้นจากความปลื้มเปรม ความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน แต่ถ้าทำทานแล้วฝืนยิ้มไปแกนๆ ใจไม่เป็นสุขนั้นไม่นับว่าถึงความเลื่อมใสในทาน เพราะแสดงให้เห็นว่าใจยังแห้งแล้งอยู่
หาก ให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่น แก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่ยอมร่วมให้ทานกับใคร ไม่ยอมถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนแปลกหน้าที่เขามาพร้อมเรา ดึงดันจะแยกเป็นต่างหากให้พระต้องสวดสองที แบบนี้กรรมจะตกแต่งให้ชาติต่อไปหน้าตาออกรสเค็ม หรือเห็นแล้วไม่สบายใจเสียมากกว่าจะน่าเลื่อมใส ตามอาการทางจิตนั่นเอง
วิธี ง่ายๆเพื่อสร้างศรัทธาในการให้ คือ ให้เพราะอยากให้ ถวายเพราะอยากถวาย และอย่าเลือกหน้า อย่าสร้างเงื่อนไขว่าอย่าเป็นสัตว์ ต้องเป็นคน ต้องเป็นพระ ขอเพียงของที่ให้ทานเป็นสิ่งที่คุณได้มาโดยชอบธรรม ไม่เดือดร้อนใคร กับทั้งมีน้ำจิตคิดอยากให้ ใจก็เบิกบานเป็นปีติได้แล้ว ยิ่งสั่งสมบ่อยเท่าไร ใจในการให้ยิ่งสวยขึ้นเท่านั้น
เมื่อ คุณให้ทานครบวงจร ในที่สุดผลของทานจะนำคุณเลื่อนชั้นทางจิต และคุณจะมีสิทธิ์ให้ทานกับผู้ควรแก่การรับสูงชั้นขึ้นไปเรื่อยๆเอง ความเลื่อมใสศรัทธาจะเกิดขึ้นสูงสุด เมื่อทั้งผู้ให้และผู้รับมีความบริสุทธิ์หมดจด คือ ศีลสะอาด ความประพฤติสะอาด วัตถุที่ใช้ในการให้ทานสะอาด และความตั้งใจขณะถวายทานสะอาด
กล่าว โดยย่นย่อที่สุด ยิ่งความตระหนี่น้อยลงเท่าไร คุณจะยิ่งเห็นใจตัวเองน่าเกลียดน้อยลงเท่านั้น และยิ่งความเลื่อมใสในทานปรากฏชัดขึ้นเพียงใด ใครๆจะยิ่งบอกว่าหน้าตาคุณมีรัศมีชวนชมชัดขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ชาติหน้า
แสดงความคิดเห็น
ทำบุญยังไงให้หน้าตาดีผิวพรรณดีทันเห็นผลในชาตินี้
ส่วนตัวผมตื่นเช้ามาใส่บาตรและหวังผลหน้าตาดีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และคิดว่าเห็นผลทันตาเห็นครับ และเชื่อว่าทำบุญเพื้อหวังผลในด้านรูปมีจริง แม้จะเป็นสายที่ห่างไกลจากนิพพาน
ขอถามแบบจริงจังนะครับ อยากหล่อมาก
ปล.ยืมล็อกอินพี่สาวมา