(ทู้ท้าทายจ่าพิเชษฐ์) สนธิ ลิ้มทองกุล - ทักษิณ ชินวัตร : สนธิผู้ไม่มีอะไรจะเสีย การติดคุกคือกำไรที่ไม่ต้องกู้ไม่ต้องโกง

กระทู้คำถาม
ขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก  http://manager.co.th/Japan/ViewNews.aspx?NewsID=9590000088618



ทู้นี้   มีอะไรเกี่ยวกับ "ขา" เล็กน้อย   จึงใช้ภาพขาขาว ๆ มาประกอบทู้






ช่วง 2526-2530

ขณะที่ทักษิณยังเป็นวุ้น   วิ่งแลกเชคเคลียร์หนี้ที่เกิดจากการทำธุรกิจผ้าไหม  สายหนัง  มุดใต้โต๊หลบเจ้าหนี้อยู่นั้น
สนธิเป็น "ขาใหญ่" ในวงการสื่อ  การเมือง  ธุรกิจ  ธนาคาร  แล้ว

สนธิมีความสามารถในการพูดจา  โน้มน้าว  สร้างความน่าเชื่อถือ
ใช้ความเป็นสื่อที่ "มาดดี" กว่าใครในยุคนั้น  แผ่ขยายบารมีตัวเองให้เป็นที่รู้จักมักคุ้นไปทั่วทุกวงการ

นายแบงค์  นักการเมือง  สื่อมวลชน  ต่างให้ความเกรงอกเกรงใจสนธิ
มีความสนิทสนมกับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น "ขาใหญ่กว่า" ในวงการสื่อที่ชื่อปีย์  มาลากุล  ณ อยุธยา





สนธิ  มีความแนบแน่นกับนายชวน  นาบบัญญัติ  แห่ง ปชป. มากกว่าใครในแวดวงการเมือง

ช่วงนั้น  ทักษิณยังล้มลุกคลุกคลาน    
สนธิตั้งบริษัทตะวันออกแมกกาซีน    ออกหนังสือผู้จัการรายสัปดาห์ และรายเดือน  รายวัน
ประสบความสำเร็จอย่างสูง  เป็นสื่อธุรกิจที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น

ปี 2533   สนธิก็นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  (เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นเมเนอเจอร์มีเดีย หรือ เอ็ม กรุ๊ป ในปี 2537)

ช่วงเดียวกันนั้น  ทักษิณก็เริ่มจับธุรกิจสื่อสารได้   ลาออกจากตำรวจในปี 2530
หันมาทำธุรกิจเต็มตัว

ไล่ ๆ กันนั้น    สนธิก็ทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือไปด้วย  
ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำจากการผูกขาดขายโทรศัพท์โนเกีย ระบบเซลลูลาร์ 900  แต่เพียงผู้เดียว

ในทางกลับกัน
สนธิยิ่งทำธุรกิจ  ยิ่งขาดทุน  ยิ่งพอกหนี้    แต่ทักษิณหมดหนี้และมีกำไร  จนกลายเป็นมหาเศรษฐี






ในช่วงรัฐบาลชวน 1  ชวน 2   ปี 2535 -2538   2540-2543
สนธิได้รับการเอื้อเฟื้อจากรัฐบาลชวนเป็นอย่างดี  
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ฉลุยในการกู้แบงค์กรุงไทยโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันกว่าสองพันล้านบาท

จนปี 2542   นายธารินทร์  นิมมานเหมินทร์   รมว.คลัง  เห็นว่าชักไม่ไหว  ปฏิเสธที่จะให้ความเอื้อเฟื้อต่อ
ทำให้นายสนธิไม่พอใจ   หันมาใช้สื่อของตัวเองโจมตีนายธารินทร์อย่างหนักทั้งทางการเมืองและส่วนตัว
ถึงขนาดโจมตีกล่าวหาว่านายธารินทร์กระทำการหมิ่นพระบราเดชานุภาพ (สนธิใช้นามปากกาพายัพ พนาสุวรรณ)

ปี 2542   สนธิก็ล้มละลายเป็นครั้งแรก  โดนแบงค์นครหลวงไทยฟ้องหนี้ 150 ล้าน
สนธิไม่มีให้   ยอมเป็นบุคคลล้มละลาย





ทักษิณ กับ สนธิ   รู้จักกันจากการแนะนำของเฉลิม  อยู่บำรุง  
ตอนนั้นทักษิณเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ    สนธิกำลังประสบปัญหาทางธุรกิจ

ปี 2544  ทักษิณก้าวขึ้นเป็นนายกฯ  
(เรื่องนี้สนธิจะอ้างเสมอว่าเป็นผู้อุ้มทักษิณให้ได้ขึ้นเป็นนายกฯ  ทั้งเชียร์ก่อนการเลือกตั้ง  ส่งเสริมในวงสนทนา
  ปกป้องขณะทักษิณโดนคดีซุกหุ้นในปี 2544   ทำให้สนธิแค้นทักษิณมากเมื่อทักษิณไม่ให้ความช่วยเหลือ)


รัฐบาลทักษิณช่วยสนธิทุกอย่าง
ปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับกรุงไทย   จากสองพันกว่าล้าน  เหลือพันห้าร้อยล้าน  และปรับลงอีกจนเหลือ 259 ล้าน
และไม่ต้องใช้หนี้เป็นเงินสด  แต่ให้ลงโฆษณาในสื่อของสนธิเพื่อหักหนี้

ช่วงนั้น  รัฐบาลทักษิณใช้งบประชาสัมพันธ์ที่เคยให้กับสื่ออย่างเนชั่น  สื่ออย่างว้อทช์ด๊อกของเจิมศักดิ์
มาให้กับเครือผู้จัดการของสนธิหมด

ปี 46   ทักษิณให้สนธิเข้าจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางช่อง 9
จนทำให้คนไทยรู้จักคนชื่อสนธิ  ประทับใจในการนำเสนอเรื่องราวของเขา

ปี 47   สนธิพูดกลางรายการว่า  ทักษิณคือนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมา

เอไอเอสก็ลงโฆษณาในสื่อสนธิด้วยงบประมาณนับร้อยล้าน





ปี 2547   สนธิแบกหนี้กับสถาบันการเงินต่าง ๆ ราวแปดพันล้าน  (มีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ด้วย 53 ล้าน)
และมีคดีความเรื่องปลอมเอกสารกู้กรุงไทย  อันเป็นคดีที่ส่งผลให้สนธิติดคุกในวันนี้
ขอให้ทักษิณช่วย   ด้วยการปรับปรุงหนี้กับสถาบันการเงินต่าง ๆ  และขอฟรีทีวีสักช่องเพื่อหารายได้ล้างหนี้

และช่วยเรื่องคดีปลอมเอกสารกู้กรุงไทย

แต่ทักษิณไม่สามารถช่วยได้อีกแล้ว  เพราะล้วนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย  ทำไม่ได้   จะพารัฐบาลแหลกลาญไปด้วย

เท่านั้นแหละ    สนธิก็หันมาเล่นงานทักษิณเมื่อค่อนปลายปี 48   จนถูกถอดรายการออกจากช่อง 9
สนธิจึงหันไปตั้งเวทีจัดรายการที่สวนลุมฯ    สร้างกระแสปรากฎการณ์สนธิ  ลิ้มทองกุล




จะเห็นว่า   ช่วงปี 2547-2548   นั้น    สนธิไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
หนี้ท่วมหัว   มีคดีความที่รอดยาก เพราะทำผิด พรบ.ตลาดทรัพย์

เรียกได้ว่าในการทำธุรกิจ   สนธิกู้ทุกทาง  กู้แม้กระทั่งบริษัตัวเอง
ด้วยการตั้งบริษัทบนเกาะบริติชเวอร์จิ้นด้วยทุนเพียงพันดอลล์  มากู้บริษัทตัวเองในประเทศไทย 7 ล้านดอลล์

เป็นกรรมการบริษัทผู้ค้ำ  เป็นกรรมการบริษัทผู้กู้   ปลอมเอกสารเอง  ค้ำเอง  กู้เอง  รับตังค์เอง
จนติดคุกเอง






ปี 2549   กลต. ยื่นคำขาดให้สนธิหาเงินเพิ่มทุนให้ได้ 350 ล้านบาท
ไม่งั้น  จะถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์

การก่อม็อบในปี 2549  ทำให้สนธิได้เงินเยอะ  จากยอดขายหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการที่เพิ่มขึ้น
ขายเสื้อกู้ชาต  สู้เพื่อในหลวง  ขายซีดี   ขาย sms   ขายจานดาวเทียม
แต่สนธิหาได้ไม่ถึง 350 (ความจริงคือไม่อยากควัก)  หันหน้าขายหุ้น กู้ยืม ก็ไม่มีใครเอาด้วยแล้ว  หนี้ตอนนั้นก็เกือบหมื่นล้าน


2553   จึงต้องล้มละลายอีกครั้ง
ล้มแบบเจ้าหนี้ได้แต่ตาปริบ ๆ   ไม่ได้อะไรสักบาท   แต่สนธิไม่เสียอะไร  แถมอ้างหน้าตาเฉยว่าทักษิณแกล้ง






สนธินั้น  ด่าประนามทักษิณทุกเรื่อง  โดยเฉพาะเรื่องหนีคำพิพากษา
สนธิด่าใครไปทั่ว

ไม่พอใจธารินทร์  ด่าธารินทร์
ไม่พอใจทักษิณ  ด่าทักษิณ
ไม่พอใจสุรยุทธ์  ด่าสุรยุทธ์ (จำได้ไหมครับ  สนธิเคยพูดที่อเมริกาว่าสุรยุทธ์สัญญาจะให้ช่อง 11/1 แต่พอได้เป็นนายกฯแล้วกลับไม่ให้)
ไม่พอใจอภิสิทธิ์-สุเทพ  ด่า   ตั้งเวทีด่าเอาดื้อ ๆ เป็นเดือน
แต่พอสุเทพมาก่อม็อบ   สนธิก็หันมาเป็นติ่งด้วย ไม่ยอมพลาดขบวน "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง"






เมื่อด่าใครไว้เยอะ   โดยเฉพาะด่าทักษิณเรื่องหนีคำพิพากษา
เมื่อสนธิโดนซะเอง   ไม่มีทางอื่นเลยครับ  ที่จะดิ้นได้   นอกจากยอมรับสภาพ

เพาะหากสนธิหนี   ใคร ๆ ก็จะรุมเหยียบซ้ำ   ไม่เหลือความเป็นคน (ถ้ามีเหลือ)
สู้ทนติดคุกดีกว่า     20 ปีนี่  ติดอย่างมากไม่เกิน 8 ปี  มีโอกาสเชิดหน้าได้อีกครั้ง

สนธิจึงฉลาด  อ้างเรื่องเชื่อในกระบวนการยุติธรรม  อ้างเรื่องยอมรับผิดไม่หนีเหมือนคนอื่น
การติดคุกของสนธิ   จึงเป็นการลงทุนเพื่อกำไร   ไม่ใช่อื่นใดเลย





เรื่องราวทั้งหมด   ที่เล่ามาคร่าว ๆ   หากจับต่อจิ๊กซอว์กับเรื่องอื่น ๆ   เชื่อมโยงกับเหตุการณ์และตัวบุคคล
จะเห็นว่า  สนธินั้น   ดีไปหมด

น่าขำก็แต่คน กฟผ. ที่เย้ว ๆ ตามก้นสนธิด่าทักษิณเรื่องแปรรูป
แต่ไม่สนใจเงิน 53 ล้านที่ไม่ได้คืนสักบาท



เมื่อย    จบครับ    

เอนกายข้าง ๆ ดีกั่ว


อมยิ้ม01
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  การเมือง
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่