เคยฝันไว้ว่าในชีวิตนึงอยากจะออกทริปขี่มอไซค์ไปกับแฟนและเพื่อนๆในต่างประเทศ ที่มีวิวสวยๆ ถนนดีๆ โค้งมันส์ๆ สักครั้งนึง มันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่สุดยอด นั่นคือที่มาของการเดินทางครั้งนี้
หลังจากรวบรวม หาข้อมูล ประมวลผลแล้ว ก็สรุปได้ว่า เทือกเขาแอลป์ในช่วงหน้าร้อนนี่แหละเป็นอะไรที่สุดๆแล้ว และเข้ากับจริตเรามากที่สุด รายละเอียดมีเยอะพอสมควรเพราะเป็นการออกทริปที่ไกลที่สุดครั้งแรก ซึ่งเตรียมการทุกอย่างเองหมด(ไม่มีการใช้ ตัวแสดงแทน) แต่ทุกอย่างหาได้จากอินเตอร์เนต
ทริปนี้ขี่ผ่านเส้นทางของ 4 ประเทศ คือ เยอรมัน ออสเตรีย สวิตฯ และอิตาลี
Munich-Bregenz-Luzern-Lake Como-Venice-Merano-Innsbruck-Munich รวมระยะทางประมาณ 2,000km (แบบไม่มีหลง)
ที่เน้นที่สุดในทริปคงเป็นการขี่ผ่าน pass(ทางโค้ง) ต่างๆ เพราะมันเป็นอะไรที่ Biker ทุกคนหลงใหล ยิ่งมาพร้อมกับวิวพันล้าน และอากาศดีๆ นี่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไรเลยว่ามันสุดยอดแค่ไหน “คุณต้องมาดูมันด้วยตาคุณเอง”
เส้นทางการขับขี่คร่าวๆ


เวลาไปกับทัวร์เค้าจะมีโปสเตอร์ทริปให้ เลยทำบ้าง(ขออนุญาตเพื่อนๆ ไม่เซ็นเซอร์หน้าละกันนะคับ)


วันที่หนึ่ง
ก่อนเดินทาง เพื่อนๆที่กทม. มาเลี้ยงข้าวและพาไปส่งที่สนามบิน


แว๊บๆๆ ถึงมิวนิคแล้ว อากาศดี เย็นสบายมาก ประมาณ 20 องศา หาอะไรรองท้องกันก่อนรับรถเช่า


พาหนะของเราในอีก 7 วัน ด้านหลังนี่ของกระจายเป็นจีนอพยพเลย


หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเอกสารเช่ารถ และแปลงร่างเป็น Biker ก็พร้อมออกเดินทางกันแล้ว


หลังจากได้ทดสอบการขับขี่บน autobahn ที่เรียบกริ๊ป ก็ถึงจุดหมายแรก Lindau, Austria ระหว่างทางที่เดินไปยังท่าเรือได้เจอคุณป้าคนไทยด้วย แกบอกว่ามาทำงานที่นี่ อยู่มาสิบกว่าปีแล้ว


ถึงแล้วท่าเรือแล้ว ไฮไลท์ก็คือ Mangturm  Tower (หอคอยสีเหลือง) และจุดถ่ายรูปที่ประภาคาร, รูปปั้นสิงโต


@Mangturm Tower  


แค่เดินชมเมืองก็เพลินมากๆแระ และเริ่มที่จะมีฝนตกลงมา เลยขี่ไปที่โรงแรมเลยดีกว่า แพลนที่ว่าจะไปดูโรงละครกลางน้ำ Bregenzer Festspiele, โบสถ์ Herz-Jesu-Kirche, ยอดเขา Pfänderbahn ก็เลยเปลี่ยนเป็นพักผ่อนเพื่อปรับเวลาดีกว่า พร้อมลุยต่อในวันพรุ่งนี้


จะเรียกว่าคืนหรือวันก่อนนอนดีเนี่ย ณ เวลา 20:30 แดดยังเปรี้ยงซะขนาดนี้


วันที่สอง
เช้านี้ฝนตกปรอยๆ ลงมาเจอกันที่ห้องอาหาร 06:30 น. มาคุยกันพบว่าตื่นกันตั้งแต่ประมาณ 03:30 เกือบทุกคน แต่ก็ปรับเวลากันได้แล้ว อาหารเช้าอร่อยมากกก ขนมปัง, croissant นุ่ม ผลไม้สดหอม กาแฟเข้มข้น ที่สำคัญ คือ บรรยากาศเฮฮา ได้โม้ ได้แซวกัน มีความสุข


สำหรับมอเตอร์ไซค์ต่อให้คุณแพลนทริปมาดีแค่ไหน สิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ก็คือสภาพอากาศ ซึ่งมันจะทำลายบรรยากาศในการขับขี่ของคุณไปได้พอสมควรเลย ไหนจะยิ่งต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้นในเรื่องความปลอดภัยอีก หน้าร้อนของยุโรปอากาศค่อนข้างจะแปรปรวนมาก ข้อนี้ต้องทำใจไว้เลย พวกเราเลยเตรียมพร้อมมาแล้ว


ออกสื่อ เลยต้องสร้างภาพว่าเป็นสามีที่ดี รักครอบครัว คอยดูแลภรรยา


แวะปั๊มน้ำมันใกล้ชายแดน Austria และ Swiss เพื่อซื้อสติ๊กเกอร์ทางด่วนของ Swiss


โชคดีที่ฝนตกไม่หนัก แค่ปรอยๆเพื่อได้เลอะ มุ่งหน้าสู่ Luzern ต่ออีกร้อยกว่ากิโล สบายๆ


แวะพักรถพักคนกินกาแฟอุ่นๆ ถ่ายรูปที่ Walensee หลังจากนี้ก็มีแดดออก สลับกับฝนปรอยๆ จนถึง Luzern



ถึง Luzern ตอนเที่ยง แวะกินพิซซ่า, เคบับเสร็จ ก็หาที่จอดมอไซค์ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ จากนั้นก็ไปเช็คอินสถานที่ตามนี้


ที่แรกเลย@Chapel Bridge


ลำดับที่สองก็ ทะเลสาบ Luzern ถ้าฟ้าเปิดจะมองเห็นยอดเขา Pilatus อยู่ด้านหลัง


ลำดับที่สามก็ โบสถ์ Hofkirche St. Leodegar


ลำดับที่สี่ก็ Lion Monument


ลำดับที่ห้าก็ ร้าน Old Swiss House แต่วันนี้ร้านปิดอ่า เลยอดแวะเลย


เดินกลับมาที่มอไซค์ก็เป็นเวลา 17:00 แล้ว อยากจะแวะไป Swiss Museum Transport และขึ้นกระเช้าไปยอดเขา Pilatus ต่อก็ไม่ทันแน่ๆ เพราะเราจองที่พักไว้ที่ Obermatt (ห่างจาก Luzern 30km) ไหนจะแวะถ่ายรูปข้างทางอีก ไปที่พักเลยดีกว่า


ที่พักคืนนี้เป็นบ้านไม้อายุ 300 ปี ซึ่งพวกเราเหมาเช่าทั้งหลังของคุณ Thomas เจ้าของบ้านใจดีและเฮฮามาก เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าเลย ที่สำคัญเค้าหมักเบียร์เองที่บ้าน มีเตาต้มเบียร์ ถังเก็บ โรงเก็บ เลยมี welcome drink เป็นเบียร์


ก่อนอาหารมื้อเย็นไปเดินเล่นถ่ายรูป บรรยากาศฟินมากกก


Thomas บอกว่าเดินเข้าไปในป่าใกล้ๆ มีสะพานหินสวยๆ ไปถ่ายรูปเล่นกันก่อนได้ แต่ให้ระวังหมาป่าด้วย เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนมีคนหายไปคนนึง ตอนนี้ยังหาไม่เจอเลย(มีอำกันด้วยนะ 555)


เดิน 5 นาที ก็ถึงสะพานหินที่ว่า น้ำเย็นเหลือเกิน มีคนนึงพยายามบิ้วท์ว่าถอดเสื้อเล่นน้ำกันเหอะ แต่ที่เหลือไม่มีใครเอาด้วย


คนนี่แหละที่บิ้วท์


สวย ประทับใจมากกก (แต่รูปสวยได้สุดแค่นี้ เพราะใช้กล้อง Iphone 5S ถ่ายตลอดทริป)


มื้อเย็นคุณ Thomas จัดให้ เป็นอาหารพื้นเมืองของคน Swiss มีชื่อว่า Raclette วิธีปรุงก็คือ เอาผักต่างๆ เนื้อสัตว์ แฮม ไส้กรอก ผัดที่ด้านบนเตา พร้อมกับเอาชีสราเคล็ตต์ไปวางที่ใต้เตา


พอผัดผักและเนื้อสัตว์สุกก็ตักใส่จาน แล้วก็เอาชีสราเคล็ตต์ที่กำลังละลายเยิ้มๆ ราดด้านบน กินคู่กับขนมปัง อร่อยมากกก


คืนนั้นก็นั่งคุยกัน เฮฮา เป็นบรรยากาศที่ประทับใจมากๆๆ สัก 22:30 ก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะพรุ่งนี้ของจริง เราจะเริ่มขี่ขึ้น pass กันแล้ว


วันที่สาม
เช้านี้ตื่นกัน 05:00 อากาศดีมาก ฟ้าใสปิ๊ง เลยขี่ไปเที่ยวที่สถานีรถกระเช้าขึ้นยอดเขา Tilis กันก่อน


07:00 ที่หน้าสถานีรถกระเช้า Tilis เฆม หมอก ยังเยอะอยู่เลย แต่ก็ได้เห็นยอดเขาปํนพักๆ


กลับมาที่บ้าน Thomas ก็จัดแจงทำธุระต่างๆ กินอาหารเช้าเพื่อเตรียมไปต่อ


Sticker ทริป ตอนแรกตั้งใจว่าจะติดใบแรกที่ป้าย pass ที่ขี่มอไซค์ผ่าน แต่ด้วยความประทับใจสุดๆๆ ที่บ้าน Thomas เลยต้องได้ใบแรกไป (ป้าย Klondike Gold คือยี่ห้อเบียร์ของ Thomas)


ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับบ้านไม้อายุ 300 ปี ที่น่ารัก อบอุ่น และเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้น


แล้วพวกเราก็ขี่มอไซค์ไปยัง Grimselpass วิวระหว่างทางสวยมาก ไม่เคยเจอวิวแบบนี้ อยากแวะแทบทุกกิโลเมตร


แต่ก่อนจะถึง Grimselpass ต้องแวะที่นี่ก่อนเลย ไม่งั้นถือว่าพลาด นั่นคือ  Gelmerbahn Talstation (รถรางที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์)


ระหว่างรอรถราง(ที่กำลังกลับลงมา) ก็ถ่ายรูปกับสะพานแขวนข้างๆไปพลางๆ



หลังจากขึ้นรถราง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที(เป็นช่วงเวลาชมวิวที่สวยมากๆ) ก็จะถึงสถานีด้านบนที่มีทะเลสาบ Gelmersee


จะถอดเสื้อกันทำมัย


ระหว่างทางขี่ขึ้น Grimselpass วิวสวยมาก ใน Intercom ได้ยินแต่เสียงกัน “โอ้” “ว้าววว” “สุดยอด” “แจ่มๆ” “โอ้ย…ซี๊ดๆๆ”  เฮ้ยอันสุดท้ายนี่มันไม่ใช่แระ


ถึงแล้ว pass แรกของทริปกับ Grimselpass ก็ถ่ายรูป กับแปะ Sticker กันไป





กว่าจะได้กินอาหารเที่ยงกันก็ปาไป 15:00 แล้ว รีบกิน รีบไป ยังมีที่ต้องแวะอีกเพียบบบ (ภูเขาด้านหน้า คือ ที่ๆเราจะต้องไปต่อ Furkapass)


ถึงแล้ว Furkapass ถนนที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง James Bond ภาค Goldfinger ด้วย


แปะ Sticker สร้างแลนมาร์ค


แล้วก็ขี่มายังสะพานปีศาจ (Devil's Bridge) เป็นสะพานใกล้ๆน้ำตก ซึ่งจะมีลมพัดแรงมากๆ



อ่านต่อในเม้นต์ด้านล่างเลยคับ