ไม้รู้เขาจะโกรธเรารึเปล่า???



📩📩ความในใจถึงชายต่างแดน📮📮

Hi..นิรันดร์

นี่ก็ 4 สัปดาห์แล้วสินะ ที่เราได้พบ ได้พูด ได้คุย ได้แลกเปลี่ยนทัศนะเล็กๆ น้อยๆ กัน
ตามเวลาและข้อจำกัดทางภาษาที่เล็กน้อยของฉัน รอยยิ้มที่เปิดกว้างและแววตาที่จริงจังของนิรันดร์  ยังเป็นหัวข้อสนทนาของฉันและสามีจนถึงทุกวันนี้ คำว่า "น้ำใจ" หาได้จากนิรันดร์จริงๆ

เรารู้จักนิรันดร์ที่ ISKCON TEMPLE ที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวฮินดู นิรันดร์มาที่นี่เป็นประจำ  เขาเป็นคนเดลีย์แต่เดินทางไกลมาที่บังกาลอร์เพื่อไหว้พระ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราต่างก็ไปไหว้พระ ซึ่งทำให้พวกเราได้รู้จักกัน  มีเพื่อนเป็นชายต่างแดน

ด้วยความที่เราเป็นชาวต่างชาติ ไม่ค่อยรู้ธรรมเนียม ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะถูก จะเดินไปไหน ฝากรองเท้า ฝากกล้องที่ใคร  ทำยังไงต่อ นิรันดร์คงมองความเงอะงะของเราอยู่นาน  เลยเสนอตัวมาแนะนำวิธีการต่างๆ  ด้วยความยิ้มแย้ม  

จริงๆ แล้วเราก็คนพุทธ ไม่ได้ซาบซึ้งเท่าไรกับความเป็นฮินดู แต่ออกไปจรดปลายฟ้าแล้วเราต้องรู้ว่าเขาทำอะไรกันมั่ง  นิรันดร์พาเราสองคนไปไหว้ตามจุดต่างๆ ดูแลเราดียิ่งกว่าไกด์นำเที่ยว  นานนับชั่วโมงอยู่อย่างนั้นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแขก เร็วและรัว เราต้องเงี่ยหูฟัง จ้องปาก "again please" หลายอครั้งทีเดียว ที่สับสนยิ่งกว่านั้นคือ
นิรันดร์บอก OK แต่นิรันดร์กลับส่ายหัวและยิ้มด้วย

"อัลไรของมันฟะ!!??"  ฉันและสามีหันมาอมยิ้มให้กัน  

"กุงง แขกก็งิ ตกลงของมันคือต้องส่ายหัวด้วย ดูสิเป็นทุกคนเลย"
สามีกล่าว

"555 ได้เห็นของจริงละ" ฉันบอก

สุดทางออก จะเจอโรงทาน เขามีอาหารใส่ถ้วย แจกฟรีให้คนที่มาไหว้พระได้กิน  นิรันดร์ก็ไปเข้าแถวรับแจก และกินให้พวกเราดูพร้อมบอกให้ลองสิ อร่อยนะ

เราได้แต่ "No thanks."
นิรันดร์ก็ส่ายหัวอีก คงจะบอกเราว่า ไม่เป็นไร  ไม่ต้องกินก็ได้

นิรันดร์ถามว่าเราจะไปไหนต่อ ไปดูหนังไหม ที่นี่มีโรงหนัง หรือจะไปห้าง ห้างไม่ไกลจากที่นี่ ฉันจะพาไป "No thanks." เราพูดอีก
พวกเราจะกลับโรงแรม (ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นช่วงสายๆ พวกเราพึ่งเดินมาจากโรงแรม)

"งั้นขอเบอร์โทรหน่อย" นิรันดร์พูด
ฉันให้เบอร์ผิดไปตัวนึง ตามเสียงกระซิบของสามี นิรันดร์ขอบอกขอบใจ ถามชื่อเราสองคน  ฉันบอกชื่อจริงของเราทั้งคู่

"ปิยะดา" เสียงนิรันดร์เรียกชื่อฉันแจ่มแจ๋ว
"ไอ กิฟ มาย ทะละโฟน นัมเบอร์"
"OK" ฉันกดแป้นโทรศัพท์ เงอะงะ เพราะฟังอังกฤษสำเนียงแขกไม่ถนัด  สามียืนโอบไหล่ฉันไม่ห่าง

นิรันดร์คว้าโทรศัพท์ในมือฉันไปกดฉับๆๆ
พร้อมกดโทรออก ฉันรู้สึกเสียหน้าเพราะ ฉันโกหกตัวเลขเขาไว้หนึ่งตัว รีบดึงโทรศัพท์กลับด่วน

"พวกเราจะไปแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง" สามีฉันหยิบแบงค์ในกระเป๋ากางเกงและยื่นให้กับนิรันดร์  เขามองหน้าเราสองคนด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยิ้มกว้างๆนานนับชั่วโมงของนิรันดร์แห้งลง .  นิรันดร์ล้วงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาเงินปึกใหญ่ๆ
ปึกใหญ่กว่าเงินเราสองคนซะอีก

"ไอ แฮ้บ มาย โอล มันนี่"  นิรันดร์บอก
"ไอ เวิร์ค อเบ๊า พร๊อปเปอร์ตี้คอมปานี"
ถ้าฟังไม่ผิดนิรันดร์น่าจะเป็นเจ้าของบริษัท

หัวใจฉันหล่นวูบบบบ ฟาดเบาๆ ไปที่แขนของสามี "ไปให้ตังค์เขาทำไม" ฉันว่า

"ไม่รู้สิ มันบริการดีละเกิน" สามีตอบ

เราสองคนได้แต่ "วี ซอรี่. วี ซอรี่" เป็นสิบๆครั้ง  รู้สึกผิด รู้สึกดูแคลนน้ำใจนิรันดร์เหลือเกิน

ทำไงได้ล่ะ นิรันดร์ ประเทศฉันไม่ค่อยมีน้ำใจกันเท่าไรแล้ว คนประเทศฉันอะไรๆ ก็เป็นเงินเป็นทองไปซะหมด ไอ้จะมาให้บริการกันฟรีๆ เป็นไปได้ยาก ขนาดมัคคุเทศก์น้อยตามสถานที่ท่องเที่ยวยังต้องมีค่าจ้างเลย  พูดตรงๆ นะนิรันดร์แม้แต่ที่เยี่ยวบ้านฉันยังต้องซื้อเลย
ฉันอยากจะพูดกับนิรันดร์แบบนี้ ได้แต่เก็บไว้ในใจเพราะฉันพูดภาษอังกฤษไม่เก่ง  สามีก็ยืนหน้าเหี่ยวรู้สึกไม่ต่างอะไรกับฉัน

วันนั้น. เราแกล้งเดินกลับไปทางโรงแรม และแอบมองนิรันดร์วิ่งข้ามถนนท่ามกลางเสียงแตรที่ดังปู้นป้านนน. ตลอดเวลา นิรันดร์ขึ้นรถตุ๊กๆ ไปไหนก็ไม่รู้ เสียใจอีกครั้งนะนิรันดร์  มีโอกาศเราคงได้พบกันใหม่ ฉันคิดในใจดังๆ

หลังกลับจากอินเดีย
เราถึงได้รู้ว่า คนอินเดียให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก เพื่อนมาบ้านต้องดูแลให้เต็มที่
เขาบอกว่า. "Friends is God"

5 กันยายน 2559 ฉันอยู่ญี่ปุ่นกับสามี
"เฮีย คิดถึงนิรันดร์เนอะ วันนี้ยังไม่มีคนญี่ปุ่นยิ้มให้เราเลย ป่านนี้นิรันดร์เค้าทำไรอยู่ เค้าจะจำเราได้เปล่าเนอะ"

บันทึกของแม่มิ่ง 5/9/59
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่