5 หนัง Visual Effects (CG) ยอดเยี่ยมที่ต้องดู !! (แบบวิดีโอครับ)
สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาด้วยนะครับ สำหรับกระทู้นี้ผมก็จะมาแนะนำหนัง 5 เรื่องที่มีงาน Visual Effects ยอดเยี่ยมที่สุดและได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้ว โดยหนังทั้ง 5 ที่ผมจะนำมาเสนอนี้เป็นหนังปี 2011 ถึงปี 2015 นะครับ ซึ่งเดี๋ยวเรามาทำความรู้จักกับ Visual Effects แบบคร่าวๆกันก่อนละกัน..
Visual Effects ไม่ได้หมายถึงแค่ CGI หรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า CG.. อันนี้เป็นแค่ส่วนนึงของ Visual Effects ที่ได้รับความนิยมมากในยุคนี้เท่านั้นเองครับ ซึ่งความหมายจริงๆของมันก็คือการสร้างเทคนิคพิเศษทางภาพเพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ จะใช้คอมพิวเตอร์หรือไม่ใช้เลยก็ได้เหมือนกัน ซึ่งบางเรื่องที่ผมนำมาเสนอนี้ก็ไม่ได้ใช้ CGI จ๋า แต่ติดอยู่ในลิสต์นี้ด้วยนะ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นค่อยไปรอลุ้นกันครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่ากับเรื่องที่ 5.... Hugo (2011)
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Martin Scorsese ผู้กำกับสุดเก๋ามีอายุพอสมควรแล้วและมีผลงานคุณภาพมากมาย เช่น Taxi Driver (1976) หรือ Shutter Island (2010) และล่าสุดอย่าง The Wolf of Wall Street (2013) ครับ ซึ่ง Hugo นั้นก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มนามว่า Hugo Cabret ที่พ่อของเขาหายตัวไปและทิ้งไว้ให้เพียงแค่หุ่นยนต์ตัวนึง โดยหุ่นยนต์ตัวนี้มีความลับบางอย่างอันน่าอัศจรรย์ซ่อนอยู่... ซึ่งหนังก็จะพาผู้ชมและตัวละครร่วมออกผจญภัยไปค้นหาคำตอบนี้ด้วยกันนั่นเอง...
สิ่งที่ทำให้หนังอย่าง Hugo ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากเลยก็คืองานด้านภาพและการกำกับศิลป์นี่แหละครับ โดยเฉพาะถ้าหากเราได้ดูในโรงภาพยนตร์แบบ 3 มิติก็จะได้อรรถรสมาก นอกจากนี้หนังเองคว้ารางวัลไป 5 ออสการ์เลยทีเดียว และแม้ว่า Hugo อาจดูเหมือนเป็นหนังเด็ก แต่ก็มีเสียงชื่นชมว่านี่คือหนังเด็กที่ทำได้ดีเกินหนังเด็กมากเรื่องนึงเลยละครับ
เรื่องที่ 4... Life of Pi (2012)
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Ang Lee ผู้กำกับระดับท็อปของเอเชียเพียงคนเดียวที่อยู่ในลิสต์นี้ ซึ่งมีผลงานอย่าง Brokeback Mountain (2005) และ Crouching Tiger, Hidden Dragon (2000) ครับ
สำหรับ Life of Pi ก็จะเป็นหนังที่พูดถึงชีวิตของ Pi ตามชื่อเรื่องน่ะแหละ โดยหนังจะพาเราไปพบกับการผจญภัยเอาชีวิตรอดสุดอัศจรรย์ของ Pi ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่และสวยสดงดงามพร้อมกับสัตว์ร้ายที่อยู่คู่กับเค้าตลอดทางอย่าง “เสือโคร่ง” ซึ่งไม่ได้งดงามอย่างเดียวแต่ยังมีความน่ากลัวซ่อนอยู่ด้วย และอะไรเหล่านี้แหละครับคือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นมากเรื่อง Visual Effects.. เพราะแทบทั้งหมดที่เราเห็นนั้นคือการใช้เทคนิคพิเศษทางภาพล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเสือที่อยู่กับ Pi เองหรือสภาพแวดล้อมต่างๆที่เราได้เห็นอย่างงดงามและน่าพิศวง...
นอกจากนี้ Life of Pi ไม่ได้เป็นแค่หนังภาพสวยสุดอัศจรรย์เท่านั้นนะครับ หนังเรื่องนี้จะพาเราไปสำรวจ “ความเชื่อ” ผ่านมุมมองของเราเองอย่างคมคายและเปิดกว้างแบบสุดๆ เรียกได้ว่างานนี้นอกจากได้เสพความงดงามทางภาพแล้ว.. ยังได้สำรวจตัวตนของเราไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว..
เรื่องที่ 3... Gravity (2013)
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Alfonso Cuarón ผู้กำกับบ้าพลังที่สุดในลิสต์นี้ซึ่งมีผลงานอย่าง Y Tu Mamá También (2001) และ Children of Men (2006) นั่นเอง..
ส่วน Gravity นั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดของ Ryan Stone – วิศวกรการแพทย์ที่ถูกส่งขึ้นไปดูอาการของดาวเทียมเพื่อหาทางแก้ไข.. แต่แล้วก็ดันโชคร้ายเมื่อตำแหน่งที่เธออยู่นั้นตรงกับวงโคจรของเศษซากดาวเทียมดวงอื่นที่ถูกทำลาย.. เธอจึงต้องเผชิญกับหายนะครั้งนี้และเอาชีวิตรอดเพื่อกลับไปโลกให้ได้...
ความบ้าพลังอย่างนึงของหนังเรื่องนี้เลยนะครับก็คือการใช้ Long Take เปิดเรื่องนานถึง 17 นาที.. 17 นาทีพร้อมกับความบ้าพลังอีกอันอย่างการถ่ายภาพ โดยภาพในเรื่องนี้จะไร้แรงโน้มถ่วงเหมือนล่องลอยในอวกาศจริงๆนะครับ นั่นทำให้ Gravity เป็นหนังที่มีการเคลื่อนที่ของภาพอย่างน่าทึ่งแบบไม่เหมือนหนังบนอวกาศเรื่องอื่น และด้วยความที่หนังอยู่บนอวกาศทั้งเรื่องแบบนี้ แทบทุกอย่างที่เราเห็นจึงไม่ใช่ของจริง ซึ่งหมายความว่างาน Visual ของหนังต้องเยี่ยมมากนั่นเอง..
นอกจากนี้ Gravity ไม่ใช่แค่หนังเอาชีวิตรอดนะครับ แท้จริงแล้วเป็นหนังที่ว่าด้วยการ “เกิดใหม่..” อันนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้เพราะงานด้านเทคนิคของหนังโดดเด่นจนเกินไป แต่ถ้าเราดูสิ่งต่างๆที่หนัง “จงใจ” ใส่เข้ามาแล้วทบทวนไปพร้อมกับเรื่องราวอีกครั้ง.. จะเห็นว่าหนังเต็มไปด้วยรายละเอียดที่สื่อถึงการ “กำเนิด” ตลอดทั้งเรื่องเลย ดังนั้นนอกจากงาน Visual อันโดดเด่นแล้ว เราสามารถดูหนังเรื่องนี้แบบไม่คิดมากก็ได้.. หรือจะดูเอาความลึกซึ้งก็ยังได้อีกเหมือนกันครับ...
เรื่องที่ 2... Interstellar (2014)
แหม่... เรื่องนี้หลายคนคงรู้จักผู้กำกับกันเป็นอย่างดี.. เขาคนนั้นคือ Christopher Nolan -- ซึ่ง Interstellar นี่แหละครับคือเรื่องที่ผมบอกว่าไม่ได้ใช้ CGI จ๋า เพราะภาพอวกาศต่างๆหรือตัวยานนั้นส่วนใหญ่ก็ทำกันขึ้นมาแบบไม่ใช้ Green Screen เลย นั่นทำให้เรื่องนี้มีความเก๋าพอสมควร..เพราะในขณะที่คนอื่นต่างพึ่งพา CGI กัน แต่พวกเค้ากลับพยายามใช้มันให้น้อยที่สุดแทน...
สำหรับเรื่องราวของ Interstellar ก็จะเกี่ยวกับโลกที่เริ่มล่มสลาย.. การเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร และดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่สามารถอยู่บนโลกได้อีกต่อไปในอนาคต.. เหล่าตัวละครหลักจึงต้องถูกส่งไปสู่ห้วงอวกาศเพื่อสำรวจดวงดาวที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่านี่คือภารกิจเพื่อมนุษยชาตินั่นเอง...
โดยหนังเรื่องนี้ยังมีการพูดถึงจินตนาการทางวิทยาศาสตร์และดราม่าเกี่ยวกับครอบครัวด้วยนะครับ นอกจากเรื่อง Visual แล้วตรงส่วนนี้ก็ถูกพูดถึงและชื่นชมกันเป็นอย่างมาก และถึงแม้ Interstellar จะมีแง่มุมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่อาจฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่เรื่องนี้จัดว่าเป็นหนังที่แทบจะดูง่ายที่สุดของ Nolan เลยนะครับ
เรื่องที่ 1... Ex Machina (2015)
หนังเรื่องนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่นะครับเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆที่ผมพูดมา โดยนี่ก็เป็นผลงานการกำกับครั้งแรกของ Alex Garland ด้วย.. คือปกติแกเป็นคนเขียนบทน่ะ ซึ่งงาน Visual ของเรื่องนี้แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตหวือหวาเหมือนเรื่องอื่น แต่เนียนมากครับ เนียนแบบกลืนไปกับของจริงจนแยกแทบไม่ออกเลยละ โดยเฉพาะตัวละครหลักที่เล่นเป็น AI ในเรื่องนี้..
ส่วนเรื่องราวของหนังจะเกี่ยวกับการทดสอบ AI ครับว่ามีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากแค่ไหน ทั้งในด้านพลังการวิเคราะห์หรืออารมณ์ จากนั้นก็จะนำมาวิเคราะห์และคิดหาวิธีที่จะพัฒนา AI เหล่านั้นให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากยิ่งขึ้น.. ซึ่งหนังก็จะเล่นประเด็นจิตวิทยาเกี่ยวกับคนดูด้วยนะ..
นอกจากนี้ Ex Machina จะมีประเด็นให้ขบคิดตลอดทั้งเรื่องราวกับว่าเราเป็นคนที่ทดสอบ ซึ่งประเด็นของหนังสามารถทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ “นิยามของมนุษย์” ได้เลยทีเดียว...
ก็ครบกันไปแล้วนะครับสำหรับหนัง 5 เรื่องที่มีงาน Visual Effects ยอดเยี่ยมที่สุด.. ถ้าหากว่าไม่มีหนังในดวงใจของท่านก็ต้องขออภัยด้วย.. คือคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะใส่ทุกเรื่องที่ถูกใจทุกคน และลำดับเรื่องที่พูดถึงก็ไม่สำคัญนะ เพราะผมไม่ได้จัดอันดับ ดังนั้นถ้าคุณมีหนังเรื่องไหนที่คิดว่าเยี่ยมไม่แพ้หนังเหล่านี้ละก็.. แชร์กันได้ที่ด้านล่างเลยครับ แต่รบกวนนิดนึงให้พูดถึงหนังแบบไม่สปอยล์ด้วยนะว่าเป็นยังไงหรือมีดีอะไรบ้าง เผื่อผมหรือคนอื่นเกิดสนใจจะได้หามารับชมครับ... ^^
5 หนังกับงาน Visual Effects (CG) ยอดเยี่ยมที่ต้องดู !
5 หนังกับงาน Visual Effects (CG) ยอดเยี่ยมที่ต้องดู !!
สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาด้วยนะครับ สำหรับกระทู้นี้ผมก็จะมาแนะนำหนัง 5 เรื่องที่มีงาน Visual Effects ยอดเยี่ยมที่สุดและได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้ว โดยหนังทั้ง 5 ที่ผมจะนำมาเสนอนี้เป็นหนังปี 2011 ถึงปี 2015 นะครับ ซึ่งเดี๋ยวเรามาทำความรู้จักกับ Visual Effects แบบคร่าวๆกันก่อนละกัน..
Visual Effects ไม่ได้หมายถึงแค่ CGI หรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า CG.. อันนี้เป็นแค่ส่วนนึงของ Visual Effects ที่ได้รับความนิยมมากในยุคนี้เท่านั้นเองครับ ซึ่งความหมายจริงๆของมันก็คือการสร้างเทคนิคพิเศษทางภาพเพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ จะใช้คอมพิวเตอร์หรือไม่ใช้เลยก็ได้เหมือนกัน ซึ่งบางเรื่องที่ผมนำมาเสนอนี้ก็ไม่ได้ใช้ CGI จ๋า แต่ติดอยู่ในลิสต์นี้ด้วยนะ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นค่อยไปรอลุ้นกันครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่ากับเรื่องที่ 5.... Hugo (2011)
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Martin Scorsese ผู้กำกับสุดเก๋ามีอายุพอสมควรแล้วและมีผลงานคุณภาพมากมาย เช่น Taxi Driver (1976) หรือ Shutter Island (2010) และล่าสุดอย่าง The Wolf of Wall Street (2013) ครับ ซึ่ง Hugo นั้นก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มนามว่า Hugo Cabret ที่พ่อของเขาหายตัวไปและทิ้งไว้ให้เพียงแค่หุ่นยนต์ตัวนึง โดยหุ่นยนต์ตัวนี้มีความลับบางอย่างอันน่าอัศจรรย์ซ่อนอยู่... ซึ่งหนังก็จะพาผู้ชมและตัวละครร่วมออกผจญภัยไปค้นหาคำตอบนี้ด้วยกันนั่นเอง...
สิ่งที่ทำให้หนังอย่าง Hugo ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากเลยก็คืองานด้านภาพและการกำกับศิลป์นี่แหละครับ โดยเฉพาะถ้าหากเราได้ดูในโรงภาพยนตร์แบบ 3 มิติก็จะได้อรรถรสมาก นอกจากนี้หนังเองคว้ารางวัลไป 5 ออสการ์เลยทีเดียว และแม้ว่า Hugo อาจดูเหมือนเป็นหนังเด็ก แต่ก็มีเสียงชื่นชมว่านี่คือหนังเด็กที่ทำได้ดีเกินหนังเด็กมากเรื่องนึงเลยละครับ
เรื่องที่ 4... Life of Pi (2012)
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Ang Lee ผู้กำกับระดับท็อปของเอเชียเพียงคนเดียวที่อยู่ในลิสต์นี้ ซึ่งมีผลงานอย่าง Brokeback Mountain (2005) และ Crouching Tiger, Hidden Dragon (2000) ครับ
สำหรับ Life of Pi ก็จะเป็นหนังที่พูดถึงชีวิตของ Pi ตามชื่อเรื่องน่ะแหละ โดยหนังจะพาเราไปพบกับการผจญภัยเอาชีวิตรอดสุดอัศจรรย์ของ Pi ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่และสวยสดงดงามพร้อมกับสัตว์ร้ายที่อยู่คู่กับเค้าตลอดทางอย่าง “เสือโคร่ง” ซึ่งไม่ได้งดงามอย่างเดียวแต่ยังมีความน่ากลัวซ่อนอยู่ด้วย และอะไรเหล่านี้แหละครับคือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นมากเรื่อง Visual Effects.. เพราะแทบทั้งหมดที่เราเห็นนั้นคือการใช้เทคนิคพิเศษทางภาพล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเสือที่อยู่กับ Pi เองหรือสภาพแวดล้อมต่างๆที่เราได้เห็นอย่างงดงามและน่าพิศวง...
นอกจากนี้ Life of Pi ไม่ได้เป็นแค่หนังภาพสวยสุดอัศจรรย์เท่านั้นนะครับ หนังเรื่องนี้จะพาเราไปสำรวจ “ความเชื่อ” ผ่านมุมมองของเราเองอย่างคมคายและเปิดกว้างแบบสุดๆ เรียกได้ว่างานนี้นอกจากได้เสพความงดงามทางภาพแล้ว.. ยังได้สำรวจตัวตนของเราไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว..
เรื่องที่ 3... Gravity (2013)
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Alfonso Cuarón ผู้กำกับบ้าพลังที่สุดในลิสต์นี้ซึ่งมีผลงานอย่าง Y Tu Mamá También (2001) และ Children of Men (2006) นั่นเอง..
ส่วน Gravity นั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดของ Ryan Stone – วิศวกรการแพทย์ที่ถูกส่งขึ้นไปดูอาการของดาวเทียมเพื่อหาทางแก้ไข.. แต่แล้วก็ดันโชคร้ายเมื่อตำแหน่งที่เธออยู่นั้นตรงกับวงโคจรของเศษซากดาวเทียมดวงอื่นที่ถูกทำลาย.. เธอจึงต้องเผชิญกับหายนะครั้งนี้และเอาชีวิตรอดเพื่อกลับไปโลกให้ได้...
ความบ้าพลังอย่างนึงของหนังเรื่องนี้เลยนะครับก็คือการใช้ Long Take เปิดเรื่องนานถึง 17 นาที.. 17 นาทีพร้อมกับความบ้าพลังอีกอันอย่างการถ่ายภาพ โดยภาพในเรื่องนี้จะไร้แรงโน้มถ่วงเหมือนล่องลอยในอวกาศจริงๆนะครับ นั่นทำให้ Gravity เป็นหนังที่มีการเคลื่อนที่ของภาพอย่างน่าทึ่งแบบไม่เหมือนหนังบนอวกาศเรื่องอื่น และด้วยความที่หนังอยู่บนอวกาศทั้งเรื่องแบบนี้ แทบทุกอย่างที่เราเห็นจึงไม่ใช่ของจริง ซึ่งหมายความว่างาน Visual ของหนังต้องเยี่ยมมากนั่นเอง..
นอกจากนี้ Gravity ไม่ใช่แค่หนังเอาชีวิตรอดนะครับ แท้จริงแล้วเป็นหนังที่ว่าด้วยการ “เกิดใหม่..” อันนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้เพราะงานด้านเทคนิคของหนังโดดเด่นจนเกินไป แต่ถ้าเราดูสิ่งต่างๆที่หนัง “จงใจ” ใส่เข้ามาแล้วทบทวนไปพร้อมกับเรื่องราวอีกครั้ง.. จะเห็นว่าหนังเต็มไปด้วยรายละเอียดที่สื่อถึงการ “กำเนิด” ตลอดทั้งเรื่องเลย ดังนั้นนอกจากงาน Visual อันโดดเด่นแล้ว เราสามารถดูหนังเรื่องนี้แบบไม่คิดมากก็ได้.. หรือจะดูเอาความลึกซึ้งก็ยังได้อีกเหมือนกันครับ...
เรื่องที่ 2... Interstellar (2014)
แหม่... เรื่องนี้หลายคนคงรู้จักผู้กำกับกันเป็นอย่างดี.. เขาคนนั้นคือ Christopher Nolan -- ซึ่ง Interstellar นี่แหละครับคือเรื่องที่ผมบอกว่าไม่ได้ใช้ CGI จ๋า เพราะภาพอวกาศต่างๆหรือตัวยานนั้นส่วนใหญ่ก็ทำกันขึ้นมาแบบไม่ใช้ Green Screen เลย นั่นทำให้เรื่องนี้มีความเก๋าพอสมควร..เพราะในขณะที่คนอื่นต่างพึ่งพา CGI กัน แต่พวกเค้ากลับพยายามใช้มันให้น้อยที่สุดแทน...
สำหรับเรื่องราวของ Interstellar ก็จะเกี่ยวกับโลกที่เริ่มล่มสลาย.. การเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร และดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่สามารถอยู่บนโลกได้อีกต่อไปในอนาคต.. เหล่าตัวละครหลักจึงต้องถูกส่งไปสู่ห้วงอวกาศเพื่อสำรวจดวงดาวที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่านี่คือภารกิจเพื่อมนุษยชาตินั่นเอง...
โดยหนังเรื่องนี้ยังมีการพูดถึงจินตนาการทางวิทยาศาสตร์และดราม่าเกี่ยวกับครอบครัวด้วยนะครับ นอกจากเรื่อง Visual แล้วตรงส่วนนี้ก็ถูกพูดถึงและชื่นชมกันเป็นอย่างมาก และถึงแม้ Interstellar จะมีแง่มุมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่อาจฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่เรื่องนี้จัดว่าเป็นหนังที่แทบจะดูง่ายที่สุดของ Nolan เลยนะครับ
เรื่องที่ 1... Ex Machina (2015)
หนังเรื่องนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่นะครับเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆที่ผมพูดมา โดยนี่ก็เป็นผลงานการกำกับครั้งแรกของ Alex Garland ด้วย.. คือปกติแกเป็นคนเขียนบทน่ะ ซึ่งงาน Visual ของเรื่องนี้แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตหวือหวาเหมือนเรื่องอื่น แต่เนียนมากครับ เนียนแบบกลืนไปกับของจริงจนแยกแทบไม่ออกเลยละ โดยเฉพาะตัวละครหลักที่เล่นเป็น AI ในเรื่องนี้..
ส่วนเรื่องราวของหนังจะเกี่ยวกับการทดสอบ AI ครับว่ามีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากแค่ไหน ทั้งในด้านพลังการวิเคราะห์หรืออารมณ์ จากนั้นก็จะนำมาวิเคราะห์และคิดหาวิธีที่จะพัฒนา AI เหล่านั้นให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากยิ่งขึ้น.. ซึ่งหนังก็จะเล่นประเด็นจิตวิทยาเกี่ยวกับคนดูด้วยนะ..
นอกจากนี้ Ex Machina จะมีประเด็นให้ขบคิดตลอดทั้งเรื่องราวกับว่าเราเป็นคนที่ทดสอบ ซึ่งประเด็นของหนังสามารถทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ “นิยามของมนุษย์” ได้เลยทีเดียว...
ก็ครบกันไปแล้วนะครับสำหรับหนัง 5 เรื่องที่มีงาน Visual Effects ยอดเยี่ยมที่สุด.. ถ้าหากว่าไม่มีหนังในดวงใจของท่านก็ต้องขออภัยด้วย.. คือคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะใส่ทุกเรื่องที่ถูกใจทุกคน และลำดับเรื่องที่พูดถึงก็ไม่สำคัญนะ เพราะผมไม่ได้จัดอันดับ ดังนั้นถ้าคุณมีหนังเรื่องไหนที่คิดว่าเยี่ยมไม่แพ้หนังเหล่านี้ละก็.. แชร์กันได้ที่ด้านล่างเลยครับ แต่รบกวนนิดนึงให้พูดถึงหนังแบบไม่สปอยล์ด้วยนะว่าเป็นยังไงหรือมีดีอะไรบ้าง เผื่อผมหรือคนอื่นเกิดสนใจจะได้หามารับชมครับ... ^^
5 หนังกับงาน Visual Effects (CG) ยอดเยี่ยมที่ต้องดู !