สวัดดีครับ ช่วงวันแม่ที่ผ่านมา 11-17 สิงหาคม 2559 หนุ่มโรงงานอย่างผมก็ได้หยุดยาวๆ อีกตามเคย ครั้งนี้จะพาไปใกล้ๆ ซึ่งอยู่ติดๆประเทศเราเลย และประเทศนี้เขาว่ากันว่ามีเจดีย์เยอะมากกกกก และที่สำคัญรอบนี้จะไม่รีวิวเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะคิดว่ามันเยอะเกินไป รอบนี้อยากให้ทุกๆ คนได้เอาข้อมูลไปใช้งานได้จริงๆ (คิดว่าใช้ได้มั้งฮ่าๆ) รอบนี้จะทำเป็นข้อๆ ของแต่ละเมืองเลยถึงบอกไงว่า "เมียนมาร์ แค่ปริ้นก็เที่ยวได้" ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจจะมีมากกว่าที่ผมเขียนก็ได้ ส่วนเมืองที่เราจะไปเที่ยวก็จะมีทั้งหมด 4 เมือง เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
ก่อนออกเดินทางเราก็จัดแจงเตรียมหาข้อมูลจากหลายๆ สำนักมาประกอบกัน พร้อมกับหาเวลาอันเหมาะแม๋งเหมาะแม๋งในการจองตั๋วเครื่องบินด้วย ซึ่งครั้งนี้ผมได้โปรโมชั่นของทั้งสองสายการบิน โดยขาไปเราจองของสายเหลือง ขากลับเราจองของสายแดง ราคาดีมาก รวมไป-กลับ 2000 บาทนิดๆ หน่อยๆ
โดยรูทการเดินทางครั้งนี้เราจะไปที่เมือง ย่างกุ้ง-พุกาม-ยองชเว (Inle lake)-มัณฑะเลย์ มันอาจจะดูแปลกๆ จากคนอื่นนิดๆ หน่อยแต่มันกู๊ดนะเว้ยยยย โอเคเราไปเริ่มกันที่เมืองแรกกันเลยดีกว่า
Yangon
1. พอมาถึงสนามบินย่างกุ้งให้แลกเงินก่อนเลย 150$ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
2. ซื้อซิมมาใช้ซะมันให้ถึง 2 GB ก็เพียงพอสำหรับทริปนี้แล้ว (7 วัน) ราคา 12000 Kyat เขาบริการเปลี่ยนซิทให้เราเลย
3. หาแท็กซี่ไปเที่ยวทัวร์ให้ทั่วเมืองย่างกุ้ง ควรใส่กางเกงขายาวเพราะส่วนใหญ่เป็นวัดและให้ถอดรองเท้า (ราคาไม่ควรเกิน 40$)
4. ให้คนขับรถนั้นแหละโทรไปจองตั๋วรถทัวร์ให้เราว่าคืนนี้เราจะไปเมืองพุกามต่อ (ในราคา 15000 Kyat)
5. พอเที่ยวจนทั่วเมืองย่างกุ้ง ตกเย็นพี่แท็กซี่จะไปส่งเราที่บัส นั่งบัสตอนกลางคืนเพื่อที่จะไปถึงเมืองพุกามในตอนเช้า
สำหรับ 5 ข้อนี้ผมว่าเพียงพอสำหรับเมืองย่างกุ้งแล้ว แต่ผมอยู่แค่วันเดียวจึงไม่ได้แวะอะไรมากมายนัก เพราะส่วนใหญ่มันก็ไม่แตกต่างจากบ้านเราสักเท่าไร
Bagan
นั่งรถมาไม่นานมากนัก โยกซ้ายโยกขวา เด้งหน้าเด้งหลังก็มาถึงเมืองพุกามแล้วละครับ สำหรับเมืองพุกามจะมีกี่ข้อที่ควรรู้ไปลุยกันเลยดีกว่า
1. มาถึงนี้ตี 4.30 ให้หาแท็กซี่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดีย์ Shwesandaw (ช่วงฤดูนี้จะไม่ทีบอลลนขึ้นนะครับเพราะสภาพอากาศไม่ดี) หลังจากนั้นก็ไปหาที่พักต่อ (ค่าเข้าเมืองตอนนี้ 23$ ณ วันที่ 12/08/2016) (ค่าแท็กซี่ 22000 Kyat สำหรับไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและหาที่พักจนกว่าจะถูกใจ)
2. พอหาที่พัก ได้แล้วก็กินข้าวเช้าที่นั้นเลยแล้วพักผ่อนให้เต็มที่ (ที่พักที่ผมและเพื่อนถูกใจที่สุดก็เป็นที่ Shwe na di guest houst ห้องตกคนละ 10$ มีอาหารเช้าให้ด้วย แต่เราได้กินข้าวเช้าถึง 2 ครั้งเลยทีเดียว)
3. หลังจากนอนพักให้เต็มที่แล้วก่อนเที่ยงก็ออกมาหาข้าวกินและเช่าจักรยานปั่นไปดูเจดีย์ต่างๆ ควรใส่ขายาว+รองเท้าแตะ เพราะ ได้ถอดรองเท้าบ่อยมากๆ (วันนี้ให้ไปที่หลักๆ ก่อนมันไม่ไกลกันมาก จักรยานคันละ 1500 Kyat สถานที่ใหญ่ๆ ที่เกสเฮ้าส์แนะนำเรามาอีกที)
4. พอปั่นจนถึงบ่ายแก่ๆ ก็ได้เวลาไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ตกแล้วละครับ แนะนำให้ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Pyathadar Hpaya มุมนี้จะเห็นจีดีหลักๆ ทั้งหมดในมุมพระอาทิตย์ตกสวยมากๆ แต่ผมไม่ได้ดูไป เห็นอีกทีคือวันที่ต้องเปลี่ยนเมืองแล้ว T T น่าเสียดายทีสุด
5 เช้าวันต่อมาให้เช่า E-bike (เช่าของเกสเฮาส์นั้นแหละครับ เขาเปิดตั้งแต่ 4.30 น. เลย) ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดี Shwesandaw (ที่เดิมเวลาเดิม มุมมองลองเปลี่ยนดูละกัน) หลังดูพระอาทิตย์ขึ้นก็กลับที่พักไปทานข้าวเช้า สายหน่อยก็ไปเก็บเจดีย์ให้ครบ ยิบๆหย่อยๆ ทั้ง Old Bagan และ New Bagan (อย่าลืมจองตั๋วรถทัวร์ไปอินเลกับที่พักด้วยนะ เอาแบบ 15000 Kyat ไปเลยนั่งสบายๆ มีรถมารับถึงที่พัก)
6. ระวังเที่ยวเพลิน อย่าลืมเวลาด้วยนะครับ ช่วงบ่ายๆ ให้กลับมาอาบน้ำที่ที่พักและรอรถมารับหน้าที่พักไปเมืองยองชเวต่อ (ระหว่างรอก็หาอะไรตีปากไปก่อน ฮ่าๆ กันหิวระหว่างทาง)
6 ข้อของการอยู่เมืองพุกามสองวันหนึ่งคืน มันไม่ยากเลยใช่มั้ย ผมทำได้พวกคุณก็ทำได้!!!
Nyaung Shwe
1. ไปถึงกลางเมืองยองชเวตี 5.30 น. ตอนไปถึงแมร่งก็ งงๆ คนรถมาปลุกให้ลงรถ พอเราลงรถแล้วไม่ต้องไปไหนเลยให้หาร้านนั่งจิบกาแฟรอไปก่อน เพราะเวลานั้นเขายังไม่ตื่นกัน พอแสงตะวันเริ่มมาแล้วค่อยหาที่พัก (จะมีพวกนายหน้าชวนเราไปล่องเรือราคาไม่เกิน 18000 Kyat สำหรับไม่ดูพระอาทิตย์ตก สำหรับดูพระอาทิตย์ตกด้วยอยู่ที่ 22000 Kyat ดูไม่ดู ควรดูสภาพอากาศวันนั้นด้วยนะครับ สำหรับผมวันนั้นไม่ได้ฟ้าปิดแต่หัววันแถมมีฝนตามมาด้วย) ให้ตกลงตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ สำหรับผม ผมให้เขาหาที่พักให้ด้วยและให้เขาไปส่งให้ถึงที่พักไปส่งที่ท่าเรือไปส่งหลายๆ ที่เลยเอาคุ้มอะ)
2. ให้หาที่พักก่อนที่จะไปล่องเรือเพื่อที่จะได้เอาของไปเก็บไว้ก่อน (ควรหาที่ใกล้ๆ ตลาดมิงกะลาบา เราจะได้เดินเล่นได้สะดวกและประหยัดค่าเช่าจักรยานไปในตัวด้วย)
3. พอเราหาที่พักได้แล้ว ก็รอเวลานายหน้าพาไปล่องเรือ คือมันมีตามโปรแกรมเขาแหละ แต่เราอยากไปไหนเพิ่มก็บอกเขา วันนี้ทั้งวันก็หมดไปกับการล่องเรือที่ทะเลสาบ Inle Lake ทั้งวัน (คนเรือน้อยคนมากที่จะพูดภาษาอังกฤษได้, เอาเข้าจริงๆ ไม่ค่อยมีอะไรสักเท่าไรแต่ไปเพื่อไปเห็นนั้นถือว่าโอเค ควรเตรียมอุปกรณ์กันแดดให้ครบด้วยแดดแรงมาก)
4. วันที่สองแนะนำให้หาทริปเดินขึ้นเขาเหมือนผมราคาอยู่ที่คนละ 13000 Kyat เดินตั้งแต่ 8.00 น. ถึงประมาณ 15.30 น. ระยะทาง 19.5 km เพราะในเมืองยองชเวเองก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากเท่าไร (เส้นทางนี้มีไวน์รอให้เราจิบ พร้อมกับวิวชมเมืองยองชเวรอรออยู่ แนะนำเลย)
อันนี้เป็นรูทที่เราเดินกัน มันมีหลายรูทมากเลยนะมีตั้งแต่หนึ่งวันจนถึง 5-7 วันก็มี
5. หลังจากกลับมาจากเดินป่าก็อาบน้ำและนั่งรอที่พักเดิมนั้นแหละ เดี๋ยวรถมารับเราที่พักเพื่อที่จะไปขึ้นรถบัสไปยังเมืองต่อไป (ที่พักราคา 8$ รวมอาหารเช้า 2 มื้อตอนเราเช็คอินเข้าและเช้าอีกวันรวมถึงอาบน้ำหลังจากเดินป่าแล้วด้วย การที่เราเข้าที่พักตอนเช้ามันดีแบบนี้แหละได้กินข้าวเช้าของวันนั้นเลยประหยัดไปอีกกก)
5 ข้อกับเมืองยองชเว ที่มีทะเลสาบเป็นเดิมพัน คงเพียงพอและพอเพียงสำหรับการใช้ชีวิตลุยๆ ทั้งเที่ยวทางน้ำ เที่ยวภูเขา เที่ยวในเมือง เมืองนี้มีครบเลย
Mandalay
1. ถึงเมืองมัณฑะเลย์ เวลาตี 3.30 น. บอกแท็กซี่จะไปที่พัก....ก่อนเลย (ผมพักที่ royal yadanarbon hotel เสียไป 6000 Kyat ส่วนค่าโรงแรมคนละ 10$)
2. ประมาณตี 5 ออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Mandalay Hill ราคาอยู่ที่ 10000 Kyat (ไป-กลับ) โดยให้คนที่โรงแรมนั้นแหละให้มันไปส่ง มันจะมี 2 ราคานะราคาของเราต้องเดินขึ้นเองจ้า แหม่!! ถ้าเหนื่อยขนาดนี้ให้มันไปส่งข้างบนเลยดีกว่าเชื่อเรา แต่เราจำอีกราคาไม่ได้แต่แพงกว่ามากเลยเพราะทางมันชันแถมยังต้องขึ้นเขาอีก
3. หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว (ซึ่งวันนั้นมองไม่เห็นอะไรเลยฮ่าๆ) ก็กลับมาถึงโรงแรมกินข้าวเช้า เพื่อที่จะไปทัวร์เมือง Mandalay ต่อ
4. โปรแกรมเที่ยว Madalay City แบบตามใจฉัน (ราคา 30$)
1. Gold leaf work shop
2. Mahamuni Pagoda
3. Marble Carving
4. Wood carving
5. Shwe nandawMonestery
6. Mandalay Palace
7. Sandamuni Pagoda
8. Kyauk Taw Gyi Pagoda
9. ซื้อของฝากแถว Mandalay kantawgyi
10. แวะซื้อผ้าที่ Sawe sin tai
11. Ubain Bridge ดูพระอาทิตย์ตก
5. ไปดูพระอาทิตย์ตกที่สะพาน Ubain (ระหว่างทางให้คนขับพาแวะซื้อของฝากเลยนะครับเพราะในสนามบินไม่มีอะไรเลย)
6. กลับไปที่เมืองหาอาหารอร่อยๆ กินกันสักมื้อ ต่อด้วยร้านนั่งชมวิวสาวสวยๆ สักร้าน
7. หาร้านตัดผมเหมาะสักร้านเสริมหล่อก่อนกลับไทย
8. วันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัวเดินทางกลับกันได้แล้วละครับ
8 ข้อกับเมืองมัณฑะเลย์ ไม่ได้ทัวร์จนครบแต่ก็เก็บได้หมด สำหรับเมืองนี้แล้วผมว่าน่าจะอยู่สัก 2 วันน่ะ วันเดียวเหมือนผมไม่เพียงพอจริงๆ มันมีอะไรให้น่าค้นหาอีกเยอะเลย
รูปภาพให้ดูจากซ้ายมือ --> ขวามือ จากด้านบนลงด้านล่าง ผมได้ทำการเรียงลำดับไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อันที่จริงมีอีกหลายรูปเลยที่อยากลงแต่ต้องคัดแล้วคัดอีกเพื่อที่จะให้มันกระชับมากที่สุด เราพยายามรวมทั้งหมดไว้ในกระดาษ A4 หนึ่งแผ่นเท่านั้น(หน้าหลังนะ ถ้าตัวใหญ่ก็ไม่เกิน 2 แผ่น A4) เพื่อที่จะได้ปริ้นและเอาไปเที่ยวได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณไม่มีทางรู้เลยว่าไอ่แต่ละข้อที่ผมเขียนๆมา หน้าตามันเป็นยังไง ผมเชื่อว่าคุณไม่มีทางรู้เลย ไม่มีทางรู้จริงๆ จนกว่าคุณจะไปลองสัมผัสด้วยตัวของคุณเอง ไม่ว่าใครจะรีวิวอย่างไง มันไม่เท่ากับตัวของคุณออกไปเจอมันด้วยตัวเอง สุดท้ายนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาดต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับและพร้อมรับคำติชม
"จงเที่ยวอย่างมีความสุข"
[CR] เมียนมาร์ แค่ปริ้นก็เที่ยวได้
ก่อนออกเดินทางเราก็จัดแจงเตรียมหาข้อมูลจากหลายๆ สำนักมาประกอบกัน พร้อมกับหาเวลาอันเหมาะแม๋งเหมาะแม๋งในการจองตั๋วเครื่องบินด้วย ซึ่งครั้งนี้ผมได้โปรโมชั่นของทั้งสองสายการบิน โดยขาไปเราจองของสายเหลือง ขากลับเราจองของสายแดง ราคาดีมาก รวมไป-กลับ 2000 บาทนิดๆ หน่อยๆ
โดยรูทการเดินทางครั้งนี้เราจะไปที่เมือง ย่างกุ้ง-พุกาม-ยองชเว (Inle lake)-มัณฑะเลย์ มันอาจจะดูแปลกๆ จากคนอื่นนิดๆ หน่อยแต่มันกู๊ดนะเว้ยยยย โอเคเราไปเริ่มกันที่เมืองแรกกันเลยดีกว่า
1. พอมาถึงสนามบินย่างกุ้งให้แลกเงินก่อนเลย 150$ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
2. ซื้อซิมมาใช้ซะมันให้ถึง 2 GB ก็เพียงพอสำหรับทริปนี้แล้ว (7 วัน) ราคา 12000 Kyat เขาบริการเปลี่ยนซิทให้เราเลย
3. หาแท็กซี่ไปเที่ยวทัวร์ให้ทั่วเมืองย่างกุ้ง ควรใส่กางเกงขายาวเพราะส่วนใหญ่เป็นวัดและให้ถอดรองเท้า (ราคาไม่ควรเกิน 40$)
4. ให้คนขับรถนั้นแหละโทรไปจองตั๋วรถทัวร์ให้เราว่าคืนนี้เราจะไปเมืองพุกามต่อ (ในราคา 15000 Kyat)
5. พอเที่ยวจนทั่วเมืองย่างกุ้ง ตกเย็นพี่แท็กซี่จะไปส่งเราที่บัส นั่งบัสตอนกลางคืนเพื่อที่จะไปถึงเมืองพุกามในตอนเช้า
สำหรับ 5 ข้อนี้ผมว่าเพียงพอสำหรับเมืองย่างกุ้งแล้ว แต่ผมอยู่แค่วันเดียวจึงไม่ได้แวะอะไรมากมายนัก เพราะส่วนใหญ่มันก็ไม่แตกต่างจากบ้านเราสักเท่าไร
1. มาถึงนี้ตี 4.30 ให้หาแท็กซี่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดีย์ Shwesandaw (ช่วงฤดูนี้จะไม่ทีบอลลนขึ้นนะครับเพราะสภาพอากาศไม่ดี) หลังจากนั้นก็ไปหาที่พักต่อ (ค่าเข้าเมืองตอนนี้ 23$ ณ วันที่ 12/08/2016) (ค่าแท็กซี่ 22000 Kyat สำหรับไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและหาที่พักจนกว่าจะถูกใจ)
2. พอหาที่พัก ได้แล้วก็กินข้าวเช้าที่นั้นเลยแล้วพักผ่อนให้เต็มที่ (ที่พักที่ผมและเพื่อนถูกใจที่สุดก็เป็นที่ Shwe na di guest houst ห้องตกคนละ 10$ มีอาหารเช้าให้ด้วย แต่เราได้กินข้าวเช้าถึง 2 ครั้งเลยทีเดียว)
3. หลังจากนอนพักให้เต็มที่แล้วก่อนเที่ยงก็ออกมาหาข้าวกินและเช่าจักรยานปั่นไปดูเจดีย์ต่างๆ ควรใส่ขายาว+รองเท้าแตะ เพราะ ได้ถอดรองเท้าบ่อยมากๆ (วันนี้ให้ไปที่หลักๆ ก่อนมันไม่ไกลกันมาก จักรยานคันละ 1500 Kyat สถานที่ใหญ่ๆ ที่เกสเฮ้าส์แนะนำเรามาอีกที)
4. พอปั่นจนถึงบ่ายแก่ๆ ก็ได้เวลาไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ตกแล้วละครับ แนะนำให้ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Pyathadar Hpaya มุมนี้จะเห็นจีดีหลักๆ ทั้งหมดในมุมพระอาทิตย์ตกสวยมากๆ แต่ผมไม่ได้ดูไป เห็นอีกทีคือวันที่ต้องเปลี่ยนเมืองแล้ว T T น่าเสียดายทีสุด
5 เช้าวันต่อมาให้เช่า E-bike (เช่าของเกสเฮาส์นั้นแหละครับ เขาเปิดตั้งแต่ 4.30 น. เลย) ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดี Shwesandaw (ที่เดิมเวลาเดิม มุมมองลองเปลี่ยนดูละกัน) หลังดูพระอาทิตย์ขึ้นก็กลับที่พักไปทานข้าวเช้า สายหน่อยก็ไปเก็บเจดีย์ให้ครบ ยิบๆหย่อยๆ ทั้ง Old Bagan และ New Bagan (อย่าลืมจองตั๋วรถทัวร์ไปอินเลกับที่พักด้วยนะ เอาแบบ 15000 Kyat ไปเลยนั่งสบายๆ มีรถมารับถึงที่พัก)
6. ระวังเที่ยวเพลิน อย่าลืมเวลาด้วยนะครับ ช่วงบ่ายๆ ให้กลับมาอาบน้ำที่ที่พักและรอรถมารับหน้าที่พักไปเมืองยองชเวต่อ (ระหว่างรอก็หาอะไรตีปากไปก่อน ฮ่าๆ กันหิวระหว่างทาง)
2. ให้หาที่พักก่อนที่จะไปล่องเรือเพื่อที่จะได้เอาของไปเก็บไว้ก่อน (ควรหาที่ใกล้ๆ ตลาดมิงกะลาบา เราจะได้เดินเล่นได้สะดวกและประหยัดค่าเช่าจักรยานไปในตัวด้วย)
3. พอเราหาที่พักได้แล้ว ก็รอเวลานายหน้าพาไปล่องเรือ คือมันมีตามโปรแกรมเขาแหละ แต่เราอยากไปไหนเพิ่มก็บอกเขา วันนี้ทั้งวันก็หมดไปกับการล่องเรือที่ทะเลสาบ Inle Lake ทั้งวัน (คนเรือน้อยคนมากที่จะพูดภาษาอังกฤษได้, เอาเข้าจริงๆ ไม่ค่อยมีอะไรสักเท่าไรแต่ไปเพื่อไปเห็นนั้นถือว่าโอเค ควรเตรียมอุปกรณ์กันแดดให้ครบด้วยแดดแรงมาก)
4. วันที่สองแนะนำให้หาทริปเดินขึ้นเขาเหมือนผมราคาอยู่ที่คนละ 13000 Kyat เดินตั้งแต่ 8.00 น. ถึงประมาณ 15.30 น. ระยะทาง 19.5 km เพราะในเมืองยองชเวเองก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากเท่าไร (เส้นทางนี้มีไวน์รอให้เราจิบ พร้อมกับวิวชมเมืองยองชเวรอรออยู่ แนะนำเลย)
5. หลังจากกลับมาจากเดินป่าก็อาบน้ำและนั่งรอที่พักเดิมนั้นแหละ เดี๋ยวรถมารับเราที่พักเพื่อที่จะไปขึ้นรถบัสไปยังเมืองต่อไป (ที่พักราคา 8$ รวมอาหารเช้า 2 มื้อตอนเราเช็คอินเข้าและเช้าอีกวันรวมถึงอาบน้ำหลังจากเดินป่าแล้วด้วย การที่เราเข้าที่พักตอนเช้ามันดีแบบนี้แหละได้กินข้าวเช้าของวันนั้นเลยประหยัดไปอีกกก)
2. ประมาณตี 5 ออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Mandalay Hill ราคาอยู่ที่ 10000 Kyat (ไป-กลับ) โดยให้คนที่โรงแรมนั้นแหละให้มันไปส่ง มันจะมี 2 ราคานะราคาของเราต้องเดินขึ้นเองจ้า แหม่!! ถ้าเหนื่อยขนาดนี้ให้มันไปส่งข้างบนเลยดีกว่าเชื่อเรา แต่เราจำอีกราคาไม่ได้แต่แพงกว่ามากเลยเพราะทางมันชันแถมยังต้องขึ้นเขาอีก
3. หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว (ซึ่งวันนั้นมองไม่เห็นอะไรเลยฮ่าๆ) ก็กลับมาถึงโรงแรมกินข้าวเช้า เพื่อที่จะไปทัวร์เมือง Mandalay ต่อ
4. โปรแกรมเที่ยว Madalay City แบบตามใจฉัน (ราคา 30$)
1. Gold leaf work shop
2. Mahamuni Pagoda
3. Marble Carving
4. Wood carving
5. Shwe nandawMonestery
6. Mandalay Palace
7. Sandamuni Pagoda
8. Kyauk Taw Gyi Pagoda
9. ซื้อของฝากแถว Mandalay kantawgyi
10. แวะซื้อผ้าที่ Sawe sin tai
11. Ubain Bridge ดูพระอาทิตย์ตก
5. ไปดูพระอาทิตย์ตกที่สะพาน Ubain (ระหว่างทางให้คนขับพาแวะซื้อของฝากเลยนะครับเพราะในสนามบินไม่มีอะไรเลย)
6. กลับไปที่เมืองหาอาหารอร่อยๆ กินกันสักมื้อ ต่อด้วยร้านนั่งชมวิวสาวสวยๆ สักร้าน
7. หาร้านตัดผมเหมาะสักร้านเสริมหล่อก่อนกลับไทย
8. วันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัวเดินทางกลับกันได้แล้วละครับ
รูปภาพให้ดูจากซ้ายมือ --> ขวามือ จากด้านบนลงด้านล่าง ผมได้ทำการเรียงลำดับไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อันที่จริงมีอีกหลายรูปเลยที่อยากลงแต่ต้องคัดแล้วคัดอีกเพื่อที่จะให้มันกระชับมากที่สุด เราพยายามรวมทั้งหมดไว้ในกระดาษ A4 หนึ่งแผ่นเท่านั้น(หน้าหลังนะ ถ้าตัวใหญ่ก็ไม่เกิน 2 แผ่น A4) เพื่อที่จะได้ปริ้นและเอาไปเที่ยวได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณไม่มีทางรู้เลยว่าไอ่แต่ละข้อที่ผมเขียนๆมา หน้าตามันเป็นยังไง ผมเชื่อว่าคุณไม่มีทางรู้เลย ไม่มีทางรู้จริงๆ จนกว่าคุณจะไปลองสัมผัสด้วยตัวของคุณเอง ไม่ว่าใครจะรีวิวอย่างไง มันไม่เท่ากับตัวของคุณออกไปเจอมันด้วยตัวเอง สุดท้ายนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาดต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับและพร้อมรับคำติชม