คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ภาพยนตร์ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของการแปลงโฉมสาว มาจากเรื่องนี้ค่ะ
My Fair Lady 1964 - นำแสดงโดย Rex Harrison และ Audrey Hepburn
แต่ฉบับที่โด่งดังที่สุดคือ ฉบับละครบอร์ดเวย์ ที่มี Julie Andrew แสดงเป็นนางเอก (คนแสดงพระเอกคนเดียวกัน)
เนื้องเรื่องย่อ
Eliza Doolittle เป็นเด็กสาวขายดอกไม้ข้างถนนที่บังเอิญ เจอกับ Professor Henry Higgins
ศาสตราจารย์ด้านภาษาวิทยา ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลการใช้ภาษาอยู่ตามท้องถนนในอังกฤษ
โดย Prof. Higgins ได้กล่าวอ้าง (แบบหยอกเล่น) ว่าเขาสามารถปั้นเธอให้กลายเป็น สุภาพสตรี
หรือแม้กระทั่งทำให้เธอดูสูงศักดิ์ราวราชนิกูลได้ และเมื่อ Eliza มาขอร้องเขาให้ทำตามที่พูด
Prof. Higgins ซึ่งได้รับคำท้าจากทั้ง Eliza และเพื่อนเขา ผู้พัน Pickering ก็ยอมทำตาม
โดยฝึกสอนตั้งแต่ มารยาทการวางตัวในสังคม สำเนียงการพูด การเต้นรำ โดยวางแผนจะเปิดตัวเธอ
ในงานเต้นรำของวงสังคมไฮโซชั้นสูง.......(ไม่สปอยส์ตอนจบนะว่าจะสำเร็จมั้ย)
ซึ่งพล็อตเรื่องเดิม การแปลงโฉม ไม่ใช่แค่การจับนางเอกมาแต่งหน้า เปลี่นเสื้อ
แต่รวมถึงท่าทางกริยามารยาทด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจชี้ให้เห็นว่า
ชาติกำเนิดของคนไม่สำคัญ ว่าจะทำให้คนๆ นั้น เป็นผู้ดี แต่ความเป็นผู้ดี สามารถอบรมกันได้
แต่ภาพยนตร์วัยรุ่นในช่วงหลังๆ มักจะพยายามเน้น ถึงการเปลี่ยนร่าง (Metamorphosis)
เหมือนหนอนที่กลายเป็นผีเสื้อ นัยะดังกล่าว ดูจะเชื่อมโยงถึงภาวะการเปลี่ยนจาก
วัยรุ่นตอนต้น ไปสู่ วัยรุ่นตอนปลายที่พร้อมจะกลายเป็นผู้ใหญ่
(ถ้ามองนัยะนี้ อาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์ที่เล่นประเด็นการ "เปลี่ยนร่าง" จะพยายามสื่อถึง ความเจริญพันธุ์ของเพศหญิง)
จะเห็นได้ว่า หนังมักจะจบลงด้วย ความรักระหว่างพระเอกและนางเอก
ซึ่งเรามองว่า ในแง่นี้เป็นอุดมคติที่ผิดอย่างมา เพราะตัวนางเอกไม่ได้ถูกยอมรับด้วยความเป็น ปัจเจกของตัวเอง (Self-subject)
แต่ถูกยอมรับเพราะยอมลดปัจเจกและคุณค่า (Devalued) เพือให้ได้รับการยอมรับ
และยิ่งการได้มาซึ่งความรักของพระเอก = การได้รับการยอมรับจากสังคม
ยิ่งเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์ จากชาวสตรีนิยม เพราะในแง่นี้ภาพยนตร์เหล่านี้
พยายามสอน เด็กผู้หญิงว่า คุณจะไม่ได้รับการยอมรับ หากไม่หาผู้ชาย (ที่ดี) มาเป็นแฟน
ปล. ในอนาคตก็คงจะมีภาพยนตร์แนวนี้มาเรื่อยๆ แหละค่ะ เนื่องจากพล็อตแนวนี้ได้รับความนิยม
แต่หลังๆ มักจะปรับตอนจบให้ฉีกแนวมากขึ้น เช่น The DUFF นางเอกก็กลับมาเป็นตัวของตัวเอง
เพราะรู้แล้วว่า เพื่อนแก๊งค์ตัวเองไม่เคยคิดว่า นางเอกเป็น DUFF ของกลุ่ม
My Fair Lady 1964 - นำแสดงโดย Rex Harrison และ Audrey Hepburn
แต่ฉบับที่โด่งดังที่สุดคือ ฉบับละครบอร์ดเวย์ ที่มี Julie Andrew แสดงเป็นนางเอก (คนแสดงพระเอกคนเดียวกัน)
เนื้องเรื่องย่อ
Eliza Doolittle เป็นเด็กสาวขายดอกไม้ข้างถนนที่บังเอิญ เจอกับ Professor Henry Higgins
ศาสตราจารย์ด้านภาษาวิทยา ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลการใช้ภาษาอยู่ตามท้องถนนในอังกฤษ
โดย Prof. Higgins ได้กล่าวอ้าง (แบบหยอกเล่น) ว่าเขาสามารถปั้นเธอให้กลายเป็น สุภาพสตรี
หรือแม้กระทั่งทำให้เธอดูสูงศักดิ์ราวราชนิกูลได้ และเมื่อ Eliza มาขอร้องเขาให้ทำตามที่พูด
Prof. Higgins ซึ่งได้รับคำท้าจากทั้ง Eliza และเพื่อนเขา ผู้พัน Pickering ก็ยอมทำตาม
โดยฝึกสอนตั้งแต่ มารยาทการวางตัวในสังคม สำเนียงการพูด การเต้นรำ โดยวางแผนจะเปิดตัวเธอ
ในงานเต้นรำของวงสังคมไฮโซชั้นสูง.......(ไม่สปอยส์ตอนจบนะว่าจะสำเร็จมั้ย)
ซึ่งพล็อตเรื่องเดิม การแปลงโฉม ไม่ใช่แค่การจับนางเอกมาแต่งหน้า เปลี่นเสื้อ
แต่รวมถึงท่าทางกริยามารยาทด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจชี้ให้เห็นว่า
ชาติกำเนิดของคนไม่สำคัญ ว่าจะทำให้คนๆ นั้น เป็นผู้ดี แต่ความเป็นผู้ดี สามารถอบรมกันได้
แต่ภาพยนตร์วัยรุ่นในช่วงหลังๆ มักจะพยายามเน้น ถึงการเปลี่ยนร่าง (Metamorphosis)
เหมือนหนอนที่กลายเป็นผีเสื้อ นัยะดังกล่าว ดูจะเชื่อมโยงถึงภาวะการเปลี่ยนจาก
วัยรุ่นตอนต้น ไปสู่ วัยรุ่นตอนปลายที่พร้อมจะกลายเป็นผู้ใหญ่
(ถ้ามองนัยะนี้ อาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์ที่เล่นประเด็นการ "เปลี่ยนร่าง" จะพยายามสื่อถึง ความเจริญพันธุ์ของเพศหญิง)
จะเห็นได้ว่า หนังมักจะจบลงด้วย ความรักระหว่างพระเอกและนางเอก
ซึ่งเรามองว่า ในแง่นี้เป็นอุดมคติที่ผิดอย่างมา เพราะตัวนางเอกไม่ได้ถูกยอมรับด้วยความเป็น ปัจเจกของตัวเอง (Self-subject)
แต่ถูกยอมรับเพราะยอมลดปัจเจกและคุณค่า (Devalued) เพือให้ได้รับการยอมรับ
และยิ่งการได้มาซึ่งความรักของพระเอก = การได้รับการยอมรับจากสังคม
ยิ่งเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์ จากชาวสตรีนิยม เพราะในแง่นี้ภาพยนตร์เหล่านี้
พยายามสอน เด็กผู้หญิงว่า คุณจะไม่ได้รับการยอมรับ หากไม่หาผู้ชาย (ที่ดี) มาเป็นแฟน
ปล. ในอนาคตก็คงจะมีภาพยนตร์แนวนี้มาเรื่อยๆ แหละค่ะ เนื่องจากพล็อตแนวนี้ได้รับความนิยม
แต่หลังๆ มักจะปรับตอนจบให้ฉีกแนวมากขึ้น เช่น The DUFF นางเอกก็กลับมาเป็นตัวของตัวเอง
เพราะรู้แล้วว่า เพื่อนแก๊งค์ตัวเองไม่เคยคิดว่า นางเอกเป็น DUFF ของกลุ่ม
แสดงความคิดเห็น
อธิบายจิตวิทยาหนังวัยรุ่นแนวลูกเป็ดขี้เหร่ สะท้อนแนวคิดของผู้คนในสังคม
เช่น
Katy Perry - Last Friday Night (T.G.I.F.)
The DUFF Official Trailer #1 (2015) - Bella Thorne, Mae Whitman Comedy HD
She's All That - Kiss Me (HD) By Sixpence None The Richer
คือพลอตจะเป็นแนวนางเอกไม่สวย ไม่ปอปปูล่า ในไฮสคูล แต่พระเอกหล่อเป็นนักฟุตบอลมีแฟนเป็นสาวสวยสุดป๊อป
เชียลีดเดอร์ แต่สุดท้ายในงานพรอม นางเอกจะชนะใจพระเอก และรักกันในที่สุด
และแน่นอนก็ต้องมีฉากแปลงร่างจากนางเอกที่แต่งตัวเชยๆ เสื้อผ้าหน้าผม เชยๆ เปิ่นๆ มากลายเป็นสาวสวยปิ๊ง
จนพระเอกมองเคลิ้มไม่ละสายตาในงานพรอม
เราไม่สามารถมองไปในหัวคนได้ แต่เราสามารถรับรู้การคิดของผู้คนผ่านสิ่งที่เขากระทำ หนังก็เป็นตัวอย่างที่ดีมาก
ไม่ว่าจะจงใจ หรือไม่จงใจ หนังจะสะท้อนแนวคิด ความต้องการ จิตใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี
แล้วทำไมพลอตแนนวลูกเป็ดขี้เหร่ สุดท้ายกลับกลายเป็งหงส์แสนสววถึงได้รับความนิยมมาก
ก็เพราะในจำนวนคนมากมาย มีน้อยคนนักที่จะเป็นคนป๊อปปูล่า เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน รู้จักคนเยอะมีชื่อเสียง
รูปร่างหน้าตาดี ในคนจำนวนมากส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในค่าเฉลี่ย แต่พลอตแนวนี้มันทำให้สร้างความฝันว่า
คนที่ไม่สวยถูกมองข้าม วันนึงจะกลายเป็นสาวแสนสวยไปได้ในที่สุด ฉากไครแมกคืองานพรอม
การแปลงร่างของสาวธรรมดากลายเป็นสาวแสนสวย และนี่คือฉากบังคับที่จะพบบ่อยในหนังวัยรุ่น
และแน่นอนอนาคตก็จะมีหนังพลอตแบบนี้มาให้ดูอีกเรื่อยๆ เหตุผลก็ตามที่กล่าวมา
ใช่ไหม?