เรื่อง …. ซอมบี้ถล่มเมือง
==========
บทที่ 1
อินทัชนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีกรงเหล็กกั้นไว้บรรยากาศภายนอกมืดครึ้ม ก้อนเมฆดำทะมึนลอยปกคลุมทั่วท้องฟ้า เสียงคำรนจากเบื้องบนกึกก้องสะท้านสะเทือน ฟังแล้วชวนขนลุกทำให้บรรยากาศน่ากลัวตามไปด้วย และเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนจะกระหน่ำลงมา เขาเดินไปปิดหน้าต่างใส่กลอนแน่นหนา ก่อนเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง
ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักแล้วดึงสมุดบันทึกปกแข็งเล่มสีฟ้าออกมา เขาถือปากกาไว้ในมือ พลางหมุนมันเล่น เหมือนนึกไม่ออกว่าจะเขียนบันทึกอะไรลงบนสมุดเล่มนี้ ทุกอย่างในชีวิตเขายังเหมือนเดิม อยู่ในห้องซึ่งถูกปิดตายมานานเกือบสองสัปดาห์แล้ว มีเพียงหน้าต่างเท่านั้นที่สามารถเปิดออกได้ทำให้เขาได้เห็นโลกภายนอก… โลกภายนอกที่ไม่สวยงามอีกต่อไป… โลกภายนอกที่เขาไม่กล้าย่างกรายออกไปเผชิญ
อินทัชถอนหายใจ เปิดสมุดไปยังหน้ากระดาษที่ยังไม่ถูกเขียน และลงมือเขียนบันทึกอีกครั้ง
บันทึกครั้งที่ 15 วันที่ 20 มีนาคม ปี 2017 เวลา 8.00 น.
ผมอินทัช วิบูรณ์ศาล ผู้รอดชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ผมขังตัวเองไว้ในห้องนอน ใช้ไม้ตอกประตูปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้พวกซอมบี้บุกเข้ามา ผมมีอาหารเพียงพอที่จะอยู่ในห้องได้สิบห้าวัน ผมพยายามกินอาหารอย่างประหยัด และตอนนี้อาหารใกล้หมดแล้ว เหลือทูน่าหนึ่งกระป๋อง ช็อกโกแลสามแท่ง และน้ำอีกครึ่งขวด ผมคิดว่าคงอยู่ในห้องนี้ได้อีกไม่นาน ถ้าไม่ออกไปหาอาหารมาเพิ่ม คงอดตาย ยังไงก็ต้องลองเสี่ยงออกไปจากห้องนี้ ผมรู้ว่าข้างนอกมีพวกซอมบี้เดินเพ่นพ่านไปหมด แต่ยังมีความหวัง เมื่อวานผมได้ยินเสียงคนดังออกมาจากวิทยุ
เธอบอกว่า ‘ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่อีกหลายคน พวกเขาอาศัยอยู่ในค่ายลี้ภัยเขาใหญ่ ที่นั่นมีอาหาร เครื่องดื่ม ยารักษาโรค ที่พักสะอาด และมีทหารคอยคุ้มกัน มีกำแพงคอนกรีตสูงสิบเมตรล้อมรอบค่ายลี้ภัยไว้ หากใครรอดชีวิตให้เดินทางมาตามเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ และสังเกตสเปรย์สีชมพูที่ถูกพ่นไว้ตามต้นไม้ ให้เดินตามสีเครื่องหมายนั้นแล้วจะเจอค่ายลี้ภัย ขอให้ทุกคนโชคดี’
นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินจากวิทยุ และผมจะไปยังค่ายลี้ภัยดังกล่าวดีกว่าจะรอความตายโดยไม่ทำอะไร …. หากมีใครมาอ่านบันทึกนี้ ผมคิดว่าคุณยังคงมีชีวิตอยู่และถ้ายังอยากมีชีวิตต่อไป ค่ายลี้ภัยเขาใหญ่อาจจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับคุณในตอนนี้….ผมขอให้ใครก็ตามที่อ่านบันทึกนี้เดินทางไปให้ถึงเขาใหญ่ ….
อินทัชจบการเขียนบันทึก เขาเปิดสมุดหน้าล่าสุดของการเขียนบันทึกค้างทิ้งไว้แล้ววางปากกาไว้กลางสมุด ก่อนจะลุกขึ้นจัดการเก็บอาหารที่เหลืออยู่ยัดใส่เป้ หยิบเสื้อเจ๊กเก็ตหนังสีน้ำตาลมาสวมใส่ และหยิบหมวกแก๊ปที่มีรูปหงส์สีแดงอยู่ตรงกลางหมวกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทีมฟุตบอลที่เขาชื่นชอบมาสวมบนศีรษะ
เขาแง้มหน้าต่างเปิดดูอีกครั้ง ฝนข้างนอกตกลงมาแล้ว ถนนปลอดโปร่งไม่มีซอมบี้เดินเพ่นพ่าน ตามข่าวที่เขาได้ฟังเป็นไปได้ว่าพวกซอมบี้อาจจะกลัวน้ำฝน แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะหน่วยการแพทย์ที่ทำการรักษาและวิเคราะห์ผู้ติดเชื้อจากไวรัสชนิดใหม่นี้ต่างก็พากันล้มตายหรือไม่ก็กลายเป็นซอมบี้กันหมด
อาจเป็นการสรุปเอาแบบรวดรัดของทางการซึ่งเชื่อว่าซอมบี้กลัวน้ำฝน เพราะเมื่อไหร่ที่ฝนตกลงมาพวกมันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่อินทัชยังตะขิดตะขวางใจกับข้อสรุปตรงนี้อยู่ไม่น้อย ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อถือได้หรือเปล่า แต่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งฝนตกกำลังหนักก็ไม่มีซอมบี้ออกมาเดินตามท้องถนน ข้อสรุปดังกล่าวก็อาจจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง
ชายหนุ่มติดตามอ่านข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้ว่าเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดอยู่นี้ มีผลต่อคนที่ติดเชื้อว่าจะมีอาการเช่นไร
ระยะที่หนึ่ง จะป่วยเหมือนคนเป็นไข้หวัด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย ไม่ชอบแสงสว่าง ไม่ชอบลมและตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ระยะที่สอง น้ำลายฟูมปาก ตัวเกร็ง เริ่มกลืนอะไรไม่ลง และสุดท้ายก็จะไม่กินอะไรทั้งนั้น
ระยะที่สาม ชักกระตุก เป็นอัมพาต ผิวหนังตกสะเก็ดและเริ่มหลุดลอกออกมา หมดสติ สมองตาย และเสียชีวิตลง
ระยะที่สี่ หลังจากเสียชีวิตไปครึ่งชั่วโมง พวกเขาจะฟื้นขึ้นมา ในสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป มีฟันยาวแหลมคมขึ้น นัยน์ตาเป็นสีแดง ผิวหนังขาวซีดเผือด ดุร้ายคลุ้มคลั่ง และมีสัญชาตญาณนักล่าเนื้อจะไล่ล่ากัดกินสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง
และแม้จะรู้ว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสมีลักษณะเป็นเช่นไร แต่กลับไม่มีสำนักข่าวไหนรายงานถึงต้นตอที่มาของเชื้อไวรัสประหลาดในจุดนี้เองทำให้อินทัชสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แต่เขาจะทำอย่างไรได้เมื่อเขาเป็นแค่ประชาชนตาดำๆคนหนึ่ง เขาพยายามสลัดความคิดที่ค้างคาอยู่ในหัวทิ้งไป
ณ เวลานี้ฝนตกหนักมากขึ้นเป็นช่วงจังหวะเหมาะ กับการออกเดินทาง พวกซอมบี้กำลังหลบซ่อนตัว เขาจะออกจากห้องนอนแล้วเดินไปขึ้นรถกระบะซึ่งจอดไว้หน้าบ้าน ขับรถไปตามเส้นทางที่ฝนตกคงพอพ้นจากพวกซอมบี้ได้ในระยะหนึ่ง ถ้าฝนหยุดตกต้องจอดรถทิ้งไว้แล้วไปหาที่ซ่อนตัวใหม่ อินทัชคิดแผนหนีไว้ในหัว
เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีขวานผ่าฟืนอยู่หลังบ้าน จึงต้องปรับเปลี่ยนแผนโดยการไปเอาขวานผ่าฟืนที่หลังบ้านก่อน แล้วค่อยเดินอ้อมมาขึ้นรถกระบะหน้าบ้าน
อินทัชนึกดีใจที่พ่อกับแม่ได้เสียชีวิตไปก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายๆแบบนี้บนโลก อย่างน้อยท่านทั้งสองก็ไม่ต้องมาเห็นภาพผู้คนไล่ล่าฆ่าและกัดกินกันเอง ภาพที่แสนโหดร้ายบ้าเถื่อน น่ากลัวและสยดยอง และภายในใจเขาก็นึกภาวนาของท่านทั้งสองคุ้มครองตัวเขาด้วย
อินทัชจัดการใช้ค้อนงัดตะปูที่ตอกไม้ปิดประตูออกจนหมด และออกมาจากห้อง โดยไม่ลืมเปิดประตูห้องทิ้งไว้เผื่อจะมีใครสักคนมาเห็นบันทึกของเขา และไม่ลืมที่จะเอาค้อนเสียบเข้าไปในกระเป๋าเป้มีอาวุธอะไรก็ตามไว้ป้องกันตัวดีกว่าไม่มี ชายหนุ่มจัดการทำตามแผนที่คิดไว้อย่างรวดเร็ว เริ่มจากไปเอาขวานหลังบ้านแล้วกลับมาขึ้นรถหน้าบ้าน ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีซอมบี้โผล่มาให้เห็น
เขาขับรถออกจากไปบ้าน มุ่งไปสู่ถนนเส้นใหญ่ และได้เจอสภาพบ้านเมืองที่เสียหายพังพินาศยับเยิน รถยนต์หลายคันจอดเรียงตามท้องถนน หลายคันถูกทุบกระจกจนแตก บางคันมีศพเน่าเปื่อยนอนอยู่ในรถ อาคารบ้านเรือนบางหลังมีรูกระสุนกระจายเต็มบ้าน ตึกใหญ่พังถล่มลงมาจากแรงระเบิด เมืองหลวงสวยงามกลายสภาพเป็นเมืองร้างภายในเวลาไม่ถึงเดือน
ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน กระจัดกระจายขวางถนน อินทัชต้องขับรถหลบหลีกไปมาอยู่ตลอดเส้นทาง สายฝนยังคงกระหน่ำลงมา ยังพอทำให้คนที่ขับรถคนเดียวกลางถนนใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็มั่นใจว่าพวกซอมบี้จะไม่โผล่ออกมา
ถนนเส้นหลักในตัวเมืองใหญ่โล่งปลอดโปร่งดีและโล่งมากขึ้นเมื่อเขาขับรถพ้นเขตเมืองออกมา ไม่มีสิ่งใดกีดขวางเส้นทาง อินทัชเหลือบสายตามองโดยรอบอย่างระมัดระวังเผื่อว่าจะมีสิ่งไม่คาดคิดพุ่งจากข้างทางตรงใส่รถเขา แล้วสายตาก็มองเห็นรถถังคันหนึ่งของพวกทหารชนกับรถเก๋งสีดำในสภาพรถเก๋งตะแคงเข้าไปอยู่ใต้ล้อเหล็กของรถถัง เขาเหยียบเบรกกะทันหันเมื่อเห็นศพของทหารนายหนึ่งนอนคว่ำอยู่ข้างรถเก๋ง ไม่ได้คิดอยากช่วยนานทหารผู้นั่น แต่เป้าหมายอยู่ที่ปืนของทหารนายนั้นวึ่งสะพายไหล่อยู่
ไม่พูดพร่ำทำเพลง อินทัชเปิดประตูรถวิ่งฝ่าสายฝนไปยังศพทหารนายนั้น ดึงกระชากเอาอาวุธปืนของทหาร แต่ก็ยากกว่าที่คิดเมื่อสายสะพายปืนถูกล้อรถเก๋งทับไว้ ร่างของทหารขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและค่อยพลิกตัวขึ้นมา สายตาแดงก่ำ ฟันแหลมคมแยกเขี้ยวตะเกียกตะกายยื่นมือไขว่คว้าเข้าหาชายหนุ่มใจหายวาบ ผละตัวถอยหลังหลบออกมาด้วยความตกใจ
ขาที่แหลกเละของซอมบี้ทหารทำให้ลุกขึ้นเดินไม่ได้ จำต้องค่อยๆคืบคลานเข้าหาอินทัช แยกเขี้ยวใส่พร้อมส่งเสียงคำรามในลำคอ คลานได้ไม่เท่าไรร่างของซอมบี้ทหารก็ชะงัก เมื่อสายสะพายปืนซึ่งติดอยู่ที่รถล้อฉุดร่างของทหารไม่ให้ไปต่อ อินทัชเมื่อรวบรวมสติได้จึงกลั้นใจใช้ขวานที่ตนเองถือมาด้วยฟันฉับเข้าที่หัวซอมบี้ทหารเต็มแรง และฟันสายสะพายปืนให้ขาดออกจากกันก่อนคว้าเอาปืนกระบอกนั้นแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นรถแบบใจหายในคว่ำ
อินทัชตรวจดูลูกกระสุนที่อยู่ในปืน แล้วต้องสบถคำหยาบคายออกมาเมื่อเห็นว่าไม่มีกระสุนเหลืออยู่เลยสักลูก แล้วจะเอามาทำพระแสงหอกอะไรกัน เขาใช้มือตบพวงมาลัยอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะโยนปืนกระบอกนั้นออกนอกหน้าต่างรถ ก่อนเหยียบคันเร่งตะบึงรถต่อไปอย่างรวดเร็ว ทหารซอมบี้ตัวนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกมันไม่ได้กลัวน้ำตามที่เข้าใจกัน
เมื่อคิดถึงจุดนี้อินทัชก็เกิดหวาดหวั่นใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าซอมบี้จะบุกมาโจมตีเขาตอนไหนและถ้าพวกมันพากันแห่แหนมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือได้ยังไง เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ยิ่งเหยียบคันเร่ง เพิ่มความเร็วของรถมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับสายฝนที่เริ่มชาลง จากฝนห่าใหญ่กลายเป็นเพียงสายฝนเม็ดเล็กที่ตกเปาะแปะลงมาเท่านั้น
จึงทำให้วิสัยทัศน์ด้านหน้ามองเห็นชัดเจนขึ้น อินทัชเหยียบคันเร่ง หักพวงมาลัยหลบหลีกรถยนต์คันอื่นที่จอดขวางทาง สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซค์แบบผู้หญิงกำลังบิดไล่เร่งความเร็วตามหลังมา และพยายามโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้เขาหยุดรถ แต่ก็ไม่เป็นผลจึงกดแตรบีบไล่ตามหลัง
และเสียแตรนั่นเองทำให้อินทัชต้องมองหาต้นตอของเสียง เขามองกระจกมองหลัง จึงเห็นว่ามีมอเตอร์ไซค์กำลังขับไล่ตามมา คนขับเป็นผู้หญิงและมีคนซ้อนเป็นผู้ชาย…
หนึ่งเดือนก่อนเชื้อไวรัสระบาด
หลังจากเอกภพเขียนบทความการระบาดของโรคซิกาที่เกิดขึ้นในแถบลาตินอเมริกา โดยบราซิลเป็นประเทศที่มีการระบาดอย่างรุนแรงมากที่สุด ในบทความได้บอกวิธีป้องกัน วิธีการรับมือ และอาการของคนที่มีโอกาสจะเป็นโรคซิกาเพื่อให้คนที่อ่านบทความนี้ได้รับข้อมูลข่าวสารซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนในประเทศไม่มากก็น้อย
ทันทีที่เขาเขียนบทความนี้เสร็จตามเวลาที่กำหนด เอกภพถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกและรู้สึกตัวเบาขึ้นมา หลังจากที่ต้องสืบค้นหาข้อมูลสำคัญเพื่อมาเขียนบทความอยู่หลายวัน เขาจัดการส่งอีเมล์ให้บรรณาธิการอย่างไม่รอช้า อีกสองวันนับจากนี้บทความของเขาจะไปปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ สิ่งนี้มันเป็นความสุขและความภูมิใจในชีวิตการทำงาน เมื่อได้เขียนบทความลงในคอลัมน์ที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ และเขารู้ดีว่ามันยากเย็นสักแค่ไหนกว่าจะมีพื้นที่เล็กๆเป็นของตัวเองบนหน้าหนังสือพิมพ์
เอกภพทุ่มเททำงานในการอาชีพนักข่าวอย่างไม่ย่อท้อ มีเรื่องราวมากมายที่เขาต้องนำมาเสนออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำงานไม่เป็นเวลา แม้แต่วันหยุด หากถูกโทรติดต่อให้มาทำข่าวเขาก็ต้องรีบมาอย่างไม่รอช้า เขาเริ่มต้นงานจากการเป็นตากล้องภาคสนาม ติดตามทำข่าวไปทั่วทุกพื้นที่ จึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่กับครอบครัว วันที่ลูกสาวฝาแฝดคลอดเขาก็ไม่ได้มาอยู่ดู เพราะต้องบินไปทำข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาล
เป็นเวลาหลายปีที่เขาต้องแบกกล้องบุกป่าฝ่าดงไปในพื้นทุรกันดาร และแม้มันจะเป็นงานที่เขารัก แต่มันกลับสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้เป็นภรรยา เพราะเธอต้องเลี้ยงลูกสองคนที่บ้านเพียงลำพัง เวลาเกิดเรื่องเธอเองก็ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร สามีก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน เธออยากให้เขาย้ายมาทำงานในสำนักงานจะได้ไม่ต้องเดินทางไหนไกลและมีเวลาให้ลูกบ้าง เขาเห็นด้วยกับเธอในเรื่องที่ต้องมีเวลาให้ลูกบ้าง เขาเคยขัดใจเธอหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เขาขอตามใจเธอสักครั้ง
เอกภพขอย้ายมาทำงานในออฟฟิศ เปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ทำงานภาคสนาม และอีกอย่างสภาพร่างกายของเขาเองก็ไม่เอื้ออำนวยกับงานลุยหนักภาคสนามอีกต่อไป เนื่องจากสามปีก่อนเขาประสบอุบัติเหตุรถชนจากการพยายามช่วยเหลือลูกหมาที่กำลังวิ่งข้ามถนน รถยนต์แล่นมาด้วยความเร็วเฉี่ยวชนเขาอย่างจัง
....
ซอมบี้ถล่มเมือง บทที่ 1
เรื่อง …. ซอมบี้ถล่มเมือง
==========
บทที่ 1
อินทัชนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีกรงเหล็กกั้นไว้บรรยากาศภายนอกมืดครึ้ม ก้อนเมฆดำทะมึนลอยปกคลุมทั่วท้องฟ้า เสียงคำรนจากเบื้องบนกึกก้องสะท้านสะเทือน ฟังแล้วชวนขนลุกทำให้บรรยากาศน่ากลัวตามไปด้วย และเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนจะกระหน่ำลงมา เขาเดินไปปิดหน้าต่างใส่กลอนแน่นหนา ก่อนเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง
ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักแล้วดึงสมุดบันทึกปกแข็งเล่มสีฟ้าออกมา เขาถือปากกาไว้ในมือ พลางหมุนมันเล่น เหมือนนึกไม่ออกว่าจะเขียนบันทึกอะไรลงบนสมุดเล่มนี้ ทุกอย่างในชีวิตเขายังเหมือนเดิม อยู่ในห้องซึ่งถูกปิดตายมานานเกือบสองสัปดาห์แล้ว มีเพียงหน้าต่างเท่านั้นที่สามารถเปิดออกได้ทำให้เขาได้เห็นโลกภายนอก… โลกภายนอกที่ไม่สวยงามอีกต่อไป… โลกภายนอกที่เขาไม่กล้าย่างกรายออกไปเผชิญ
อินทัชถอนหายใจ เปิดสมุดไปยังหน้ากระดาษที่ยังไม่ถูกเขียน และลงมือเขียนบันทึกอีกครั้ง
บันทึกครั้งที่ 15 วันที่ 20 มีนาคม ปี 2017 เวลา 8.00 น.
ผมอินทัช วิบูรณ์ศาล ผู้รอดชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ผมขังตัวเองไว้ในห้องนอน ใช้ไม้ตอกประตูปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้พวกซอมบี้บุกเข้ามา ผมมีอาหารเพียงพอที่จะอยู่ในห้องได้สิบห้าวัน ผมพยายามกินอาหารอย่างประหยัด และตอนนี้อาหารใกล้หมดแล้ว เหลือทูน่าหนึ่งกระป๋อง ช็อกโกแลสามแท่ง และน้ำอีกครึ่งขวด ผมคิดว่าคงอยู่ในห้องนี้ได้อีกไม่นาน ถ้าไม่ออกไปหาอาหารมาเพิ่ม คงอดตาย ยังไงก็ต้องลองเสี่ยงออกไปจากห้องนี้ ผมรู้ว่าข้างนอกมีพวกซอมบี้เดินเพ่นพ่านไปหมด แต่ยังมีความหวัง เมื่อวานผมได้ยินเสียงคนดังออกมาจากวิทยุ
เธอบอกว่า ‘ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่อีกหลายคน พวกเขาอาศัยอยู่ในค่ายลี้ภัยเขาใหญ่ ที่นั่นมีอาหาร เครื่องดื่ม ยารักษาโรค ที่พักสะอาด และมีทหารคอยคุ้มกัน มีกำแพงคอนกรีตสูงสิบเมตรล้อมรอบค่ายลี้ภัยไว้ หากใครรอดชีวิตให้เดินทางมาตามเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ และสังเกตสเปรย์สีชมพูที่ถูกพ่นไว้ตามต้นไม้ ให้เดินตามสีเครื่องหมายนั้นแล้วจะเจอค่ายลี้ภัย ขอให้ทุกคนโชคดี’
นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินจากวิทยุ และผมจะไปยังค่ายลี้ภัยดังกล่าวดีกว่าจะรอความตายโดยไม่ทำอะไร …. หากมีใครมาอ่านบันทึกนี้ ผมคิดว่าคุณยังคงมีชีวิตอยู่และถ้ายังอยากมีชีวิตต่อไป ค่ายลี้ภัยเขาใหญ่อาจจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับคุณในตอนนี้….ผมขอให้ใครก็ตามที่อ่านบันทึกนี้เดินทางไปให้ถึงเขาใหญ่ ….
อินทัชจบการเขียนบันทึก เขาเปิดสมุดหน้าล่าสุดของการเขียนบันทึกค้างทิ้งไว้แล้ววางปากกาไว้กลางสมุด ก่อนจะลุกขึ้นจัดการเก็บอาหารที่เหลืออยู่ยัดใส่เป้ หยิบเสื้อเจ๊กเก็ตหนังสีน้ำตาลมาสวมใส่ และหยิบหมวกแก๊ปที่มีรูปหงส์สีแดงอยู่ตรงกลางหมวกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทีมฟุตบอลที่เขาชื่นชอบมาสวมบนศีรษะ
เขาแง้มหน้าต่างเปิดดูอีกครั้ง ฝนข้างนอกตกลงมาแล้ว ถนนปลอดโปร่งไม่มีซอมบี้เดินเพ่นพ่าน ตามข่าวที่เขาได้ฟังเป็นไปได้ว่าพวกซอมบี้อาจจะกลัวน้ำฝน แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะหน่วยการแพทย์ที่ทำการรักษาและวิเคราะห์ผู้ติดเชื้อจากไวรัสชนิดใหม่นี้ต่างก็พากันล้มตายหรือไม่ก็กลายเป็นซอมบี้กันหมด
อาจเป็นการสรุปเอาแบบรวดรัดของทางการซึ่งเชื่อว่าซอมบี้กลัวน้ำฝน เพราะเมื่อไหร่ที่ฝนตกลงมาพวกมันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่อินทัชยังตะขิดตะขวางใจกับข้อสรุปตรงนี้อยู่ไม่น้อย ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อถือได้หรือเปล่า แต่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งฝนตกกำลังหนักก็ไม่มีซอมบี้ออกมาเดินตามท้องถนน ข้อสรุปดังกล่าวก็อาจจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง
ชายหนุ่มติดตามอ่านข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้ว่าเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดอยู่นี้ มีผลต่อคนที่ติดเชื้อว่าจะมีอาการเช่นไร
ระยะที่หนึ่ง จะป่วยเหมือนคนเป็นไข้หวัด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย ไม่ชอบแสงสว่าง ไม่ชอบลมและตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ระยะที่สอง น้ำลายฟูมปาก ตัวเกร็ง เริ่มกลืนอะไรไม่ลง และสุดท้ายก็จะไม่กินอะไรทั้งนั้น
ระยะที่สาม ชักกระตุก เป็นอัมพาต ผิวหนังตกสะเก็ดและเริ่มหลุดลอกออกมา หมดสติ สมองตาย และเสียชีวิตลง
ระยะที่สี่ หลังจากเสียชีวิตไปครึ่งชั่วโมง พวกเขาจะฟื้นขึ้นมา ในสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป มีฟันยาวแหลมคมขึ้น นัยน์ตาเป็นสีแดง ผิวหนังขาวซีดเผือด ดุร้ายคลุ้มคลั่ง และมีสัญชาตญาณนักล่าเนื้อจะไล่ล่ากัดกินสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง
และแม้จะรู้ว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสมีลักษณะเป็นเช่นไร แต่กลับไม่มีสำนักข่าวไหนรายงานถึงต้นตอที่มาของเชื้อไวรัสประหลาดในจุดนี้เองทำให้อินทัชสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แต่เขาจะทำอย่างไรได้เมื่อเขาเป็นแค่ประชาชนตาดำๆคนหนึ่ง เขาพยายามสลัดความคิดที่ค้างคาอยู่ในหัวทิ้งไป
ณ เวลานี้ฝนตกหนักมากขึ้นเป็นช่วงจังหวะเหมาะ กับการออกเดินทาง พวกซอมบี้กำลังหลบซ่อนตัว เขาจะออกจากห้องนอนแล้วเดินไปขึ้นรถกระบะซึ่งจอดไว้หน้าบ้าน ขับรถไปตามเส้นทางที่ฝนตกคงพอพ้นจากพวกซอมบี้ได้ในระยะหนึ่ง ถ้าฝนหยุดตกต้องจอดรถทิ้งไว้แล้วไปหาที่ซ่อนตัวใหม่ อินทัชคิดแผนหนีไว้ในหัว
เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีขวานผ่าฟืนอยู่หลังบ้าน จึงต้องปรับเปลี่ยนแผนโดยการไปเอาขวานผ่าฟืนที่หลังบ้านก่อน แล้วค่อยเดินอ้อมมาขึ้นรถกระบะหน้าบ้าน
อินทัชนึกดีใจที่พ่อกับแม่ได้เสียชีวิตไปก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายๆแบบนี้บนโลก อย่างน้อยท่านทั้งสองก็ไม่ต้องมาเห็นภาพผู้คนไล่ล่าฆ่าและกัดกินกันเอง ภาพที่แสนโหดร้ายบ้าเถื่อน น่ากลัวและสยดยอง และภายในใจเขาก็นึกภาวนาของท่านทั้งสองคุ้มครองตัวเขาด้วย
อินทัชจัดการใช้ค้อนงัดตะปูที่ตอกไม้ปิดประตูออกจนหมด และออกมาจากห้อง โดยไม่ลืมเปิดประตูห้องทิ้งไว้เผื่อจะมีใครสักคนมาเห็นบันทึกของเขา และไม่ลืมที่จะเอาค้อนเสียบเข้าไปในกระเป๋าเป้มีอาวุธอะไรก็ตามไว้ป้องกันตัวดีกว่าไม่มี ชายหนุ่มจัดการทำตามแผนที่คิดไว้อย่างรวดเร็ว เริ่มจากไปเอาขวานหลังบ้านแล้วกลับมาขึ้นรถหน้าบ้าน ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีซอมบี้โผล่มาให้เห็น
เขาขับรถออกจากไปบ้าน มุ่งไปสู่ถนนเส้นใหญ่ และได้เจอสภาพบ้านเมืองที่เสียหายพังพินาศยับเยิน รถยนต์หลายคันจอดเรียงตามท้องถนน หลายคันถูกทุบกระจกจนแตก บางคันมีศพเน่าเปื่อยนอนอยู่ในรถ อาคารบ้านเรือนบางหลังมีรูกระสุนกระจายเต็มบ้าน ตึกใหญ่พังถล่มลงมาจากแรงระเบิด เมืองหลวงสวยงามกลายสภาพเป็นเมืองร้างภายในเวลาไม่ถึงเดือน
ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน กระจัดกระจายขวางถนน อินทัชต้องขับรถหลบหลีกไปมาอยู่ตลอดเส้นทาง สายฝนยังคงกระหน่ำลงมา ยังพอทำให้คนที่ขับรถคนเดียวกลางถนนใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็มั่นใจว่าพวกซอมบี้จะไม่โผล่ออกมา
ถนนเส้นหลักในตัวเมืองใหญ่โล่งปลอดโปร่งดีและโล่งมากขึ้นเมื่อเขาขับรถพ้นเขตเมืองออกมา ไม่มีสิ่งใดกีดขวางเส้นทาง อินทัชเหลือบสายตามองโดยรอบอย่างระมัดระวังเผื่อว่าจะมีสิ่งไม่คาดคิดพุ่งจากข้างทางตรงใส่รถเขา แล้วสายตาก็มองเห็นรถถังคันหนึ่งของพวกทหารชนกับรถเก๋งสีดำในสภาพรถเก๋งตะแคงเข้าไปอยู่ใต้ล้อเหล็กของรถถัง เขาเหยียบเบรกกะทันหันเมื่อเห็นศพของทหารนายหนึ่งนอนคว่ำอยู่ข้างรถเก๋ง ไม่ได้คิดอยากช่วยนานทหารผู้นั่น แต่เป้าหมายอยู่ที่ปืนของทหารนายนั้นวึ่งสะพายไหล่อยู่
ไม่พูดพร่ำทำเพลง อินทัชเปิดประตูรถวิ่งฝ่าสายฝนไปยังศพทหารนายนั้น ดึงกระชากเอาอาวุธปืนของทหาร แต่ก็ยากกว่าที่คิดเมื่อสายสะพายปืนถูกล้อรถเก๋งทับไว้ ร่างของทหารขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและค่อยพลิกตัวขึ้นมา สายตาแดงก่ำ ฟันแหลมคมแยกเขี้ยวตะเกียกตะกายยื่นมือไขว่คว้าเข้าหาชายหนุ่มใจหายวาบ ผละตัวถอยหลังหลบออกมาด้วยความตกใจ
ขาที่แหลกเละของซอมบี้ทหารทำให้ลุกขึ้นเดินไม่ได้ จำต้องค่อยๆคืบคลานเข้าหาอินทัช แยกเขี้ยวใส่พร้อมส่งเสียงคำรามในลำคอ คลานได้ไม่เท่าไรร่างของซอมบี้ทหารก็ชะงัก เมื่อสายสะพายปืนซึ่งติดอยู่ที่รถล้อฉุดร่างของทหารไม่ให้ไปต่อ อินทัชเมื่อรวบรวมสติได้จึงกลั้นใจใช้ขวานที่ตนเองถือมาด้วยฟันฉับเข้าที่หัวซอมบี้ทหารเต็มแรง และฟันสายสะพายปืนให้ขาดออกจากกันก่อนคว้าเอาปืนกระบอกนั้นแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นรถแบบใจหายในคว่ำ
อินทัชตรวจดูลูกกระสุนที่อยู่ในปืน แล้วต้องสบถคำหยาบคายออกมาเมื่อเห็นว่าไม่มีกระสุนเหลืออยู่เลยสักลูก แล้วจะเอามาทำพระแสงหอกอะไรกัน เขาใช้มือตบพวงมาลัยอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะโยนปืนกระบอกนั้นออกนอกหน้าต่างรถ ก่อนเหยียบคันเร่งตะบึงรถต่อไปอย่างรวดเร็ว ทหารซอมบี้ตัวนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกมันไม่ได้กลัวน้ำตามที่เข้าใจกัน
เมื่อคิดถึงจุดนี้อินทัชก็เกิดหวาดหวั่นใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าซอมบี้จะบุกมาโจมตีเขาตอนไหนและถ้าพวกมันพากันแห่แหนมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือได้ยังไง เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ยิ่งเหยียบคันเร่ง เพิ่มความเร็วของรถมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับสายฝนที่เริ่มชาลง จากฝนห่าใหญ่กลายเป็นเพียงสายฝนเม็ดเล็กที่ตกเปาะแปะลงมาเท่านั้น
จึงทำให้วิสัยทัศน์ด้านหน้ามองเห็นชัดเจนขึ้น อินทัชเหยียบคันเร่ง หักพวงมาลัยหลบหลีกรถยนต์คันอื่นที่จอดขวางทาง สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซค์แบบผู้หญิงกำลังบิดไล่เร่งความเร็วตามหลังมา และพยายามโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้เขาหยุดรถ แต่ก็ไม่เป็นผลจึงกดแตรบีบไล่ตามหลัง
และเสียแตรนั่นเองทำให้อินทัชต้องมองหาต้นตอของเสียง เขามองกระจกมองหลัง จึงเห็นว่ามีมอเตอร์ไซค์กำลังขับไล่ตามมา คนขับเป็นผู้หญิงและมีคนซ้อนเป็นผู้ชาย…
หนึ่งเดือนก่อนเชื้อไวรัสระบาด
หลังจากเอกภพเขียนบทความการระบาดของโรคซิกาที่เกิดขึ้นในแถบลาตินอเมริกา โดยบราซิลเป็นประเทศที่มีการระบาดอย่างรุนแรงมากที่สุด ในบทความได้บอกวิธีป้องกัน วิธีการรับมือ และอาการของคนที่มีโอกาสจะเป็นโรคซิกาเพื่อให้คนที่อ่านบทความนี้ได้รับข้อมูลข่าวสารซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนในประเทศไม่มากก็น้อย
ทันทีที่เขาเขียนบทความนี้เสร็จตามเวลาที่กำหนด เอกภพถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกและรู้สึกตัวเบาขึ้นมา หลังจากที่ต้องสืบค้นหาข้อมูลสำคัญเพื่อมาเขียนบทความอยู่หลายวัน เขาจัดการส่งอีเมล์ให้บรรณาธิการอย่างไม่รอช้า อีกสองวันนับจากนี้บทความของเขาจะไปปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ สิ่งนี้มันเป็นความสุขและความภูมิใจในชีวิตการทำงาน เมื่อได้เขียนบทความลงในคอลัมน์ที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ และเขารู้ดีว่ามันยากเย็นสักแค่ไหนกว่าจะมีพื้นที่เล็กๆเป็นของตัวเองบนหน้าหนังสือพิมพ์
เอกภพทุ่มเททำงานในการอาชีพนักข่าวอย่างไม่ย่อท้อ มีเรื่องราวมากมายที่เขาต้องนำมาเสนออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำงานไม่เป็นเวลา แม้แต่วันหยุด หากถูกโทรติดต่อให้มาทำข่าวเขาก็ต้องรีบมาอย่างไม่รอช้า เขาเริ่มต้นงานจากการเป็นตากล้องภาคสนาม ติดตามทำข่าวไปทั่วทุกพื้นที่ จึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่กับครอบครัว วันที่ลูกสาวฝาแฝดคลอดเขาก็ไม่ได้มาอยู่ดู เพราะต้องบินไปทำข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาล
เป็นเวลาหลายปีที่เขาต้องแบกกล้องบุกป่าฝ่าดงไปในพื้นทุรกันดาร และแม้มันจะเป็นงานที่เขารัก แต่มันกลับสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้เป็นภรรยา เพราะเธอต้องเลี้ยงลูกสองคนที่บ้านเพียงลำพัง เวลาเกิดเรื่องเธอเองก็ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร สามีก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน เธออยากให้เขาย้ายมาทำงานในสำนักงานจะได้ไม่ต้องเดินทางไหนไกลและมีเวลาให้ลูกบ้าง เขาเห็นด้วยกับเธอในเรื่องที่ต้องมีเวลาให้ลูกบ้าง เขาเคยขัดใจเธอหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เขาขอตามใจเธอสักครั้ง
เอกภพขอย้ายมาทำงานในออฟฟิศ เปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ทำงานภาคสนาม และอีกอย่างสภาพร่างกายของเขาเองก็ไม่เอื้ออำนวยกับงานลุยหนักภาคสนามอีกต่อไป เนื่องจากสามปีก่อนเขาประสบอุบัติเหตุรถชนจากการพยายามช่วยเหลือลูกหมาที่กำลังวิ่งข้ามถนน รถยนต์แล่นมาด้วยความเร็วเฉี่ยวชนเขาอย่างจัง
....