สวัสดีค่ะ พ่อแม่พี่น้องที่เคารพรัก ณ จุดๆนี้เรามาถึงตอนที่ 05 แล้วนะคะ
วันนี้เป็นวันที่ 4 ของเราที่ญี่ปุ่น วันที่ 23 กรกฎาคม 2559 ฤดูฝนผ่านไป ฤดูร้อนกำลังจะมาถึง
แผนการเดินทางของเราวันนี้ แรกเริ่มกะว่าจะไปแค่คายาบุคิ โนะ ซาโตะ(Kayabuki no sato) ที่เมืองมิยามะ(เกียวโต)
แต่เราทำเวลาเที่ยวได้ดีเหลือเกิน ทำลายทุกสถิติ เลยมีเวลาเหลือให้เราได้แวะเที่ยวในเกียวโตต่ออีกนิดหน่อย
เราเลยเลือกที่จะไปเที่ยววัดทอง หรือ วัดคินคะคุจิ(Kinkaku-ji) เพราะไหนๆก็ต้องต่อรถไฟกลับโอซาก้าที่สถานีเกียวโต
เลยไม่อยากเสียเที่ยว แถมมีเวลาเหลือๆด้วย ก็ไม่อยากให้เวลาต้องสูญเปล่า เที่ยวให้ทั่วๆเลยดีกว่าอ่ะเนอะ
การเดินทางไปที่มิยามะ ถามว่าลำบากมั๊ย? จะว่าลำบากก็ลำบากอยู่นิดหน่อยค่ะ...ยิ่งถ้าไปกลุ่มหลายคนนะ
เพราะต้องต่อรถไฟหลายที่มาก ขึ้นๆลงๆหลายสถานี แถมแต่ละที่มีเวลาให้วิ่งหาชานชาลาเพื่อขึ้นแค่ไม่กี่นาที
ย้ำว่าบางสถานี...วิ่งจนเหนื่อยเป็นสุนัขหอบแดดเลยก็มี เพราะกลัวขึ้นรถไฟไม่ทัน ถ้าพลาดรถไฟตามตารางเที่ยวรถไฟ
ที่เรากำหนดการเดินทางไว้ แปลว่าเราจะไปขึ้นรถบัสที่หน้าสถานี เพื่อเดินทางไปมิยามะไม่ทันด้วยเหมือนกัน(เรื่องใหญ่เลย)
ดังนั้น ระยะเวลา 2 ชั่วโมงในการเดินทางจากโอซาก้า จึงเป็นอะไรที่ต้องให้ความสำคัญกับเวลามากๆค่ะ
เราออกเดินทางจากสถานีชินอิมามิยะ นั่งรถไฟไปลงที่สถานีโอซาก้า เพื่อที่จะต่อรถไฟไปลงที่สถานีเกียวโต
เมื่อถึงสถานีเกียวโต เราก็ต้องต่อรถไฟไปลงที่สถานีโซโนเบะ(Sonobe Stn.) แล้วต่อรถไฟอีกขบวนเพื่อไปลงจุดหมายของเรา
นั่นคือ สถานีฮิโยชิ(Hiyoshi[Kyoto]) ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ เนื่องจากเราออกจากที่พัก 6 โมงเช้า
เลยมาถึงที่สถานีฮิโยชิประมาณ 8:40 น. โชคดีที่นี่มี Wifi Free เลยนั่งเล่นรอรถบัสได้สบายๆเลยอ่ะ ^___^
มาทันรถบัสรอบ 9:05 น.พอดีเลยอ่ะ รถบัสที่นี่มีเป็นรถของนันทันบัสสึ(Nantan bus) ใช้ระบบจ่ายเป็นเหรียญนะคะ
ใครที่ไม่มีเหรียญก็แลกบนรถได้(เครื่องแลกเหรียญ) จ่ายให้ครบพอดีตามจำนวนค่าโดยสารนะคะ ป้ายรถก็หน้าสถานีรถไฟเลย
รถที่นี่ออกตรงเวลามากๆ ตอนเราไปมีผู้โดยสารแค่ 2 คน แต่พอถึงเวลาออก เขาจะออกรถโดยไม่รอหรือลังเลอะไรเลย
ค่าโดยสารจากสถานีถึงมิยามะอยู่ที่ประมาณ 600 เยนค่ะ ใช้เวลาเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมง คนที่นี่ไม่ค่อยพูดอังกฤษนะคะ
คือ เราถามภาษาอังกฤษเขาก็ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ บางทีถามอังกฤษไปก็ทำหน้างงๆ เดชะบุญที่เราพอพูดญี่ปุ่นได้บ้าง(นิดหน่อย)
แต่ถ้าใครพูดญี่ปุ่นไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหานะคะ คนที่นี่น่ารักนะ เขาพยายามสื่อสารกับเราอยู่แล้วค่ะ..(อารมณ์เหมือนคนไทยเจอฝรั่งเลย)
ดังนั้นเรื่องภาษาไม่ต้องห่วง ใช้ภาษามือผสมๆได้ ถ้าให้ชัวร์ปริ้นรูปไปให้เขาดูเลยก็ได้ค่ะ ว่าเราต้องการเดินทางไปที่ไหน^^
หน้าตาของรถบัสค่ะ เราก็ขึ้นไปนั่งซักพัก พอ 9:05 น. รถก็ออกเลยค่ะ(ตรงเวลามั่กๆ) คนที่นี่เวลาคือเรื่องสำคัญค่ะ
บรรยากาศระหว่างทางก็จะเป็น ทุ่งนา แม่น้ำ ภูเขา ท้องฟ้าสีคราม เมืองเล็กๆที่อยู่ห่างกัน...บ่อน้ำพุร้อนก็มี ควันพุ่งโขมงเลย
ถึงแล้วค่าาาา เมืองมิยามะ! ก่อนลงรถคนขับบอกว่าขากลับให้ขึ้นฝั่งตรงข้ามนะ รถบัสจะหน้าตาแบบนี้นะ ดูป้าย ดูเวลาด้วยนะ
คือเขาเห็นเรามาคนเดียว คนขับรถไฟหรือรถบัสหรือพนักงานบริการของที่นี่จะใส่ใจรายละเอียดเป็นอย่างดีค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ค่อยชินเลยเนาะ
พอลงตรงป้ายรถบัสหันหน้ามาก็จะพบกับหมู่บ้านที่มีหลังคาทรง Kayabuki อยู่เบื้องหน้า...ที่นี่เขาพยายามอนุรักษ์เอาไว้ค่ะ ดีจังเลย
ว่าแล้วก็เดินสู้แดดเข้าหมู่บ้าน(ดีที่พกร่มมาด้วย) เนื่องจากฤดูนี้เป็นฤดูแห่งดอกไม้และพืชพรรณ คนที่นี่ทำการเกษตรช่วงหน้าร้อน
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ผลไม้ ผัก หรือพืชผลทางการเกษตรจะละลานตาเต็มพื้นที่ไปหมด กลิ่นอายแบบชนบทญี่ปุ่นดั้งเดิมขนานแท้เลยค่ะ
แถมยังโชคดีเจอดอกอะจิไซ(ไฮเดรนเยีย)ที่ยังบานอยู่ ซึ่งปกติจะบานช่วงกลางเดือน มิ.ย. ถึงกลางเดือน ก.ค. เท่านั้น...โชคดีจังเลย
เราเดินมาซักพักก็พบกระท่อมที่มุมหลังคาแบบคายาบุกิ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การมุงหลังคาของบ้านทางเหนือของเกียวโต
หลังคาที่นี่จะมีทรงสูง(คล้ายๆหลังคาทางภาคเหนือของบ้านเราเหมือนกันนะ) แต่จะมุงหลังคาด้วยหญ้าหรือฟาง...มีสันหลังคายกสูง
หมู่บ้านที่นี่ยังมีคนอยู่ในบ้านและใช้ชีวิตกันตามปกติ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะเดินเข้าบ้านไหนก็ได้นะคะ มีบางแห่งที่เปิดให้เข้าชมเท่านั้น
ถ้าใครอยากเข้าไปชมด้านในจริงๆก็ไปชมได้ที่ Kayabuki no sato Folk Meseum นะคะ (แต่เราไม่ได้เข้าไปค่ะ)
คนอื่นเขาชมบ้านโบราณไป แต่เราร้อนมาก เลยแอบแวะไปจิบเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟในหมู่บ้าน(แต่ไม่ได้กินกาแฟ)
พนักงานที่นี่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยเหมือนกัน แต่เขาน่ารักนะ พยายามสื่อสารกับเรา...เราสั่งเมนู Miyama Smoothie ไป
ไอ้เราก็ไม่คาใจละนะ คิดว่าคงเป็นน้ำผลไม้ปั่น แต่ไม่ได้ซีเรียสว่าจะเอาอะไรมาปั่นให้กิน...ให้เรากินไรเราก็กินอ่ะ(ฮา)
แต่พอมานั่งที่โต๊ะ เจ้าของร้านเดินตามมาพร้อมกับเมนูในมือ พยายามอธิบายว่ามันคือการนำบลูเบอร์รี่มาปั่นกับเบอรี่อื่นๆ เราก็โอเคๆ
ความใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆเราต้องขอยอมใจคนญี่ปุ่นจริงๆ หรือเราหยาบกระด้างเกินไป(อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ) ฮ่าๆ
พอหายเหนื่อยก็กางร่มเดินกันต่อค่ะ ด้านหน้าหมู่บ้านจะมีแม่น้ำไหลผ่าน แต่ฤดูนี้น้ำไม่เยอะ
ที่เยอะคือคนที่มาตกปลาค่ะ คนญี่ปุ่นชอบตกปลามาก โดยเฉพาะหน้าร้อนนี่สวรรค์ของนักตกปลาเลยค่ะ
แต่เราก็ไม่ได้ไปดูคนตกปลาหรอกค่ะ เราเดินๆชมรอบๆหมู่บ้านไปเรื่อยๆ เงียบสงบดีจริงๆ...บรรยากาศก็ดี
มาเดินคนเดียวก็เปลี่ยวใจบ้าง เพราะคนอื่นมาเป็นคู่ บ้างมาเป็นกลุ่ม ณ จุดนี้เราคิดถึงเพื่อนๆที่เมืองไทยเลย
ใครที่ชอบการ์ตูนเรื่อง Spirited Away ของค่าย Ghibli Studio ก็คงคุ้นตากับบ้านทรงคล้ายๆกัน
บรรยากาศคล้ายๆกัน นั่นคือ "บ้านของคุณยายเซะนิบะ" ฝาแฝดของคุณยายยูบาบะนั่นแหละค่ะ(ใครไม่รู้จักก็ขออภัยค่ะ)
บรรยากาศเหมือนสถานีที่ 6 สถานีก้นบึง(โหว!มีพลังมโนอันยอดเยี่ยม) แต่เราชอบที่นี่นะ เงียบสงบดี ^__^
ชนบทของแท้แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมจริงๆ ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและแม่น้ำ อากาศก็ดี๊ดี...สูดพลังธรรมชาติให้เต็มปอด
จนเราเดินวนรอบหมู่บ้านครบ 3 รอบ(เดินยังกะเวียนเทียน) เริ่มไม่มีอะไรดูละ เราก็เดินไปที่แม่น้ำต่อค่ะ
ระหว่างทางก็เจอทั้งต้นบ๊วยและต้นโมโมะ(ลูกท้อหรือลูกพีช) แข่งกันออกดอกออกผล อยู่ตามบ้านเรือนคน
บ้างก็ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด แต่งกวา มะเขือเทศ ฟักทอง...สารพัดที่สามารถปลูกได้ บางคนพอได้ผลผลิต
เขาก็จะนำมาตากแห้งไว้ประกอบอาหารกินตอนหน้าหนาวค่ะ เพราะฤดูหนาวคือหิมะขาวโพลน ปลูกอะไรไม่ได้เลย
เจอแม่น้ำแล้วค่ะ หนุ่มๆสาวๆก็มาเดินเล่นปั่นจักรยานกัน บางคนก็มาตกปลา ตั้งแคมป์กันกับครอบครับและเพื่อนๆ
ถึงแม่น้ำ เราก็พบกับบรรยากาศที่เข้าถึงคำว่า "พลังธรรมชาติ" อย่างแท้จริงค่ะ ...อารมณ์แบบสวิสเซอร์แลนด์เลย
ช่วงนี้ดอกไม้ใบหญ้าออกดอกและมีสีเขียวขจี ท้องฟ้าก็สดใส ภูเขา แม่น้ำ...ความอุดมสมบูรณ์มันเป็นอบบนี้นี่เอง
เดินชมดอกเดซี่ที่เป็นดอกไม้โปรดเสร็จ ก็ก้มดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ก็เที่ยงกว่าแล้วค่ะ
รถบัสเข้าเมืองกำลังจะมา เลยต้องเดินไปรอที่ป้ายรถบัส และกล่าวอำลาเมืองที่เงียบสงบแห่งนี้กันแล้วค่ะ
เรามาลงที่สถานีฮิโยชิเหมือนเดิม แล้วขึ้นรถไฟเพื่อไปลงที่สถานีเกียวโต เราคำนวณแล้วว่าเรามีเวลามากพอ
ให้ไปเที่ยววัดคินคะคุจิ จากกำหนดการเดิมที่จะไปวันพรุ่งนี้ แต่เนื่องจากพรุ่งนี้มีเทศกาลใหญ่ของเมืองเกียวโต
คือเทศกาลจิอน(Gion Matsuri) ซึ่งผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะแห่เข้ามาเที่ยวงานเทศกาลนี้ที่เกียวโต(รวมถึงเราด้วย)
แน่นอนว่าคนต้องเยอะมากๆ เราเลยคิดว่าวันนี้เวลาเหลือมากพอ ไปเที่ยววันนี้แหละ...เหมาะสมสุดแล้ว
เดี๋ยวเจอกันกระทู้หน้านะคะ "วัดคินคะคุจิ" ....ขอบคุณมากค่ะ
[CR] {A Little Girl in Wild World}#เด็กสาวกับกระท่อมโบราณ#Miyama#05#
วันนี้เป็นวันที่ 4 ของเราที่ญี่ปุ่น วันที่ 23 กรกฎาคม 2559 ฤดูฝนผ่านไป ฤดูร้อนกำลังจะมาถึง
แผนการเดินทางของเราวันนี้ แรกเริ่มกะว่าจะไปแค่คายาบุคิ โนะ ซาโตะ(Kayabuki no sato) ที่เมืองมิยามะ(เกียวโต)
แต่เราทำเวลาเที่ยวได้ดีเหลือเกิน ทำลายทุกสถิติ เลยมีเวลาเหลือให้เราได้แวะเที่ยวในเกียวโตต่ออีกนิดหน่อย
เราเลยเลือกที่จะไปเที่ยววัดทอง หรือ วัดคินคะคุจิ(Kinkaku-ji) เพราะไหนๆก็ต้องต่อรถไฟกลับโอซาก้าที่สถานีเกียวโต
เลยไม่อยากเสียเที่ยว แถมมีเวลาเหลือๆด้วย ก็ไม่อยากให้เวลาต้องสูญเปล่า เที่ยวให้ทั่วๆเลยดีกว่าอ่ะเนอะ
เพราะต้องต่อรถไฟหลายที่มาก ขึ้นๆลงๆหลายสถานี แถมแต่ละที่มีเวลาให้วิ่งหาชานชาลาเพื่อขึ้นแค่ไม่กี่นาที
ย้ำว่าบางสถานี...วิ่งจนเหนื่อยเป็นสุนัขหอบแดดเลยก็มี เพราะกลัวขึ้นรถไฟไม่ทัน ถ้าพลาดรถไฟตามตารางเที่ยวรถไฟ
ที่เรากำหนดการเดินทางไว้ แปลว่าเราจะไปขึ้นรถบัสที่หน้าสถานี เพื่อเดินทางไปมิยามะไม่ทันด้วยเหมือนกัน(เรื่องใหญ่เลย)
ดังนั้น ระยะเวลา 2 ชั่วโมงในการเดินทางจากโอซาก้า จึงเป็นอะไรที่ต้องให้ความสำคัญกับเวลามากๆค่ะ
เมื่อถึงสถานีเกียวโต เราก็ต้องต่อรถไฟไปลงที่สถานีโซโนเบะ(Sonobe Stn.) แล้วต่อรถไฟอีกขบวนเพื่อไปลงจุดหมายของเรา
นั่นคือ สถานีฮิโยชิ(Hiyoshi[Kyoto]) ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ เนื่องจากเราออกจากที่พัก 6 โมงเช้า
เลยมาถึงที่สถานีฮิโยชิประมาณ 8:40 น. โชคดีที่นี่มี Wifi Free เลยนั่งเล่นรอรถบัสได้สบายๆเลยอ่ะ ^___^
ใครที่ไม่มีเหรียญก็แลกบนรถได้(เครื่องแลกเหรียญ) จ่ายให้ครบพอดีตามจำนวนค่าโดยสารนะคะ ป้ายรถก็หน้าสถานีรถไฟเลย
รถที่นี่ออกตรงเวลามากๆ ตอนเราไปมีผู้โดยสารแค่ 2 คน แต่พอถึงเวลาออก เขาจะออกรถโดยไม่รอหรือลังเลอะไรเลย
ค่าโดยสารจากสถานีถึงมิยามะอยู่ที่ประมาณ 600 เยนค่ะ ใช้เวลาเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมง คนที่นี่ไม่ค่อยพูดอังกฤษนะคะ
คือ เราถามภาษาอังกฤษเขาก็ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ บางทีถามอังกฤษไปก็ทำหน้างงๆ เดชะบุญที่เราพอพูดญี่ปุ่นได้บ้าง(นิดหน่อย)
แต่ถ้าใครพูดญี่ปุ่นไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหานะคะ คนที่นี่น่ารักนะ เขาพยายามสื่อสารกับเราอยู่แล้วค่ะ..(อารมณ์เหมือนคนไทยเจอฝรั่งเลย)
ดังนั้นเรื่องภาษาไม่ต้องห่วง ใช้ภาษามือผสมๆได้ ถ้าให้ชัวร์ปริ้นรูปไปให้เขาดูเลยก็ได้ค่ะ ว่าเราต้องการเดินทางไปที่ไหน^^
คือเขาเห็นเรามาคนเดียว คนขับรถไฟหรือรถบัสหรือพนักงานบริการของที่นี่จะใส่ใจรายละเอียดเป็นอย่างดีค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ค่อยชินเลยเนาะ
พอลงตรงป้ายรถบัสหันหน้ามาก็จะพบกับหมู่บ้านที่มีหลังคาทรง Kayabuki อยู่เบื้องหน้า...ที่นี่เขาพยายามอนุรักษ์เอาไว้ค่ะ ดีจังเลย
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ผลไม้ ผัก หรือพืชผลทางการเกษตรจะละลานตาเต็มพื้นที่ไปหมด กลิ่นอายแบบชนบทญี่ปุ่นดั้งเดิมขนานแท้เลยค่ะ
แถมยังโชคดีเจอดอกอะจิไซ(ไฮเดรนเยีย)ที่ยังบานอยู่ ซึ่งปกติจะบานช่วงกลางเดือน มิ.ย. ถึงกลางเดือน ก.ค. เท่านั้น...โชคดีจังเลย
หลังคาที่นี่จะมีทรงสูง(คล้ายๆหลังคาทางภาคเหนือของบ้านเราเหมือนกันนะ) แต่จะมุงหลังคาด้วยหญ้าหรือฟาง...มีสันหลังคายกสูง
หมู่บ้านที่นี่ยังมีคนอยู่ในบ้านและใช้ชีวิตกันตามปกติ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะเดินเข้าบ้านไหนก็ได้นะคะ มีบางแห่งที่เปิดให้เข้าชมเท่านั้น
พนักงานที่นี่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยเหมือนกัน แต่เขาน่ารักนะ พยายามสื่อสารกับเรา...เราสั่งเมนู Miyama Smoothie ไป
ไอ้เราก็ไม่คาใจละนะ คิดว่าคงเป็นน้ำผลไม้ปั่น แต่ไม่ได้ซีเรียสว่าจะเอาอะไรมาปั่นให้กิน...ให้เรากินไรเราก็กินอ่ะ(ฮา)
แต่พอมานั่งที่โต๊ะ เจ้าของร้านเดินตามมาพร้อมกับเมนูในมือ พยายามอธิบายว่ามันคือการนำบลูเบอร์รี่มาปั่นกับเบอรี่อื่นๆ เราก็โอเคๆ
ความใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆเราต้องขอยอมใจคนญี่ปุ่นจริงๆ หรือเราหยาบกระด้างเกินไป(อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ) ฮ่าๆ
ที่เยอะคือคนที่มาตกปลาค่ะ คนญี่ปุ่นชอบตกปลามาก โดยเฉพาะหน้าร้อนนี่สวรรค์ของนักตกปลาเลยค่ะ
แต่เราก็ไม่ได้ไปดูคนตกปลาหรอกค่ะ เราเดินๆชมรอบๆหมู่บ้านไปเรื่อยๆ เงียบสงบดีจริงๆ...บรรยากาศก็ดี
มาเดินคนเดียวก็เปลี่ยวใจบ้าง เพราะคนอื่นมาเป็นคู่ บ้างมาเป็นกลุ่ม ณ จุดนี้เราคิดถึงเพื่อนๆที่เมืองไทยเลย
บรรยากาศคล้ายๆกัน นั่นคือ "บ้านของคุณยายเซะนิบะ" ฝาแฝดของคุณยายยูบาบะนั่นแหละค่ะ(ใครไม่รู้จักก็ขออภัยค่ะ)
บรรยากาศเหมือนสถานีที่ 6 สถานีก้นบึง(โหว!มีพลังมโนอันยอดเยี่ยม) แต่เราชอบที่นี่นะ เงียบสงบดี ^__^
ชนบทของแท้แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมจริงๆ ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและแม่น้ำ อากาศก็ดี๊ดี...สูดพลังธรรมชาติให้เต็มปอด
จนเราเดินวนรอบหมู่บ้านครบ 3 รอบ(เดินยังกะเวียนเทียน) เริ่มไม่มีอะไรดูละ เราก็เดินไปที่แม่น้ำต่อค่ะ
บ้างก็ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด แต่งกวา มะเขือเทศ ฟักทอง...สารพัดที่สามารถปลูกได้ บางคนพอได้ผลผลิต
เขาก็จะนำมาตากแห้งไว้ประกอบอาหารกินตอนหน้าหนาวค่ะ เพราะฤดูหนาวคือหิมะขาวโพลน ปลูกอะไรไม่ได้เลย
ช่วงนี้ดอกไม้ใบหญ้าออกดอกและมีสีเขียวขจี ท้องฟ้าก็สดใส ภูเขา แม่น้ำ...ความอุดมสมบูรณ์มันเป็นอบบนี้นี่เอง
รถบัสเข้าเมืองกำลังจะมา เลยต้องเดินไปรอที่ป้ายรถบัส และกล่าวอำลาเมืองที่เงียบสงบแห่งนี้กันแล้วค่ะ
ให้ไปเที่ยววัดคินคะคุจิ จากกำหนดการเดิมที่จะไปวันพรุ่งนี้ แต่เนื่องจากพรุ่งนี้มีเทศกาลใหญ่ของเมืองเกียวโต
คือเทศกาลจิอน(Gion Matsuri) ซึ่งผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะแห่เข้ามาเที่ยวงานเทศกาลนี้ที่เกียวโต(รวมถึงเราด้วย)
แน่นอนว่าคนต้องเยอะมากๆ เราเลยคิดว่าวันนี้เวลาเหลือมากพอ ไปเที่ยววันนี้แหละ...เหมาะสมสุดแล้ว
เดี๋ยวเจอกันกระทู้หน้านะคะ "วัดคินคะคุจิ" ....ขอบคุณมากค่ะ
V
V
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้