คนที่เดินบนเส้นทางการเมืองที่ยาวนานที่สุดและยังคงยืนหยัดอยู่ได้ในปัจจุบันเห็นจะไม่มีใครเกินรัฐบุรุษอย่างพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หลายท่านอาจจะลืมไปแล้วว่าป๋าเปรมได้รับแต่งตั้งเป็นสนช. ตั้งแต่ยุคท่านจอมพลสฤษดิ์ปี 2502 ในขณะที่เป็นทหาร จากนั้นก็ดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันชนิดที่ไม่มีใครในวงการเมืองทำได้อย่างป๋า ในแวดวงทหารก็เช่นกัน นอกเหนือจากราชนิกุลแล้วดูเหมือนว่าป๋าเปรมเป็นพลเรือนคนเดียวที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพลเอกทั้งสามเหล่าทัพ อาจเรียกได้ว่าบรรดาตำแหน่งที่ทรงอำนาจสูงสุดทั่วฟ้าเมืองเมืองไทย การเมือง การทหาร หรือแม้แต่การเศรษฐกิจที่เหล่าบรรดาธนาคารต่างๆ ใส่พานมายื่นให้ป๋าเปรม ป๋าเปรมล้วนคว้ามาครองเกือบจะทั้งหมด
ในระยะเวลาเกือบสามสิบปีที่ผ่านมารังสีแห่งอำนาจของป๋าแผ่ปกคลุมแทบจะทุกอณูส่วนของการเมือง ใครเลยจะเชื่อว่าในบางครั้ง เพียงแค่อาการ “งอน” ของชายสูงอายุคนหนึ่งจะทำให้การเมืองสั่นสะเทือนในระดับริกเตอร์ที่พุ่งสูงปรี๊ด จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองระดับประเทศได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่แค่ตัวอย่าง “รังสีแห่งอำนาจ” ที่สาธารณะสามารถเห็นและรับรู้ได้ แล้วในส่วนที่ยังไม่สำแดงหรือปกปิดเอาไว้เล่า?? ลองหลับตานึกภาพดู??
ป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีมาอย่างยาวนาน โดยที่ไม่ได้ลงแข่งขันเลือกตั้งให้เสียเหงื่อสักครั้งเดียว หากใครกำลังมองหาปุถุชนที่มีบุญวาสนาสูงส่งไม่ต้องมองอื่นไกล ท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์นี่แหละคือคนที่มีบุญวาสนาที่สุดที่เมืองไทยเคยมีมา แม้อายุจะปูนนี้ ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ตำแหน่ง ผบทบ. มรว.กลาโหม และนายกรัฐมนตรีได้กลายเป็นตำแหน่งที่เล็กไปแล้วสำหรับชายคนนี้ วลี “ผมพอแล้ว” ในครั้งที่ตอบพลเอกชาติชายตอนยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใส่พานไปให้ท่านนั้น บ่งบอกได้สองนัยยะ นัยยะแรกนั้นท่านอาจจะหมายถึงว่าท่านพอแล้วจริงๆ ส่วนอีกนัยยะหนึ่ง คือท่านกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าและมีอำนาจกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสองนัยยะนี้เป็นchoice ให้ท่านผู้อ่านเลือกพิจาราณาเอาเองว่าท่านกำลังคิดอะไรหรือได้คิดอะไรไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่อตอบปฏิเสธตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พลเอกเปรมได้สร้างและทิ้งความสำเร็จไว้มากมายให้นายทหารรุ่นน้องหลายคนและหลายรุ่นพยายามที่จะ “วัดรอยเท้า” แต่ก็ไม่เคยมีใครไปถึงดวงดาวสักคน แม้ระดับ “ขงเบ้ง” มันสมองแห่งกองทัพในยุคนั้นอย่างบิ๊กจิ๋วที่เคยเป็นพลังขับที่ส่งพลเอกเปรมเป็นดาวค้างฟ้าอยู่ทุกวันนี้ รวมไปถึงเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา หรือบิ๊กซันพลเอกอาทิตย์กำลังเอก เหล่านี้เป็นนายทหารรุ่นน้องที่พยายามวัดรอยเท้า ทาบรัศมี หรือปีนเกลียวอะไรก็แล้วแต่สุดที่จะเรียก แต่ไม่เคยมีใครเทียบป๋าเปรมได้เลย
เกือบครึ่งหนึ่งของความสำเร็จของป๋าอยู่ที่แบ็คอัพอันแข็งแกร่ง มีแบ็คอัพดีก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่ายุคสมัยนั้นเป็นยุคที่ข่าวสารและการแพร่กระจายของข่าวสารทางการเมืองเป็นไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับปัจจุบัน รวมไปถึงการ “ส่งข่าวสารไม่หมดและลำเอียง” ของสื่อด้วย ในโลกปัจจุบัน...หากใครที่คิดจะวัดรอยเท้าพลเอกเปรมคงยากที่เรียกได้ว่า MISSION IMPOSSIBLE ก็ว่าได้
ที่สำคัญ ป๋าเปรมมี “ปลัดฮิ” คือนายพิศาล มูลศาสตร์สาธรเป็นคอยโปรยกลีบกุหลาบบนทางเดินให้ป๋า แต่สำหรับท่านมีไก่อูคอยโปรยเรือใบให้ท่าน คงไปถึงฝั่งฝันลำบาก สู้ สู้ ครับครับท่าน.....เอาให้ถึงแปดปีให้ได้นะครับ
...ฤาจะเป็น Mission Impossible? สู้ สู้ ครับท่าน...
ในระยะเวลาเกือบสามสิบปีที่ผ่านมารังสีแห่งอำนาจของป๋าแผ่ปกคลุมแทบจะทุกอณูส่วนของการเมือง ใครเลยจะเชื่อว่าในบางครั้ง เพียงแค่อาการ “งอน” ของชายสูงอายุคนหนึ่งจะทำให้การเมืองสั่นสะเทือนในระดับริกเตอร์ที่พุ่งสูงปรี๊ด จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองระดับประเทศได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่แค่ตัวอย่าง “รังสีแห่งอำนาจ” ที่สาธารณะสามารถเห็นและรับรู้ได้ แล้วในส่วนที่ยังไม่สำแดงหรือปกปิดเอาไว้เล่า?? ลองหลับตานึกภาพดู??
ป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีมาอย่างยาวนาน โดยที่ไม่ได้ลงแข่งขันเลือกตั้งให้เสียเหงื่อสักครั้งเดียว หากใครกำลังมองหาปุถุชนที่มีบุญวาสนาสูงส่งไม่ต้องมองอื่นไกล ท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์นี่แหละคือคนที่มีบุญวาสนาที่สุดที่เมืองไทยเคยมีมา แม้อายุจะปูนนี้ ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ตำแหน่ง ผบทบ. มรว.กลาโหม และนายกรัฐมนตรีได้กลายเป็นตำแหน่งที่เล็กไปแล้วสำหรับชายคนนี้ วลี “ผมพอแล้ว” ในครั้งที่ตอบพลเอกชาติชายตอนยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใส่พานไปให้ท่านนั้น บ่งบอกได้สองนัยยะ นัยยะแรกนั้นท่านอาจจะหมายถึงว่าท่านพอแล้วจริงๆ ส่วนอีกนัยยะหนึ่ง คือท่านกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าและมีอำนาจกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสองนัยยะนี้เป็นchoice ให้ท่านผู้อ่านเลือกพิจาราณาเอาเองว่าท่านกำลังคิดอะไรหรือได้คิดอะไรไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่อตอบปฏิเสธตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พลเอกเปรมได้สร้างและทิ้งความสำเร็จไว้มากมายให้นายทหารรุ่นน้องหลายคนและหลายรุ่นพยายามที่จะ “วัดรอยเท้า” แต่ก็ไม่เคยมีใครไปถึงดวงดาวสักคน แม้ระดับ “ขงเบ้ง” มันสมองแห่งกองทัพในยุคนั้นอย่างบิ๊กจิ๋วที่เคยเป็นพลังขับที่ส่งพลเอกเปรมเป็นดาวค้างฟ้าอยู่ทุกวันนี้ รวมไปถึงเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา หรือบิ๊กซันพลเอกอาทิตย์กำลังเอก เหล่านี้เป็นนายทหารรุ่นน้องที่พยายามวัดรอยเท้า ทาบรัศมี หรือปีนเกลียวอะไรก็แล้วแต่สุดที่จะเรียก แต่ไม่เคยมีใครเทียบป๋าเปรมได้เลย
เกือบครึ่งหนึ่งของความสำเร็จของป๋าอยู่ที่แบ็คอัพอันแข็งแกร่ง มีแบ็คอัพดีก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่ายุคสมัยนั้นเป็นยุคที่ข่าวสารและการแพร่กระจายของข่าวสารทางการเมืองเป็นไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับปัจจุบัน รวมไปถึงการ “ส่งข่าวสารไม่หมดและลำเอียง” ของสื่อด้วย ในโลกปัจจุบัน...หากใครที่คิดจะวัดรอยเท้าพลเอกเปรมคงยากที่เรียกได้ว่า MISSION IMPOSSIBLE ก็ว่าได้
ที่สำคัญ ป๋าเปรมมี “ปลัดฮิ” คือนายพิศาล มูลศาสตร์สาธรเป็นคอยโปรยกลีบกุหลาบบนทางเดินให้ป๋า แต่สำหรับท่านมีไก่อูคอยโปรยเรือใบให้ท่าน คงไปถึงฝั่งฝันลำบาก สู้ สู้ ครับครับท่าน.....เอาให้ถึงแปดปีให้ได้นะครับ