เรารวบรวมปัญหาต่างๆ ในเรื่องการเตรียมงานแต่งงานมาให้ จากประสบการณ์ของเรา
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ลูกค้าถามบ่อยๆ และเป็นปัญหาซ้ำๆ
อาจจะยาวหน่อย ลองอ่านดูเผื่อจะเป็นประโยชน์ค่ะ
1. ทำไมต้องจองโรงแรมกันข้ามปี
- วันที่เป็นวันฤกษ์ดี จะมีคนแต่งเยอะ ใครจองก่อนก็ได้ก่อน อีกปัญหาถ้าจองวันมหานิยมแล้วแขกคุณเยอะรีบๆ จองเลยค่ะ เดี๋ยวโรงแรมจะเหลือแต่
ห้องขนาดเล็กไว้ให้
ตัวอย่าง : อีกสามเดือนครึ่งจะแต่งงาน แขก 470 คน หาโรงแรมไม่ได้ ต้องไปจัดที่หอประชุมโรงเรียนแทน ตอนส่งเจ้าสาวไปดูสถานที่ ตอนแรกไม่
พอใจอย่างแรง แต่ก็ต้องเอาเพราะถ้าจะไปที่อื่น ก็เต็ม หรือไม่ก็ไม่มีที่จอดรถให้แขก
2. อยากรู้ข้อมูลแพคเกจของโรงแรมต่างๆ จะได้เอามาเปรียบเทียบ
- อันนี้แนะนำให้ถามเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่คุณติดต่ออยู่ เพราะเค้าจัดงานมาบ่อย เค้าจะรู้ว่าโรงแรมนี้รับได้กี่คน มีที่จอดรถไหม มีอาหารแบบ
สถานที่จะปิดกี่โมง จัดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ได้หรือเปล่า? ข้อมูลทีมีจะช่วยกรองออกไปส่วนหนึ่ง ไม่ต้องเสียเวลาโทรหว่านเอา
แต่ถ้าไม่ได้ใช้แพลนเนอร์ ลองหาดูเอาตามเว็บ หรือส่งอีเมล์ไปที่ๆ เราอยากรู้เลยค่ะ แล้วโทรสอบถามวันว่าง เพื่อเข้าดูสถานที่ได้เลยค่ะ
* บางแพลนเนอร์ไม่ได้มีบริการนี้ สอบถามก่อนนะคะ
3. ทำไมถึงชิมอาหารของโรงแรมไม่ได้ จ่ายเงินแล้วต้องได้ชิมสิ (อันนี้บ่อยมาก)
- บางโรงแรมถ้าจำนวนโต๊ะน้อยเกินไป เค้าจะไม่มีบริการชิมอาหารนะคะ หรือบางทีก็ไม่มีเลย หากต้องการชิมอาหารต้องสอบถามก่อนนะคะ
ว่าเค้ามีบริการนี้หรือเปล่า เพราะการชิมทุกครั้งเค้าจะต้องซื้อวัตถุดิบมาเพื่อเราโดยเฉพาะ และของบางอย่างถ้าทำน้อยๆ ก็ไม่คุ้มค่ะ
4. ต้องการประหยัดงบ ตัดอะไรหรือลดราคาอะไรได้บ้าง
- ของที่ไม่แนะนำให้ถูกเกินไปคือ อาหาร, ช่างแต่งหน้าและช่างภาพค่ะ เพราะอาหารเป็นของที่เป็นหน้าเป็นตา, ช่างแต่งหน้าคือคนที่จะทำให้คุณ
ดูดีไปทั้งวัน ถ่ายรูปออกมาแล้วสวย แต่งงานทั้งที ถ่ายรูปออกมาหน้าขาววอกไม่ดีแน่ค่ะ และที่สำคัญช่างภาพค่ะ
เค้าจะถ่ายสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของคุณตลอดไป ช่างที่ถูกและดีก็มี แต่ช่างที่แพงส่วนมากอุปกรณ์เค้าจะครบกว่า
สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือภาพโปรไฟล์ของเค้าว่าตรงกับแนวที่คุณชอบหรือไม่? และเงินที่จ่ายไปคุ้มหรือเปล่า?
- ของที่ประหยัดงบได้ คือ การจัดตกแต่งสถานที่ ของชำร่วยและการ์ดค่ะ แต่ไม่ใช่ไม่มีเลยนะคะ แต่ของพวกนี้ราคาหลากหลายค่ะ
เราเลือกในเรทราคาที่เราอยากได้ หรืออาจจะเลือกทำเองก็ได้ค่ะ
5. ควรเริ่มเตรียมงานแต่งงานเมื่อไหร่
- เต็มที่ 1 ปีค่ะ / ด่วนสุด 1 เดือน
ตัวอย่าง : เจ้าสาวจะไปเมืองนอก พ่อกับแม่อยากให้แต่งงานไว้ก่อน มาหาเราตอน ประมาณ 1 เดือนก่อนงานแต่ง ต้องจัดเวลาให้เค้ามาหาเรา
ให้ได้ประมาณ 4 วันต่ออาทิตย์ แต่งานก็จัดใหญ่ไม่ได้ เชิญแขกไม่ทันและไม่ได้เลือกอะไรมากนัก เพราะของบางอย่างต้องใช้เวลาทำ
6. ถ่ายพรีเวดดิ้งเมื่อไหร่
- ก่อนหน้างานประมาณ 2 เดือน ให้เวลาช่างภาพได้แต่งรูปเพื่อใช้ในงาน เผื่อเวลาให้พิมพ์โฟโต้บุ๊ค เพราะช่างภาพบางท่าน เค้าไม่ได้มีเราเป็น
ลูกค้าเพียงคู่เดียว
7. จัดงานเองกับใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์อันไหนถูกกว่ากัน
- ตอบยาก เพราะรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แนะนำแบบนี้ดีกว่าค่ะ
* จัดเอง ก็จะได้แบบที่อยากได้ ไม่เหมือนใคร แล้วก็ภูมิใจด้วยค่ะ แต่งบมักจะบานปลาย และค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมีปัญหาเรื่องการประสานงาน
* ใช้แพลนเนอร์ มักจะได้ครบ งบไม่บาน แต่บางทีก็จะเป็นแบบซ้ำๆ ให้เลือก หรืออาจจะต้องใช้ของต่อคู่อื่น ถ้างบจำกัดพยายาม
เลือกเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่มีบริการเหมารวมทุกอย่าง อย่าแยกเป็นอย่างๆ เพราะส่วนใหญ่มักจะแพงกว่าเดิม
* จัดเองบางส่วน ใช้แพลนเนอร์บางส่วน อันนี้จะยุ่งยากในการหาข้อมูล แต่ได้แบบที่อยากได้ งบบานนิดหน่อย
เพราะส่วนใหญ่จะดูราคาแพคเกจมาแล้ว
ตัวอย่าง : (อันนี้ไม่ใช่ประสบการณ์ตรงนะคะ งานแต่งเพื่อน) เวดดิ้งเสนอแพคเกจชุดงานเย็น 1 คู่ + พร้อมแต่งหน้าทำผม + แพคเกจทำหน้า
/ เล็บทั้งบ่าวสาว ราคา 19,999 เพื่อนคิดว่าค่าสปาหน้าเล็บไม่ได้แพงขนาดนั้น และไม่จำเป็นเลยไม่เอา - สุดท้ายค่าชุดงานเย็น 1 คู่
12,000 บาท ค่าแต่งหน้าวันงาน 1 คิว 6,500 บาท สปาหน้า + เล็บ (สุดท้ายก็ตัดสินใจทำ) 3,750 บาท
ที่สำคัญคือชุดกับผมไม่ได้ไปทางเดียวกัน และนางก็บ่นว่าเฮ้ย ที่เกินมานี่จ่ายค่าการ์ดได้เลยนะเฟร้ย!!!!!!
มีอีกเยอะค่ะ คำถามแบบนี้ ใครอยากจะถามอะไรก็คอมเมนต์ทิ้งไว้ได้นะคะ
หรือเจอปัญหาอะไร ก็มาแชร์กันก็ได้ค่ะ
ตอนนี้ขอไปทำงานต่อก่อน ถ้ามีคนอ่านเดี๋ยวเย็นๆ จะมาอัพเดท คำถามยอดฮิตอื่นๆ อีก
ขอบคุณค่ะที่อ่านค่ะ
คำถามเรื่องการเตรียมงานแต่งงาน จากใจเวดดิ้งแพลนเนอร์ ให้บ่าวสาวค่ะ
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ลูกค้าถามบ่อยๆ และเป็นปัญหาซ้ำๆ
อาจจะยาวหน่อย ลองอ่านดูเผื่อจะเป็นประโยชน์ค่ะ
1. ทำไมต้องจองโรงแรมกันข้ามปี
- วันที่เป็นวันฤกษ์ดี จะมีคนแต่งเยอะ ใครจองก่อนก็ได้ก่อน อีกปัญหาถ้าจองวันมหานิยมแล้วแขกคุณเยอะรีบๆ จองเลยค่ะ เดี๋ยวโรงแรมจะเหลือแต่
ห้องขนาดเล็กไว้ให้
ตัวอย่าง : อีกสามเดือนครึ่งจะแต่งงาน แขก 470 คน หาโรงแรมไม่ได้ ต้องไปจัดที่หอประชุมโรงเรียนแทน ตอนส่งเจ้าสาวไปดูสถานที่ ตอนแรกไม่
พอใจอย่างแรง แต่ก็ต้องเอาเพราะถ้าจะไปที่อื่น ก็เต็ม หรือไม่ก็ไม่มีที่จอดรถให้แขก
2. อยากรู้ข้อมูลแพคเกจของโรงแรมต่างๆ จะได้เอามาเปรียบเทียบ
- อันนี้แนะนำให้ถามเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่คุณติดต่ออยู่ เพราะเค้าจัดงานมาบ่อย เค้าจะรู้ว่าโรงแรมนี้รับได้กี่คน มีที่จอดรถไหม มีอาหารแบบ
สถานที่จะปิดกี่โมง จัดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ได้หรือเปล่า? ข้อมูลทีมีจะช่วยกรองออกไปส่วนหนึ่ง ไม่ต้องเสียเวลาโทรหว่านเอา
แต่ถ้าไม่ได้ใช้แพลนเนอร์ ลองหาดูเอาตามเว็บ หรือส่งอีเมล์ไปที่ๆ เราอยากรู้เลยค่ะ แล้วโทรสอบถามวันว่าง เพื่อเข้าดูสถานที่ได้เลยค่ะ
* บางแพลนเนอร์ไม่ได้มีบริการนี้ สอบถามก่อนนะคะ
3. ทำไมถึงชิมอาหารของโรงแรมไม่ได้ จ่ายเงินแล้วต้องได้ชิมสิ (อันนี้บ่อยมาก)
- บางโรงแรมถ้าจำนวนโต๊ะน้อยเกินไป เค้าจะไม่มีบริการชิมอาหารนะคะ หรือบางทีก็ไม่มีเลย หากต้องการชิมอาหารต้องสอบถามก่อนนะคะ
ว่าเค้ามีบริการนี้หรือเปล่า เพราะการชิมทุกครั้งเค้าจะต้องซื้อวัตถุดิบมาเพื่อเราโดยเฉพาะ และของบางอย่างถ้าทำน้อยๆ ก็ไม่คุ้มค่ะ
4. ต้องการประหยัดงบ ตัดอะไรหรือลดราคาอะไรได้บ้าง
- ของที่ไม่แนะนำให้ถูกเกินไปคือ อาหาร, ช่างแต่งหน้าและช่างภาพค่ะ เพราะอาหารเป็นของที่เป็นหน้าเป็นตา, ช่างแต่งหน้าคือคนที่จะทำให้คุณ
ดูดีไปทั้งวัน ถ่ายรูปออกมาแล้วสวย แต่งงานทั้งที ถ่ายรูปออกมาหน้าขาววอกไม่ดีแน่ค่ะ และที่สำคัญช่างภาพค่ะ
เค้าจะถ่ายสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของคุณตลอดไป ช่างที่ถูกและดีก็มี แต่ช่างที่แพงส่วนมากอุปกรณ์เค้าจะครบกว่า
สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือภาพโปรไฟล์ของเค้าว่าตรงกับแนวที่คุณชอบหรือไม่? และเงินที่จ่ายไปคุ้มหรือเปล่า?
- ของที่ประหยัดงบได้ คือ การจัดตกแต่งสถานที่ ของชำร่วยและการ์ดค่ะ แต่ไม่ใช่ไม่มีเลยนะคะ แต่ของพวกนี้ราคาหลากหลายค่ะ
เราเลือกในเรทราคาที่เราอยากได้ หรืออาจจะเลือกทำเองก็ได้ค่ะ
5. ควรเริ่มเตรียมงานแต่งงานเมื่อไหร่
- เต็มที่ 1 ปีค่ะ / ด่วนสุด 1 เดือน
ตัวอย่าง : เจ้าสาวจะไปเมืองนอก พ่อกับแม่อยากให้แต่งงานไว้ก่อน มาหาเราตอน ประมาณ 1 เดือนก่อนงานแต่ง ต้องจัดเวลาให้เค้ามาหาเรา
ให้ได้ประมาณ 4 วันต่ออาทิตย์ แต่งานก็จัดใหญ่ไม่ได้ เชิญแขกไม่ทันและไม่ได้เลือกอะไรมากนัก เพราะของบางอย่างต้องใช้เวลาทำ
6. ถ่ายพรีเวดดิ้งเมื่อไหร่
- ก่อนหน้างานประมาณ 2 เดือน ให้เวลาช่างภาพได้แต่งรูปเพื่อใช้ในงาน เผื่อเวลาให้พิมพ์โฟโต้บุ๊ค เพราะช่างภาพบางท่าน เค้าไม่ได้มีเราเป็น
ลูกค้าเพียงคู่เดียว
7. จัดงานเองกับใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์อันไหนถูกกว่ากัน
- ตอบยาก เพราะรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แนะนำแบบนี้ดีกว่าค่ะ
* จัดเอง ก็จะได้แบบที่อยากได้ ไม่เหมือนใคร แล้วก็ภูมิใจด้วยค่ะ แต่งบมักจะบานปลาย และค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมีปัญหาเรื่องการประสานงาน
* ใช้แพลนเนอร์ มักจะได้ครบ งบไม่บาน แต่บางทีก็จะเป็นแบบซ้ำๆ ให้เลือก หรืออาจจะต้องใช้ของต่อคู่อื่น ถ้างบจำกัดพยายาม
เลือกเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่มีบริการเหมารวมทุกอย่าง อย่าแยกเป็นอย่างๆ เพราะส่วนใหญ่มักจะแพงกว่าเดิม
* จัดเองบางส่วน ใช้แพลนเนอร์บางส่วน อันนี้จะยุ่งยากในการหาข้อมูล แต่ได้แบบที่อยากได้ งบบานนิดหน่อย
เพราะส่วนใหญ่จะดูราคาแพคเกจมาแล้ว
ตัวอย่าง : (อันนี้ไม่ใช่ประสบการณ์ตรงนะคะ งานแต่งเพื่อน) เวดดิ้งเสนอแพคเกจชุดงานเย็น 1 คู่ + พร้อมแต่งหน้าทำผม + แพคเกจทำหน้า
/ เล็บทั้งบ่าวสาว ราคา 19,999 เพื่อนคิดว่าค่าสปาหน้าเล็บไม่ได้แพงขนาดนั้น และไม่จำเป็นเลยไม่เอา - สุดท้ายค่าชุดงานเย็น 1 คู่
12,000 บาท ค่าแต่งหน้าวันงาน 1 คิว 6,500 บาท สปาหน้า + เล็บ (สุดท้ายก็ตัดสินใจทำ) 3,750 บาท
ที่สำคัญคือชุดกับผมไม่ได้ไปทางเดียวกัน และนางก็บ่นว่าเฮ้ย ที่เกินมานี่จ่ายค่าการ์ดได้เลยนะเฟร้ย!!!!!!
มีอีกเยอะค่ะ คำถามแบบนี้ ใครอยากจะถามอะไรก็คอมเมนต์ทิ้งไว้ได้นะคะ
หรือเจอปัญหาอะไร ก็มาแชร์กันก็ได้ค่ะ
ตอนนี้ขอไปทำงานต่อก่อน ถ้ามีคนอ่านเดี๋ยวเย็นๆ จะมาอัพเดท คำถามยอดฮิตอื่นๆ อีก
ขอบคุณค่ะที่อ่านค่ะ