แฟนเดย์แฟนกันแค่วันเดียว - หนังรักปวดร้าวพร้อมระเบิดเวลาที่คนดูก็รู้ ชอบที่พูดถึงความจริงในสังคมที่แสนเจ็บปวด คอหนังรักห้ามพลาด
สวัสดีครับ เมื่อวานนี้ ผมก็ได้มีโอกาสชมหนังไทยเรื่อง "แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" ในรอบสื่อมวลชน ขอขอบคุณทาง GDH559 มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
"แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" หนังไทยเเรื่องล่าสุดเปิดตัวค่ายหนังน้องใหม่แต่เก๋าประสบการณ์อย่างค่าย "GDH559" ผ่านฝีมือของผู้กำกับที่ผมเชื่อว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งในสาย Mass ของหนังไทยอย่าง "โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล" ผู้กับกับหนังไทยพันล้านอย่าง "พี่มาก..พระโขนง" และหนังไทยชื่อดังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" "แฝด" "สี่แพร่ง ตอน คนกลาง" "ห้าแพร่ง ตอน คนกอง" และ " กวน มึน โฮ" แค่รายชื่อหนังที่กล่าวมา ก็สร้างความมั่นใจได้อย่างมหาศาลแล้ว แต่สำหรับ "แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" ดูเหมือนว่าโต้ง ต้องการทำหนังในแนวทางที่แตกต่างออกไปจากเรื่องก่อนๆที่เคยผ่านมาทั้งหมด ผมจำได้ว่าเขาบอกว่าอยากทำหนังรักที่ไม่มีตลกเลย ตอนที่ได้ยิน ผมแอบคิดในใจว่า จะไหวหรือครับ จุดขายของหนังโต้ง-บรรจง อยู่ที่ความตลกนี่นา แต่ก็แอบหวังอยู่ว่ามันจะดี เพราะครึ่งหลังที่ไม่ตลกของ "กวน มึน โฮ" นั้น เรียกน้ำตาคนดูได้ไม่ธรรมดาเลย..
พอได้ดูหนังตัวอย่าง แวบแรกต้องบอกว่า ทำไมมันคล้าย "กวน มึน โฮ" แถมยังเป็น เต๋อ-ฉันทวิชช์ เป็นพระเอกเหมือนกันเสียด้วย ส่วน มิว-นิษฐา นั้นก็ไม่ได้เป็นนักแสดงหน้าใหม่ ภาพที่ชินตาของคนที่เป็นแฟนละคร จะไม่ติดมาในหนังเรื่องนี้หรือ แถมพล็อตก็ต้องบอกว่า ถึงจะน่าสนใจ แต่ก็พบเห็นได้ในหนังต่างประเทศเป็นธรรมดา แล้วจะเอาอะไรมาขายคนดูล่ะ เพราะมุกตลกก็เบาๆประปราย เอาตรงๆว่า ถ้าไม่ได้มีชื่อของ โต้ง-บรรจง มาเป็นผู้กำกับ หนังเรื่องนี้เหนื่อยแน่ๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า โต้งยังมีของกั๊กไว้ในหนังอีกเยอะแน่นอน
เรื่องราวในช่วงแรกของหนัง เล่าเรื่องผ่าน "เด่น" (เต๋อ-ฉันทวิชช์) ที่ช่างดู Loser แบบสุดๆ คำนิยามที่เหมาะจริงๆ คงจะเป็น "หมามองเครื่องบิน" เพราะช่างตรงข้ามกับ "นุ้ย" (มิว-นิษฐา) ที่สว่าง Bright สดใสแบบสุดๆ แต่แล้วก็ในยกแรกนี้ คนดูก็โดนหมัดแย้บกระแทกหน้าเข้าไป จนต้องกลับไปสงสัยว่า ทำไมนางเอกถึง.. ที่ผมรับรู้และสัมผัสได้ชัดมากๆคือ สองคนนี้มีจริงในโลกรอบตัวเรา หาได้ไม่ยากเสียด้วย
เมื่อความจริงมันแรงและสร้างกำแพงใจให้คนดูกับตัวละคร ความฝันวันเดียวที่เข้ามาในช่วงที่สอง จึงช่างสดใสมีความสุข ดูแล้วอิ่มเอิบ แต่ในฝันก็มีระเบิดเวลาวางไว้อยู่ ที่ทั้งคนดูและพระเอกก็รู้ สิ่งที่ทำได้ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ฝันวันเดียวนี้จบลงเร็วเกินไป เพราะการแสดงของมิวในบทนุ้ยช่างสดใสเจิดจ้า คนดูก็เหมือนตกในมนต์สะกดผ่านสายตาที่เป็นประกายระยิบระยับตลอดเวลาของนุ้ย พอนุ้ยหายๆป หันมมาเจอเด่น คนดูก็จะกลับไปอึนๆ เจ็บๆ นึกถึงระเบิดเวลาลูกนั้น ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางปลดได้ รอเวลาระเบิดเพียงอย่างเดียว เจ็บจี๊ดจริงๆ
แต่เมื่อถึงเวลาระเบิด มันน่าทึ่งที่สิ่งที่ตามมานั้น ผิดโผพลิกผันไปจากที่คาดเดาไว้ กลายเป็นความเจ็บปวดที่ไร้ทางออก ที่คนดูอย่างผมก็นั่งอึ้ง ว่าถ้าเป็นเราไม่ว่าจะเป็นนุ้ยหรือเด่น จะทำอย่างไร... ไม่รู้ครับ คิดไม่ออก เจ็บหนักเลยคราวนี้ ส่วนตอนจบ ผมชอบนะ แต่ไม่เท่า "กวน มึน โฮ" ซึ่งเป็นตอนจบที่ผมชอบมากที่สุด หวังว่าตอนจบอีกแบบที่ในรอบ Q&A โต้ง-บรรจง บอกว่าจะเอาใส่ให้ใน DVD จะทำให้ผมฟินได้มากกว่านี้
ในด้านการแสดง เต๋อ-ฉันทวิชช์ ทำได้ดีมากเลยครับ มีพัฒนาการมาไกลพอสมควรจากตอน "กวน มึน โฮ" สีหน้า น้ำเสียง แววตา ไม่ได้ทำให้หวนไปนึกถึงตัวละครเก่าๆที่เขาเคยเล่นมาไม่ว่าจะเรื่องไหนเลย เห็นแต่ "เด่นชัย" ผู้ซึ่งน่าสงสาร แต่ก็สงสารไม่ลงในเวลาเดียวกัน ส่วน มิว-นิษฐาบทนุ้ยแสดงในเห็นว่า การแสดงของมิวในละครไม่ว่าจะในเรื่องไหนก่อนหน้านี้ มันช่างเด็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับพลังการแสดงในบทนุ้ย บอกเลยว่ากองละครทั้งหลายของมิว คุณใช้ความสามารถของมิวได้ไม่ถึงครึ่งของที่มิวมีเลยครับ ถ้าไม่เชื่อกรุณามาดูมิวในหนังเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เจ็บที่สุดคือแทบทุกคนจะหลงรักนุ้ย ถ้าไม่ติดว่า... เฮ้อ ..
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีประเด็นครับ ผมชอบประเด็นทางสังคมที่หนังใส่เข้ามามากๆ แสดงถึงความจริงของสังคมที่มันแสนจะสีเทา ความเจ็บปวดของนุ้ยหลังจากระเบิดเวลาทำงานแลัวพลิกผัน มันบอกได้เลยว่า สังคมเราคิดกันอย่างไร แต่ก็ยังทำ เช่นเดียวกับเด่นชัย การกระทำบางอย่าง เล่าออกมาเกมือนกัน ต่างกันแค่เวลาและจังหวะ ก็ทำให้พรเอกสุดโรแมนติก กลายเป็นไอ้โรคจิตไปได้เสียอย่างนั้น ที่แสบจริงๆคือหนังดันย้ำให้ดูโดยไม่ค้องคิดไปเองเสียด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น โห.. หากไม่แน่ใจ ลองเอาสิ่งที่เด่นและนุ้ยทำในหนังเรื่องนี้ มาโพสถามลงในเวบ ppantip.com แห่งนี้ดูสิครับว่าผิดไหม รับรองว่าได้เป็นกระทู้ดราม่าติดกระทู้แนะนำ ด่าทั้งสองคนแบบยับเยิน นั่นแหล่ะครับความจริงของสังคม..
สำหรับคนที่อยากให้ผมเปรียบเทียบหนังเรื่องนี้กับ "กวน มึน โฮ" ก็คงอธิบายได้ว่า "กวน มึน โฮ" นั้น เป็นเหมือนเรื่องเพ้อฝัน ที่เป็นจริง ย้อนกลับไปคิดครั้งใด แม้เสียดาย เสียใจ แต่ก็มีความสุข แต่ "แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" คือการเอาความจริงของชีวิตมาตีแผ่ ให้เห็นว่าโลกนั้นสีเทาอย่างไร ความฝันวันเดียวนั้นแสนมีความสุข และยอมแม้กระทั่งปล่อยให้เป็นความฝันแค่วันเดียวยังดีเสียกว่าที่จะพยายามทำให้มันเป็นจริง เพราะความจริงมันเจ็บปวด..
สรุป - หนังเรื่องนี้ ตลกน้อยกว่าที่คิด เป็นหนังของ โต้ง-บรรจง ที่ไปไกล ลึก และจริงกว่าที่เคยเป็นมา ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้หนังพ้นจากคำว่าหนัง Mass ไปได้ แต่นี่คือหนังรักที่จริงเสียจนไม่สามารถเรียกว่า "โรแมนติก คอมมิดี้" ได้อีกต่อไป และควรจับไปอยู่ในกลุ่ม "โรแมนติก ดราม่า" ซึ่งไม่ใช่กลุ่มหนังทำเงินของประเทศไทยอย่างที่เคยเป็นมา ดังนั้นความคาดหวังที่คนดูคาดหวังกับหนังของ GDH เรื่องแรก อาจไม่ได้รับการตอบสนอง ผลก็คงจะส่งมาที่เรื่องของรายได้ ที่เชื่อว่าจะไม่ถล่มทลายเป็นพี่มาก2 อย่างแน่นอน อีกทั้งการทำให้คนดูยากที่จะรักตัวละครทั้งสองตัว ยิ่งเหมือนการสกัดความฝัน ความฟิน ให้หล่นลงมาเหมือนฝันแล้วกลิ้งตกเตียงนั่นแหล่ะครับ ขอยอมรับนับถือความกล้าของ โต้ง ทีมงาน นักแสดง และ GDH ที่หันกลับมาทำหนังที่มีท่าทีจริงจังกว่าที่เคย เค้นคุณภาพมากกว่าเสียงหัวเราะ แต่หากคุณมีชีวิตจริงเหมือนกับพระ-นางในหนัง หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหมือนโดนลากมาตบหน้าซ้ำไปมา กลางสี่แยกราชประสงค์เลยทีเดียว หวังว่าจะโชคดีกันนะครับ...
ความคาดหวังก่อนชม / หลังชม – คาดหวังสูงมาก / แตกต่างอย่างเหนือชั้นกว่าที่หวังไว้
เกรดหนัง – ชอบมาก
คะแนนเฉลี่ย 8.75/10
****รีวิว เกรดหนัง และคะแนน อยู่บนพื้นฐานของหนังไทยเท่านั้น ไม่นำหนังเทศมารวมแต่อย่างใด***
พื้นที่บ่น - หนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยที่ทำให้ผมอยากเขียนแบบสปอยล์มากๆ เพราะมันมีประเด็นเยอะจริงๆ
[SR] [Mr. Coffee รีวิว 8/2559] แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว (ไม่สปอยล์) : เมื่อวันเดียวดีกว่าชีวิตจริง
สวัสดีครับ เมื่อวานนี้ ผมก็ได้มีโอกาสชมหนังไทยเรื่อง "แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" ในรอบสื่อมวลชน ขอขอบคุณทาง GDH559 มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
"แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" หนังไทยเเรื่องล่าสุดเปิดตัวค่ายหนังน้องใหม่แต่เก๋าประสบการณ์อย่างค่าย "GDH559" ผ่านฝีมือของผู้กำกับที่ผมเชื่อว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งในสาย Mass ของหนังไทยอย่าง "โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล" ผู้กับกับหนังไทยพันล้านอย่าง "พี่มาก..พระโขนง" และหนังไทยชื่อดังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" "แฝด" "สี่แพร่ง ตอน คนกลาง" "ห้าแพร่ง ตอน คนกอง" และ " กวน มึน โฮ" แค่รายชื่อหนังที่กล่าวมา ก็สร้างความมั่นใจได้อย่างมหาศาลแล้ว แต่สำหรับ "แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" ดูเหมือนว่าโต้ง ต้องการทำหนังในแนวทางที่แตกต่างออกไปจากเรื่องก่อนๆที่เคยผ่านมาทั้งหมด ผมจำได้ว่าเขาบอกว่าอยากทำหนังรักที่ไม่มีตลกเลย ตอนที่ได้ยิน ผมแอบคิดในใจว่า จะไหวหรือครับ จุดขายของหนังโต้ง-บรรจง อยู่ที่ความตลกนี่นา แต่ก็แอบหวังอยู่ว่ามันจะดี เพราะครึ่งหลังที่ไม่ตลกของ "กวน มึน โฮ" นั้น เรียกน้ำตาคนดูได้ไม่ธรรมดาเลย..
พอได้ดูหนังตัวอย่าง แวบแรกต้องบอกว่า ทำไมมันคล้าย "กวน มึน โฮ" แถมยังเป็น เต๋อ-ฉันทวิชช์ เป็นพระเอกเหมือนกันเสียด้วย ส่วน มิว-นิษฐา นั้นก็ไม่ได้เป็นนักแสดงหน้าใหม่ ภาพที่ชินตาของคนที่เป็นแฟนละคร จะไม่ติดมาในหนังเรื่องนี้หรือ แถมพล็อตก็ต้องบอกว่า ถึงจะน่าสนใจ แต่ก็พบเห็นได้ในหนังต่างประเทศเป็นธรรมดา แล้วจะเอาอะไรมาขายคนดูล่ะ เพราะมุกตลกก็เบาๆประปราย เอาตรงๆว่า ถ้าไม่ได้มีชื่อของ โต้ง-บรรจง มาเป็นผู้กำกับ หนังเรื่องนี้เหนื่อยแน่ๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า โต้งยังมีของกั๊กไว้ในหนังอีกเยอะแน่นอน
เรื่องราวในช่วงแรกของหนัง เล่าเรื่องผ่าน "เด่น" (เต๋อ-ฉันทวิชช์) ที่ช่างดู Loser แบบสุดๆ คำนิยามที่เหมาะจริงๆ คงจะเป็น "หมามองเครื่องบิน" เพราะช่างตรงข้ามกับ "นุ้ย" (มิว-นิษฐา) ที่สว่าง Bright สดใสแบบสุดๆ แต่แล้วก็ในยกแรกนี้ คนดูก็โดนหมัดแย้บกระแทกหน้าเข้าไป จนต้องกลับไปสงสัยว่า ทำไมนางเอกถึง.. ที่ผมรับรู้และสัมผัสได้ชัดมากๆคือ สองคนนี้มีจริงในโลกรอบตัวเรา หาได้ไม่ยากเสียด้วย
เมื่อความจริงมันแรงและสร้างกำแพงใจให้คนดูกับตัวละคร ความฝันวันเดียวที่เข้ามาในช่วงที่สอง จึงช่างสดใสมีความสุข ดูแล้วอิ่มเอิบ แต่ในฝันก็มีระเบิดเวลาวางไว้อยู่ ที่ทั้งคนดูและพระเอกก็รู้ สิ่งที่ทำได้ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ฝันวันเดียวนี้จบลงเร็วเกินไป เพราะการแสดงของมิวในบทนุ้ยช่างสดใสเจิดจ้า คนดูก็เหมือนตกในมนต์สะกดผ่านสายตาที่เป็นประกายระยิบระยับตลอดเวลาของนุ้ย พอนุ้ยหายๆป หันมมาเจอเด่น คนดูก็จะกลับไปอึนๆ เจ็บๆ นึกถึงระเบิดเวลาลูกนั้น ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางปลดได้ รอเวลาระเบิดเพียงอย่างเดียว เจ็บจี๊ดจริงๆ
แต่เมื่อถึงเวลาระเบิด มันน่าทึ่งที่สิ่งที่ตามมานั้น ผิดโผพลิกผันไปจากที่คาดเดาไว้ กลายเป็นความเจ็บปวดที่ไร้ทางออก ที่คนดูอย่างผมก็นั่งอึ้ง ว่าถ้าเป็นเราไม่ว่าจะเป็นนุ้ยหรือเด่น จะทำอย่างไร... ไม่รู้ครับ คิดไม่ออก เจ็บหนักเลยคราวนี้ ส่วนตอนจบ ผมชอบนะ แต่ไม่เท่า "กวน มึน โฮ" ซึ่งเป็นตอนจบที่ผมชอบมากที่สุด หวังว่าตอนจบอีกแบบที่ในรอบ Q&A โต้ง-บรรจง บอกว่าจะเอาใส่ให้ใน DVD จะทำให้ผมฟินได้มากกว่านี้
ในด้านการแสดง เต๋อ-ฉันทวิชช์ ทำได้ดีมากเลยครับ มีพัฒนาการมาไกลพอสมควรจากตอน "กวน มึน โฮ" สีหน้า น้ำเสียง แววตา ไม่ได้ทำให้หวนไปนึกถึงตัวละครเก่าๆที่เขาเคยเล่นมาไม่ว่าจะเรื่องไหนเลย เห็นแต่ "เด่นชัย" ผู้ซึ่งน่าสงสาร แต่ก็สงสารไม่ลงในเวลาเดียวกัน ส่วน มิว-นิษฐาบทนุ้ยแสดงในเห็นว่า การแสดงของมิวในละครไม่ว่าจะในเรื่องไหนก่อนหน้านี้ มันช่างเด็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับพลังการแสดงในบทนุ้ย บอกเลยว่ากองละครทั้งหลายของมิว คุณใช้ความสามารถของมิวได้ไม่ถึงครึ่งของที่มิวมีเลยครับ ถ้าไม่เชื่อกรุณามาดูมิวในหนังเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เจ็บที่สุดคือแทบทุกคนจะหลงรักนุ้ย ถ้าไม่ติดว่า... เฮ้อ ..
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีประเด็นครับ ผมชอบประเด็นทางสังคมที่หนังใส่เข้ามามากๆ แสดงถึงความจริงของสังคมที่มันแสนจะสีเทา ความเจ็บปวดของนุ้ยหลังจากระเบิดเวลาทำงานแลัวพลิกผัน มันบอกได้เลยว่า สังคมเราคิดกันอย่างไร แต่ก็ยังทำ เช่นเดียวกับเด่นชัย การกระทำบางอย่าง เล่าออกมาเกมือนกัน ต่างกันแค่เวลาและจังหวะ ก็ทำให้พรเอกสุดโรแมนติก กลายเป็นไอ้โรคจิตไปได้เสียอย่างนั้น ที่แสบจริงๆคือหนังดันย้ำให้ดูโดยไม่ค้องคิดไปเองเสียด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น โห.. หากไม่แน่ใจ ลองเอาสิ่งที่เด่นและนุ้ยทำในหนังเรื่องนี้ มาโพสถามลงในเวบ ppantip.com แห่งนี้ดูสิครับว่าผิดไหม รับรองว่าได้เป็นกระทู้ดราม่าติดกระทู้แนะนำ ด่าทั้งสองคนแบบยับเยิน นั่นแหล่ะครับความจริงของสังคม..
สำหรับคนที่อยากให้ผมเปรียบเทียบหนังเรื่องนี้กับ "กวน มึน โฮ" ก็คงอธิบายได้ว่า "กวน มึน โฮ" นั้น เป็นเหมือนเรื่องเพ้อฝัน ที่เป็นจริง ย้อนกลับไปคิดครั้งใด แม้เสียดาย เสียใจ แต่ก็มีความสุข แต่ "แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว" คือการเอาความจริงของชีวิตมาตีแผ่ ให้เห็นว่าโลกนั้นสีเทาอย่างไร ความฝันวันเดียวนั้นแสนมีความสุข และยอมแม้กระทั่งปล่อยให้เป็นความฝันแค่วันเดียวยังดีเสียกว่าที่จะพยายามทำให้มันเป็นจริง เพราะความจริงมันเจ็บปวด..
สรุป - หนังเรื่องนี้ ตลกน้อยกว่าที่คิด เป็นหนังของ โต้ง-บรรจง ที่ไปไกล ลึก และจริงกว่าที่เคยเป็นมา ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้หนังพ้นจากคำว่าหนัง Mass ไปได้ แต่นี่คือหนังรักที่จริงเสียจนไม่สามารถเรียกว่า "โรแมนติก คอมมิดี้" ได้อีกต่อไป และควรจับไปอยู่ในกลุ่ม "โรแมนติก ดราม่า" ซึ่งไม่ใช่กลุ่มหนังทำเงินของประเทศไทยอย่างที่เคยเป็นมา ดังนั้นความคาดหวังที่คนดูคาดหวังกับหนังของ GDH เรื่องแรก อาจไม่ได้รับการตอบสนอง ผลก็คงจะส่งมาที่เรื่องของรายได้ ที่เชื่อว่าจะไม่ถล่มทลายเป็นพี่มาก2 อย่างแน่นอน อีกทั้งการทำให้คนดูยากที่จะรักตัวละครทั้งสองตัว ยิ่งเหมือนการสกัดความฝัน ความฟิน ให้หล่นลงมาเหมือนฝันแล้วกลิ้งตกเตียงนั่นแหล่ะครับ ขอยอมรับนับถือความกล้าของ โต้ง ทีมงาน นักแสดง และ GDH ที่หันกลับมาทำหนังที่มีท่าทีจริงจังกว่าที่เคย เค้นคุณภาพมากกว่าเสียงหัวเราะ แต่หากคุณมีชีวิตจริงเหมือนกับพระ-นางในหนัง หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหมือนโดนลากมาตบหน้าซ้ำไปมา กลางสี่แยกราชประสงค์เลยทีเดียว หวังว่าจะโชคดีกันนะครับ...
ความคาดหวังก่อนชม / หลังชม – คาดหวังสูงมาก / แตกต่างอย่างเหนือชั้นกว่าที่หวังไว้
เกรดหนัง – ชอบมาก
คะแนนเฉลี่ย 8.75/10
****รีวิว เกรดหนัง และคะแนน อยู่บนพื้นฐานของหนังไทยเท่านั้น ไม่นำหนังเทศมารวมแต่อย่างใด***
พื้นที่บ่น - หนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยที่ทำให้ผมอยากเขียนแบบสปอยล์มากๆ เพราะมันมีประเด็นเยอะจริงๆ