อย่างว่าที่เค้าว่า ประเทศออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งประเทศระดับต้นๆที่มีค่าครองชีพสูงมาก 3 ปีก่อนเคย ไปอยู่มา 1 ปี ด้วยวีซ่า Work & Holiday ...แพงจริง!
** วีซ่าที่ออกโดยโครงการพิเศษของไทย-ออสเตรเลีย สามารถทำงานได้ ท่องเที่ยวได้ 1 ปี ข้อกำหนด อายุไม่เกิน 30 ปี จบปริญญาตรี มีคะแนนสอบโทอิคตามที่เค้าระบุ และมีเงินนอนหลับในธนาคารขั้นต่ำ 150,000 บาท ใครอยากไปแล้วมีครบตามนี้ ไปอ่านต่อได้ในเนตนะคะ
เนื่องจากวีซ่าตัวนี้ มันตรงตามชื่อ Work & Holiday ทำงาน(อย่างหนัก)แล้ว ก็(ควร)ได้เที่ยวด้วยดังนั้น เรากับเพื่อนชายร่วมบ้าน ( House Mate )ชื่อ ไมค์ จึงจัดแผนการเดินทาง
** ที่ออสเตรเลียเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายผู้หญิงไม่รู้จักกันมาแชร์บ้านด้วยกัน เนื่องจากค่าครองชีพสูง บ้านที่เราอยู่ แชร์กันประมาณ 5-6 คน โดยไมค์เป็นเจ้าบ้าน หาคนมาแชร์อยู่ร่วมกันหลายสัญชาติ
ตกลงกันได้ว่า การเดินทางครั้งนี้ จะไป เล่นสกีกันที่ ภูเขาหิมะในเมลเบิร์น ซึ่งเราจะไปกันแบบประหยัด และ ลุยๆ ส่วนเรื่องที่พัก ถ้าต้องจ่ายค่าสกีรีสอร์ท ในฤดูกาลเล่นหิมะแบบนี้คงต้องจ่ายหลายบาท... หราาา ดังนั้น เราจึงตกลงกันได้ที่ ขับรถไปเองและจะนอนในรถ ที่เรียกว่า
แคมเปอร์แวน CAMPER VAN
เมื่อวางแผนกันมาขนาดนี้แล้ว เราเริ่มหาบริษัทรถเช่า และมาจบลงที่บริษัท Jucy แต่... ของเราพิเศษกว่าตรงที่ เราได้รถนั้นมาฟรีๆ จ่ายแต่ค่าน้ำมัน 555 ทำได้ไง เคล็ดลับนี้ ใครไม่รู้ก็ไม่ทำ จะแนะนำให้
หลังจากตกลงกันว่าจะไปลุยหิมะ เจ้าไมค์ขี้งก ไม่ยอมหรอกจะจ่ายเงินค่าเช่ารถ ไมค์มีวิธีที่แยบยลกว่านั้นคือติดต่อบริษัท Jucy บอกว่าเราต้องการทำการ Relocation คือ การช่วยพารถขับย้ายจาก ที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งในนามบริษัท
Jucy เนี่ยมันมีสาขาอยู่ทั่วออสเตรเลีย และเนื่องจากมีคนจำนวนมากใช้บริการแคมเปอร์แวน เที่ยวแบบชิลๆ ขับไปเรื่อยๆ ตามเมืองต่างๆ จอดไหนนอนนั่น เช่น ขับจาก เมลเบิร์นไปซิดนีย์ และเมื่อถึงซิดนีย์ก็คืนรถที่สาขาแถวนั้นเลย แต่รถมันไม่สามารถมากองกันอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ จึงต้องมีการกระจายและขับกลับไปบ้างให้พอกับการใช้งาน บริษัทก็ฉลาด จะขับเองทำไม นักท่องเที่ยวราคาถูกแบบเรา เยอะแยะ ปล่อยให้พวกเราขับดีกว่า ดังนั้นบริษัท จะปล่อยรถจำนวนหนึ่งออกมาให้จอง เพื่อขับข้ามเมืองไป เที่ยวด้วย ช่วยย้ายรถด้วย
แผนการ Relocation ของพวกเรา ขับจาก บริสเบนไปคืนให้ที่ซิดนีย์ รับรถอีกคันจากซิดนีย์ไปคืนให้ที่เมลเบิร์น และจากเมลเบิร์น เปลี่ยนคัน และทำแบบนี้จนกลับมาจากจุดหมายปลายทางเดิม นั่นคือ บริสเบน
บริษัทเค้าก็จะมีกำหนดระยะเวลาว่าควรจะถึงวันไหนเวลาไหน กำหนดส่งรถก็ห้ามเลยเวลา บางคัน แค่ 1 วันแต่บางคัน 3 วันก็มี คือ คุณสามารถเอารถไปเที่ยวได้ ไปไหนมาไหนทำอะไรก็ได้ในช่วงเวลานั้น แต่ต้องส่งรถให้ตามเวลาที่เค้ากำหนด แถม... บริษัทให้น้ำมันเต็มถัง ตอนกลับคืนรถเปล่าก็ได้ ที่เหลือเราจ่ายเอง ก็นับว่าไม่มากแล้ว ได้สนุก ขับไปเรื่อยๆและแวะเที่ยวตลอดทาง จะว่าง่ายก็ง่าย จะยากก็ยากเพราะบางที่เราต้องขับแข่งกับเวลาไปถึงสถานที่นั้นให้ได้ตามเวลาที่กำหนด
ช่วงนั้นเป็น ฤดูหนาวในทุกพื้นที่ แม้บริสเบนจะไม่เย็นมากแต่จุดหมายปลายทางของเราคือภูเขาหิมะ ที่เมลเบิร์นนั้นหนาวมาก ก่อนหน้าวันเดินทางเราจึงจัดกระเป๋า สำหรับการเดินทางสำหรับ1 อาทิตย์ มีทั้งเสื้อผ้า เสื้อหนาว ผ้าห่ม อาหาร เสบียง อุปกรณ์ชาร์จแบต และอะไรต่อมิอะไร
ระยะทางที่เราจะขับทั้งหมด 1600 กม จาก บริสเบน สู่ เมลเบิร์น (หรือมากกว่า)
วันเดินทางมาถึง เราขับรถไมค์ออกไปที่บริษัท Juicy และเซนต์สัญญาการ ยืมรถมา Relocation กันเรียบร้อย บริษัทจะถามว่าเราจะซื้อประกันรถเพิ่มมั้ย ควรซื้อ! เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้ว่า ใครจะมาเฉี่ยวรถเรา โดยเฉพาะระหว่างทางในแถบชนบท จิงโจ้สัตว์ประจำชาติออสเตรเลีย มักกระโดดมาตัดหน้ารถแบบไม่ตั้งใจเสมอ จะเห็นจิงโจ้ตายตลอดทางเป็นเรื่องปกติ
การเดินทางเริ่มต้น ครึ่งแรก มุ่งหน้าสู่ ซิดนีย์ ระยะทางที่ 920 กม ไมค์เป็นคนเริ่มขับก่อน เนื่องจากไมค์ขับรถได้ทุกประเภท ต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนกันขับ 555 รถแวนดูเหมือนจะเล็กนะ แต่เอาเข้าจริงไปนั่งอยู่ตรงนั้นตื่นเต้นมากเพราะ แคมเปอร์แวนมันใหญ่กว่ารถตู้บ้านเรา
การขับแวนครั้งแรกในชีวิตผ่านไปด้วยดี ก็ผลัดกันขับมาเรื่อยๆ หิวก็หยุด ต้มมาม่ากินข้างทางพักผ่อนยืดแข้งยืดขาแล้วก็ขับต่อ ขับกลางวันจะเพลินมากไปกับสองข้างทางที่สวย
ขับรถช่วงกลางคืนถึงแม้รถจะโล่ง ก็ใช่ว่าจะขับเร็วกันได้ เพราะที่ประเทศนี้จำกัดความเร็ว ใครขับเกิน กล้องจะถ่ายปุ๊บ อีกไม่นานใบสั่งจะไปถึงบ้าน และถ้าจ่ายไม่ตรงตามกำหนด จะส่งมาใหม่ พร้อมปรับมากขึ้น ไม่จ่ายอีก มาอีก เพิ่มจำนวนเงินทบขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นคนประเทศนี้รู้เขตจำกัดในการขับรถดีมาก มีระเบียบวินัยมาก
เมื่อขับออกนอกเขตเมือง ถนนจะดูร้างมาก มีแต่รถบรรทุก ความเร็วปกติ อยู่ที่ 80 กม ต่อ ชั่วโมง ( ป้ายกำหนดแค่นี่ ) มาถึงซิดนีย์ ทำการเปลี่ยนรถรอบแรก แวะบ้านเพื่อนไมค์ แวะอาบน้ำ ดื่มชา พักกันสักแป้บและเดินทางต่อ
มาถึงเมลเบิร์น ก็ตรงไปที่ภูเขาหิมะที่เราจะเล่นสกีกันวันรุ่งขึ้น
ประสบการณ์จริง ต่างๆนาๆ จากเจ้ารถบ้านที่ดูเหมือนจะสะดวก
รถพวกนี้จะมีอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์หุงหาอาหาร ติดมาพร้อมกับรถ จาน ชาม แก้วพร้อมใช้ อุปกรณ์น้อยๆที่เหมือนเตาไฟฟ้าติดอยู่กับรถ สามารถใช้ทำอาหารง่ายๆ ตั้งกะทะ ทอดไส้กรอก ต้มมาม่า ชา กาแฟได้หมด ถึงคราวจะล้างจาน... เจ้ารถเนี่ยมันจะมีท่อน้ำต่อมาให้ใช้ทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆได้ คันที่เราได้ อาบน้ำไม่ได้ แต่คันที่ขนาดใหญ่สุด มีห้องอาบน้ำข้างในด้วยเป็นห้องน้ำแคบๆ ด้วยความที่เป็นหน้าหนาว น้ำก็... พอน้ำหมด ก็ต้องเติมเรื่อยๆตามจุดเติมน้ำตามทาง หรือปั๊มน้ำมัน
ถ้าไม่มีห้องน้ำแล้วอาบน้ำที่ไหน... หลายที่เลย ข้างๆทาง
คือออสเตรเลียนี่อย่างที่บอก บ้านเค้านิยมการขับ แคมเปอร์แวน รถบ้านพวกนี้ตะลุย ดังนั้น ปั๊มข้างทาง จุดพักรถ หรือจุดแคมปิ้งหลายที่ มีห้องอาบน้ำให้
ปวดฉี่... นี่ง่ายใหญ่เลย ขับเจอห้องน้ำที่ไหนก็เข้าที่นั่นแหละ เป็นผู้ชายก็สบายเลย ที่ไหนก็ได้... ไม่ได้! ไม่ใช่บ้านเมืองเรานะ
เวลาจะนอน...เบาะข้างหลังสามารถปรับต่อกันแปรสาพให้กลายเป็นเตียง เราก็นอนในรถนั่นแหละ ข้อดีคือประหยัด ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม ข้อเสียคือ มันต้องแชร์ที่นอนกับเพื่อนผู้ชาย ดังนั้น ต้องเป็นคนไม่คิดอะไรมากในการนอนกับเพื่อนต่างเพศ เพราะหลังจากเคลียร์ของรกๆพวกนี้แล้ว ต้องนอนเบียดกับมัน ไม่น๊าาาาาา
นอนที่ไหน... เอิ่ม... ลานจอดรถของห้างก็นอนมาแล้ว ในสวนแคมป์ปิ้งก็นอนแล้ว บนภูเขาน้ำแข็งก็นอนแล้ว จอดข้างทางก็นอนมาหมดแล้ว
.....มาต่อ.....
คืนแรกที่ขับถึงภูเขาหิมะ เราถึงกันประมาณ เกือบสี่ทุ่ม ทำอาหารกินกันข้างทาง มองไปสกีรีสอร์ทที่มีแสงไฟดูอบอุ่น ได้ยินเสียงคนดื่มเบียร์ คุยกันสนุกสนาน แต่เรา หิมะล้อมรอบ หนาวสั่น แต่มองเห็นดาวเต็มฟ้า เห็นชัดมาก สาบานว่าไม่เคยเห็นชัดแบบนี้ที่ไหนมาก่อน พยายามข่มตาให้หลับ และลุกมา
สตาร์ทรถเร่งฮีทเตอร์เป็นระยะๆ ถ้าปิดเมื่อไหร่ รถจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ตื่นเช้ามา... เช้านั้นเป็นเช้าที่ประทับใจที่สุด หิมะสีขาวล้อมรอบรถ ภูเขาหิมะสะท้อนแสงขาวใสมาแต่ไกล
ส่วนอีกครั้งหนึ่ง นอนในรถที่ภูเขาหิมะอีกที่ แต่ขยับเข้ามาในบริเวณลานจอดรถของสกีรีสอร์ท หนาวเหมือนเดิม ตื่นมาเปิดประตูไม่ได้ หิมะจับตัวแข็งปิดทางเข้าออก 555 สรุปว่า หลายวันที่นอนในรถ ช่างทรมาน เพราะคนนอนข้างๆ ไม่ใช่แฟน แนะนำว่าควรเดินทางกับแฟนจะสนิทใจกว่ามากกกก และอุ่นกว่าเยอะ 555
และแล้ว เราก็ได้เห็นหิมะของจริงครั้งแรกในชีวิต นอนกลิ้งมันเล้ยยยยย
และเล่น สโนว์บอร์ด และสกี ครั้งแรกด้วย
ทริปนี้มีแต่ลุย เราไม่สนเรื่องหน้าสวย ทริปนี้หน้าสดตลอดงาน เพราะสะบักสะบอมมากจากการขับรถทางไกล นอนในรถ เข้าห้องน้ำข้างทาง อาบน้ำตามมีตามเกิด ทำอาหารกินประทังชีวิต ก็ชีวิตแสนถูกล่ะหนอ สรุปค่าใช้จ่าย ตกคนละไม่ถึง 500 AUD กับการเดินทาง 1 อาทิตย์ ราคานี้ รวมคืนนึงให้รางวัลชิวิต
ด้วยการไปนอนโรงแรมถูกๆ ที่เป็น Hostel เพราะรถที่ใช้เดินทาง (เปลี่ยนเป็นรถรถยนต์ธรรมดา) กระจกหลังถูกกระดานเล่นหิมะเบียดพังแตก ต้องรอประกัน เอาไปเปลี่ยนอะไหล่ เพราะเราไม่มีรถแวน มิฉะนั้นแล้ว เราก็ไม่ยอมเสียเงิน 555
ขอบคุณนะคะที่อ่านมาจนจบ ใครมีโอกาสเดินทางไปออสเตรเลียแล้ว ก็ขอให้ได้ลองเดินทางทั่วออสเตรเลียกันแบบนี้ดูนะคะ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากและสนุก แถมประหยัดเงิน เพราะประเทศนี้อะไรๆก็แพง
ใครไปมาแล้วมาแชร์ประสบการณ์กันบ้างน้อ
ส่วนใครสนใจอยากมีประสบการ์แบบนี้ อ่านเพิ่มเติมได้นะคะ
www.jucy.com.au
[CR] Camper Van ขับรถบ้านลุยภูเขาหิมะที่ออสเตรเลีย ( ค่ำไหนนอนนั่นแหละค้าาา )
** วีซ่าที่ออกโดยโครงการพิเศษของไทย-ออสเตรเลีย สามารถทำงานได้ ท่องเที่ยวได้ 1 ปี ข้อกำหนด อายุไม่เกิน 30 ปี จบปริญญาตรี มีคะแนนสอบโทอิคตามที่เค้าระบุ และมีเงินนอนหลับในธนาคารขั้นต่ำ 150,000 บาท ใครอยากไปแล้วมีครบตามนี้ ไปอ่านต่อได้ในเนตนะคะ
เนื่องจากวีซ่าตัวนี้ มันตรงตามชื่อ Work & Holiday ทำงาน(อย่างหนัก)แล้ว ก็(ควร)ได้เที่ยวด้วยดังนั้น เรากับเพื่อนชายร่วมบ้าน ( House Mate )ชื่อ ไมค์ จึงจัดแผนการเดินทาง
** ที่ออสเตรเลียเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายผู้หญิงไม่รู้จักกันมาแชร์บ้านด้วยกัน เนื่องจากค่าครองชีพสูง บ้านที่เราอยู่ แชร์กันประมาณ 5-6 คน โดยไมค์เป็นเจ้าบ้าน หาคนมาแชร์อยู่ร่วมกันหลายสัญชาติ
ตกลงกันได้ว่า การเดินทางครั้งนี้ จะไป เล่นสกีกันที่ ภูเขาหิมะในเมลเบิร์น ซึ่งเราจะไปกันแบบประหยัด และ ลุยๆ ส่วนเรื่องที่พัก ถ้าต้องจ่ายค่าสกีรีสอร์ท ในฤดูกาลเล่นหิมะแบบนี้คงต้องจ่ายหลายบาท... หราาา ดังนั้น เราจึงตกลงกันได้ที่ ขับรถไปเองและจะนอนในรถ ที่เรียกว่า
แคมเปอร์แวน CAMPER VAN
เมื่อวางแผนกันมาขนาดนี้แล้ว เราเริ่มหาบริษัทรถเช่า และมาจบลงที่บริษัท Jucy แต่... ของเราพิเศษกว่าตรงที่ เราได้รถนั้นมาฟรีๆ จ่ายแต่ค่าน้ำมัน 555 ทำได้ไง เคล็ดลับนี้ ใครไม่รู้ก็ไม่ทำ จะแนะนำให้
หลังจากตกลงกันว่าจะไปลุยหิมะ เจ้าไมค์ขี้งก ไม่ยอมหรอกจะจ่ายเงินค่าเช่ารถ ไมค์มีวิธีที่แยบยลกว่านั้นคือติดต่อบริษัท Jucy บอกว่าเราต้องการทำการ Relocation คือ การช่วยพารถขับย้ายจาก ที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งในนามบริษัท
Jucy เนี่ยมันมีสาขาอยู่ทั่วออสเตรเลีย และเนื่องจากมีคนจำนวนมากใช้บริการแคมเปอร์แวน เที่ยวแบบชิลๆ ขับไปเรื่อยๆ ตามเมืองต่างๆ จอดไหนนอนนั่น เช่น ขับจาก เมลเบิร์นไปซิดนีย์ และเมื่อถึงซิดนีย์ก็คืนรถที่สาขาแถวนั้นเลย แต่รถมันไม่สามารถมากองกันอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ จึงต้องมีการกระจายและขับกลับไปบ้างให้พอกับการใช้งาน บริษัทก็ฉลาด จะขับเองทำไม นักท่องเที่ยวราคาถูกแบบเรา เยอะแยะ ปล่อยให้พวกเราขับดีกว่า ดังนั้นบริษัท จะปล่อยรถจำนวนหนึ่งออกมาให้จอง เพื่อขับข้ามเมืองไป เที่ยวด้วย ช่วยย้ายรถด้วย
แผนการ Relocation ของพวกเรา ขับจาก บริสเบนไปคืนให้ที่ซิดนีย์ รับรถอีกคันจากซิดนีย์ไปคืนให้ที่เมลเบิร์น และจากเมลเบิร์น เปลี่ยนคัน และทำแบบนี้จนกลับมาจากจุดหมายปลายทางเดิม นั่นคือ บริสเบน
บริษัทเค้าก็จะมีกำหนดระยะเวลาว่าควรจะถึงวันไหนเวลาไหน กำหนดส่งรถก็ห้ามเลยเวลา บางคัน แค่ 1 วันแต่บางคัน 3 วันก็มี คือ คุณสามารถเอารถไปเที่ยวได้ ไปไหนมาไหนทำอะไรก็ได้ในช่วงเวลานั้น แต่ต้องส่งรถให้ตามเวลาที่เค้ากำหนด แถม... บริษัทให้น้ำมันเต็มถัง ตอนกลับคืนรถเปล่าก็ได้ ที่เหลือเราจ่ายเอง ก็นับว่าไม่มากแล้ว ได้สนุก ขับไปเรื่อยๆและแวะเที่ยวตลอดทาง จะว่าง่ายก็ง่าย จะยากก็ยากเพราะบางที่เราต้องขับแข่งกับเวลาไปถึงสถานที่นั้นให้ได้ตามเวลาที่กำหนด
ช่วงนั้นเป็น ฤดูหนาวในทุกพื้นที่ แม้บริสเบนจะไม่เย็นมากแต่จุดหมายปลายทางของเราคือภูเขาหิมะ ที่เมลเบิร์นนั้นหนาวมาก ก่อนหน้าวันเดินทางเราจึงจัดกระเป๋า สำหรับการเดินทางสำหรับ1 อาทิตย์ มีทั้งเสื้อผ้า เสื้อหนาว ผ้าห่ม อาหาร เสบียง อุปกรณ์ชาร์จแบต และอะไรต่อมิอะไร
ระยะทางที่เราจะขับทั้งหมด 1600 กม จาก บริสเบน สู่ เมลเบิร์น (หรือมากกว่า)
วันเดินทางมาถึง เราขับรถไมค์ออกไปที่บริษัท Juicy และเซนต์สัญญาการ ยืมรถมา Relocation กันเรียบร้อย บริษัทจะถามว่าเราจะซื้อประกันรถเพิ่มมั้ย ควรซื้อ! เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้ว่า ใครจะมาเฉี่ยวรถเรา โดยเฉพาะระหว่างทางในแถบชนบท จิงโจ้สัตว์ประจำชาติออสเตรเลีย มักกระโดดมาตัดหน้ารถแบบไม่ตั้งใจเสมอ จะเห็นจิงโจ้ตายตลอดทางเป็นเรื่องปกติ
การเดินทางเริ่มต้น ครึ่งแรก มุ่งหน้าสู่ ซิดนีย์ ระยะทางที่ 920 กม ไมค์เป็นคนเริ่มขับก่อน เนื่องจากไมค์ขับรถได้ทุกประเภท ต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนกันขับ 555 รถแวนดูเหมือนจะเล็กนะ แต่เอาเข้าจริงไปนั่งอยู่ตรงนั้นตื่นเต้นมากเพราะ แคมเปอร์แวนมันใหญ่กว่ารถตู้บ้านเรา
การขับแวนครั้งแรกในชีวิตผ่านไปด้วยดี ก็ผลัดกันขับมาเรื่อยๆ หิวก็หยุด ต้มมาม่ากินข้างทางพักผ่อนยืดแข้งยืดขาแล้วก็ขับต่อ ขับกลางวันจะเพลินมากไปกับสองข้างทางที่สวย
ขับรถช่วงกลางคืนถึงแม้รถจะโล่ง ก็ใช่ว่าจะขับเร็วกันได้ เพราะที่ประเทศนี้จำกัดความเร็ว ใครขับเกิน กล้องจะถ่ายปุ๊บ อีกไม่นานใบสั่งจะไปถึงบ้าน และถ้าจ่ายไม่ตรงตามกำหนด จะส่งมาใหม่ พร้อมปรับมากขึ้น ไม่จ่ายอีก มาอีก เพิ่มจำนวนเงินทบขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นคนประเทศนี้รู้เขตจำกัดในการขับรถดีมาก มีระเบียบวินัยมาก
เมื่อขับออกนอกเขตเมือง ถนนจะดูร้างมาก มีแต่รถบรรทุก ความเร็วปกติ อยู่ที่ 80 กม ต่อ ชั่วโมง ( ป้ายกำหนดแค่นี่ ) มาถึงซิดนีย์ ทำการเปลี่ยนรถรอบแรก แวะบ้านเพื่อนไมค์ แวะอาบน้ำ ดื่มชา พักกันสักแป้บและเดินทางต่อ
มาถึงเมลเบิร์น ก็ตรงไปที่ภูเขาหิมะที่เราจะเล่นสกีกันวันรุ่งขึ้น
ประสบการณ์จริง ต่างๆนาๆ จากเจ้ารถบ้านที่ดูเหมือนจะสะดวก
รถพวกนี้จะมีอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์หุงหาอาหาร ติดมาพร้อมกับรถ จาน ชาม แก้วพร้อมใช้ อุปกรณ์น้อยๆที่เหมือนเตาไฟฟ้าติดอยู่กับรถ สามารถใช้ทำอาหารง่ายๆ ตั้งกะทะ ทอดไส้กรอก ต้มมาม่า ชา กาแฟได้หมด ถึงคราวจะล้างจาน... เจ้ารถเนี่ยมันจะมีท่อน้ำต่อมาให้ใช้ทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆได้ คันที่เราได้ อาบน้ำไม่ได้ แต่คันที่ขนาดใหญ่สุด มีห้องอาบน้ำข้างในด้วยเป็นห้องน้ำแคบๆ ด้วยความที่เป็นหน้าหนาว น้ำก็... พอน้ำหมด ก็ต้องเติมเรื่อยๆตามจุดเติมน้ำตามทาง หรือปั๊มน้ำมัน
ถ้าไม่มีห้องน้ำแล้วอาบน้ำที่ไหน... หลายที่เลย ข้างๆทาง
คือออสเตรเลียนี่อย่างที่บอก บ้านเค้านิยมการขับ แคมเปอร์แวน รถบ้านพวกนี้ตะลุย ดังนั้น ปั๊มข้างทาง จุดพักรถ หรือจุดแคมปิ้งหลายที่ มีห้องอาบน้ำให้
ปวดฉี่... นี่ง่ายใหญ่เลย ขับเจอห้องน้ำที่ไหนก็เข้าที่นั่นแหละ เป็นผู้ชายก็สบายเลย ที่ไหนก็ได้... ไม่ได้! ไม่ใช่บ้านเมืองเรานะ
เวลาจะนอน...เบาะข้างหลังสามารถปรับต่อกันแปรสาพให้กลายเป็นเตียง เราก็นอนในรถนั่นแหละ ข้อดีคือประหยัด ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม ข้อเสียคือ มันต้องแชร์ที่นอนกับเพื่อนผู้ชาย ดังนั้น ต้องเป็นคนไม่คิดอะไรมากในการนอนกับเพื่อนต่างเพศ เพราะหลังจากเคลียร์ของรกๆพวกนี้แล้ว ต้องนอนเบียดกับมัน ไม่น๊าาาาาา
นอนที่ไหน... เอิ่ม... ลานจอดรถของห้างก็นอนมาแล้ว ในสวนแคมป์ปิ้งก็นอนแล้ว บนภูเขาน้ำแข็งก็นอนแล้ว จอดข้างทางก็นอนมาหมดแล้ว
.....มาต่อ.....
คืนแรกที่ขับถึงภูเขาหิมะ เราถึงกันประมาณ เกือบสี่ทุ่ม ทำอาหารกินกันข้างทาง มองไปสกีรีสอร์ทที่มีแสงไฟดูอบอุ่น ได้ยินเสียงคนดื่มเบียร์ คุยกันสนุกสนาน แต่เรา หิมะล้อมรอบ หนาวสั่น แต่มองเห็นดาวเต็มฟ้า เห็นชัดมาก สาบานว่าไม่เคยเห็นชัดแบบนี้ที่ไหนมาก่อน พยายามข่มตาให้หลับ และลุกมา
สตาร์ทรถเร่งฮีทเตอร์เป็นระยะๆ ถ้าปิดเมื่อไหร่ รถจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ตื่นเช้ามา... เช้านั้นเป็นเช้าที่ประทับใจที่สุด หิมะสีขาวล้อมรอบรถ ภูเขาหิมะสะท้อนแสงขาวใสมาแต่ไกล
ส่วนอีกครั้งหนึ่ง นอนในรถที่ภูเขาหิมะอีกที่ แต่ขยับเข้ามาในบริเวณลานจอดรถของสกีรีสอร์ท หนาวเหมือนเดิม ตื่นมาเปิดประตูไม่ได้ หิมะจับตัวแข็งปิดทางเข้าออก 555 สรุปว่า หลายวันที่นอนในรถ ช่างทรมาน เพราะคนนอนข้างๆ ไม่ใช่แฟน แนะนำว่าควรเดินทางกับแฟนจะสนิทใจกว่ามากกกก และอุ่นกว่าเยอะ 555
และแล้ว เราก็ได้เห็นหิมะของจริงครั้งแรกในชีวิต นอนกลิ้งมันเล้ยยยยย
และเล่น สโนว์บอร์ด และสกี ครั้งแรกด้วย
ทริปนี้มีแต่ลุย เราไม่สนเรื่องหน้าสวย ทริปนี้หน้าสดตลอดงาน เพราะสะบักสะบอมมากจากการขับรถทางไกล นอนในรถ เข้าห้องน้ำข้างทาง อาบน้ำตามมีตามเกิด ทำอาหารกินประทังชีวิต ก็ชีวิตแสนถูกล่ะหนอ สรุปค่าใช้จ่าย ตกคนละไม่ถึง 500 AUD กับการเดินทาง 1 อาทิตย์ ราคานี้ รวมคืนนึงให้รางวัลชิวิต
ด้วยการไปนอนโรงแรมถูกๆ ที่เป็น Hostel เพราะรถที่ใช้เดินทาง (เปลี่ยนเป็นรถรถยนต์ธรรมดา) กระจกหลังถูกกระดานเล่นหิมะเบียดพังแตก ต้องรอประกัน เอาไปเปลี่ยนอะไหล่ เพราะเราไม่มีรถแวน มิฉะนั้นแล้ว เราก็ไม่ยอมเสียเงิน 555
ขอบคุณนะคะที่อ่านมาจนจบ ใครมีโอกาสเดินทางไปออสเตรเลียแล้ว ก็ขอให้ได้ลองเดินทางทั่วออสเตรเลียกันแบบนี้ดูนะคะ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากและสนุก แถมประหยัดเงิน เพราะประเทศนี้อะไรๆก็แพง
ใครไปมาแล้วมาแชร์ประสบการณ์กันบ้างน้อ
ส่วนใครสนใจอยากมีประสบการ์แบบนี้ อ่านเพิ่มเติมได้นะคะ
www.jucy.com.au