ที่ผ่านมาหลายคนที่มีความต้องการจะพิมพ์งานเยอะๆ และต้องการซื้อเครื่องปริ้นเตอร์ในราคาที่คุ้มๆ คงต้องไปซื้อหาปริ้นเตอร์ที่เป็นแบบทั่วไป แต่จะได้รับการโมดิฟายจากทางร้านมาให้สามารถใช้งานแบบที่เป็นขวดๆ หรือเราเรียกกันติดปากว่า Tank เพราะต้องยอมรับว่าราคาค่าหมึกแบบที่เป็นขวดเป็น Tank นั้น ราคาถูกมากๆ ทีเดียว เมื่อเทียบกับปริมาณที่ได้ แน่นอนว่ามองในแง่นี้ ดีกว่าปริ้นเตอร์เดิมๆ ที่ใช้เป็นหมึกตลับเป็นไหนๆ

แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องทนซ้ำซากกับปัญหาเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพ ที่ไม่ดีนัก คือเดี๋ยวดีบ้างเดี๋ยวติดขัดบ้าง รวมไปถึงการใช้งานก็ต้องมีความชำนาญพอสมควร ไม่ใช่ว่าใครทุกคนในบ้านจะมาใช้งานได้ อีกทั้งตัวเครื่องปริ้นเตอร์เอง จากการที่โดยโมดิฟายมาจากทางร้านเอง ทำให้มันไม่ใช่เดิมๆ จากทางโรงงานที่เค้าออกแบบมาเป็นอย่างดี ส่งผลให้ตัวเครื่องนั้นมีอายุสั้นกว่าปกติ รวมไปถึงประกันเองก็ขาดด้วย เพราะการดัดแปลงจากทางร้าน

ทำให้หลายคนที่มีความจำเป็นที่ต้องพิมพ์งานบ่อยๆ ปริ้นงานเยอะ ไม่ว่าจะมาจากงานที่ทำอยู่ ลูกๆ หลายๆ ทั้งทำรายงาน เอกสาร หรือแม้แต่การพิมพ์รูปถ่ายที่บ้าน ก็ต้องยอมจ่ายเงินสูงหน่อยเพื่อได้ความสบายใจและสะดวกในการใช้งาน กับการเลือกใช้งานเป็นปริ้นเตอร์ปกติที่ใช้เป็นตลับ จากการที่ไม่ยากเจอปัญหาที่กล่าวมาแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องเลอะเทอะมือด้วยนะ (ฮา) ซื้อตัวเครื่องปริ้นเตอร์เองแบบ All-in-One ดีๆ หน่อย ก็ตกอยู่ที่ประมาณสามพันบาทได้ ไหนจะหมึกที่บางยี่ห้ออาจจะแพงเป็นหลายร้อยบาท ซึ่งก็เพื่อความง่ายของทุกคนที่ใช้งานภายในบ้างภายในครอบครัวก็ต้องจ่ายกัน

โดยที่ผ่านทางยอมรับว่าส่วนตัวก็ใช้ปริ้นเตอร์ของ HP มาโดยตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย จากการที่พอใจในราคาค่าตัว เรื่องการใช้งานที่ง่าย รวมไปถึงความทนทาน ที่ก็ไม่ใช่ว่าจะพังง่ายๆ จวบจนกระทั่งวัยทำงาน (แต่อันนี้ใช้ของออฟฟิศ ซึ่งปกติก็วางไว้ที่ออฟฟิศ) และก่อนหน้านี้เมื่อสองปีก่อนน้องของผมที่เรียนมัธยมต้องการปริ้นเตอร์แบบราคาไม่แพง แต่ได้ฟังค์ชั่น All-in-One  ผมเองก็ยังแนะนำให้ใช้ปริ้นเตอร์ของ HP อยู่เลย จำได้ว่ามี HP รุ่นนึงก็ตอบโจทย์ได้ดี ราคาสองพันบาทต้นๆ เท่านั้น

ส่วนตัวเอาเข้าจริงตอนนี้ไม่มีปริ้นเตอร์ที่ไว้ใช้งานเองที่คอนโดแต่อย่างใด แต่ล่าสุดก็มีเรื่องให้ใช้งานจนได้ จากการที่แฟนต้องการปริ้นเอกสารจำนวนมาก เพื่อไว้ใช้ทำงาน รวมไปถึงงานนอกอื่นๆ ซึ่งก็เลยถือโอกาสเอาปริ้นเตอร์ที่ทำงาน ยกมาไว้ที่คอนโดช่วงเสาร์อาทิตย์เสียเลย (คือ ปกติไม่ได้ใช้ปริ้นเตอร์เลยไง จะไปปริ้นที่ร้านก็คงโดนฟันหัวเแบะ) อ่อ อันนี้บอกหัวหน้างานแล้วนะว่าจะขอยืมมาใช้งาน ซึ่งแกก็โอเคไม่ว่าอะไร สำหรับเรื่องค่าหมึกจะรับผิดชอบเอง แน่นอนว่าปริ้นเตอร์ที่เอามาต้องเป็นแบบติด Tank จากโรงงาน อย่าง HP DeskJet GT 5820 ซึ่งมีราคาค่าเครื่องอยู่ที่ห้าพันกว่าบาท ส่วนค่าหมึกคิดว่ายังไงก็ไม่แพง ดีกว่าไปซื้อปริ้นเตอร์มาใช้เองแล้วกัน

HP DeskJet GT 5820 เนี้ยเป็นปริ้นเตอร์ All-in-One ที่ติดตั้งรองรับหมึกแบบ Tank มาจากโรงงาน จะบอกว่าภายนอกก็คล้ายๆ กับปริ้นเตอร์ All-in-One ทั่วไป ทรงยอดนิยมแบบนี้เลยจากทาง HP เค้า แต่มีความพิเศษที่ด้านข้างนั้นมีระบบหมึก Tank ติดตั้งมา ซึ่งโดยส่วนตัวก็ถือว่าเรียบร้อยดีไม่มีสายระโยงระยางให้เกะกะอะไร ขนาดตัวเครื่องดูจะเล็กกำลังดีบนพื้นที่ของโต๊ะทำงาน ด้วยขนาดเพียง 525 x 310 x 158 มิลลิเมตร และน้ำหนักไม่ถึง 5 กิโลกรัม ก็ทำให้การเคลื่อนย้ายทำได้ง่ายขึ้นเยอะ เรียกว่าตอนยกขึ้นรถมา ก็ไม่ต้องระวังอะไรมาก แค่ถือมาตรงๆ ไม่เอียง และปิดระบบวาล์วเท่านั้นเอง อ่อ ไม่ลืมสายไฟและสาย USB แน่นอน

การติดตั้งครั้งแรกก็ง่ายมากๆ เพียงดาวน์โหลดโปรแกรมและไดร์เวอร์ของทาง HP จากอินเตอร์เน็ต และติดตั้งสาย USB ในช่วงแรก (เสร็จแล้วก็ถอดทิ้งได้เลย) การทำงานไร้สายของ HP DeskJet GT 5820 ก็พร้อมใช้งานแล้ว ผ่านการเชื่อมต่อเร้าเตอร์ อันนี้ต้องบอกว่าง่ายจริงๆ เพราะส่วนตัวไม่ได้อ่านคู่มือหรือหาข้อมูลอะไรมากเลย และแม้ว่าจะไม่มีเร้าเตอร์ ด้วยฟีเจอร์ Wi-Fi Direct ก็ยังพิมพ์เอกสาร ผ่านเครื่องพิมพ์ HP DeskJet GT 5820 ได้โดยตรง จากบนคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค หรือสมาร์ทโฟน ก็สามารถใช้งานได้ทันที ทำให้สะดวกสบายและรวดเร็ว ไม่เสียเวลา

ส่วนอื่นๆ อย่างการควบคุมการทำงาน HP DeskJet GT 5820 ยังมาพร้อมปุ่มควบคุมการทำงานและหน้าจอแสดงผลขนาดเล็ก ที่จะบอกตัวเลขและสัญลักษณ์ต่างๆ ในการทำงานของระบบ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มสำหรับ เปิดใช้งาน Wi-Fi Direct หรือการพิมพ์ Information รวมถึงแจ้งสถานะในการพิมพ์หรือการเชื่อมต่อทั้งหมดที่ปริ้นเตอร์รองรับ แม้ว่าจะดูยากในช่วงแรก เพราะไม่ได้เป็นหน้าจอขนาดใหญ่ เหมือนกับปริ้นเตอร์ในรุ่นใหญ่ รวมถึงปุ่มที่ใช้ก็ยังเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่เมื่อทำความเข้าใจได้สักระยะ ก็จะเริ่มชินอันนี้ไม่ยาก

จากการทดลองใช้งาน...ไม่สิ จากการใช้งานจริงของแฟนผมก็ถือว่าโอเคเลยนะ โดยการสั่งพิมพ์ทาง Wi-Fi ไร้สายโดยตลอด ไม่มีอาการงอแงหรือหน่วงหรือติดขัดอะไร เรียกว่าสั่งพิมพ์ไปเป็นร้อยหน้าในคราวเดียวก็ไม่มีปัญหา จะบอกว่าพิมพ์ไปก็เยอะ รวมๆ น่าจะพันสองพันแผ่นขึ้นไป แต่ในส่วนของหมึกยังลดลงไปไม่มากเท่าไรเลย เท่าที่ดูมาหมึกตกอยู่ที่ขวดละ 220 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งเน้นใช้งานหนักๆ น่าจะเป็นส่วนของหมึกดำ สรุปง่ายๆ คือ ผมซื้อหมึกไปคืนออฟฟิศแค่ 220 บาทก็พอแล้ว (เหลือด้วยเอา) นี่ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไปตามร้านปริ้นนี่คงโดยหลายตังแบบว่าซื้อปริ้นเตอร์ได้เครื่องหนึ่งเลยมั้ง ฮาๆ

ยอมรับเลยว่า HP DeskJet GT 5820 มีฟังกชั่นการทำงานพื้นฐาน ตามความต้องการของผู้ใช้โดยทั่วไปและออฟฟิศขนาดเล็ก ซึ่งปกติผมเองก็ใช้งานที่ออฟฟิศอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการ ปริ้น สแกนหรือก็อปปี้ ที่สำคัญยังมาพร้อมกับระบบหมึกเติม ซึ่งช่วยให้การพิมพ์งานมีความต่อเนื่อง และคุ้มค่ามากที่สุด โดยสามารถเติมเองได้แบบง่ายๆ ด้วยตัวเองอีกด้วย แบบไม่เลอะเทอะมืดด้วย

ตามข้อมูล HP บอกว่าใช้งานพิมพ์ได้มากถึง 8000 แผ่นสำหรับการพิมพ์สีและ 5000 แผ่นสำหรับเอกสารสีดำ ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับการใช้งานเครื่องปริ้นเตอร์ขนาดกระทัดรัดเช่นนี้ ซึ่งเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายต่อแผ่น ถือว่าคุ้มค่าน่าสนใจ ในขนาดที่กระทัดรัด น้ำหนักเบา ไม่เปลืองพื้นที่ในการจัดวาง จึงเหมาะทั้งการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็กทีเดียว ส่วนที่ได้ใช้งานบ้าง รวมไปถึงแฟนได้ปริ้นงานหนักๆ ก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเลย (ก็นะ เครื่องไม่ได้ซื้อ จ่ายแต่ค่าหมึกนี่นา) ก็เลยถือโอกาสมารีวิวให้ฟังแล้วกัน ไม่ว่าใครจะซื้อเอง หรือคิดจะยืมจากออฟฟิศแบบผม

อ่อ ถ้าใครไม่อยากได้รุ่นที่มี Wi-Fi ในตัวก็มีนะ อย่าง HP DeskJet GT 5810 จะมีราคาอยู่ที่ประมาณสี่พันกว่าบาท แต่จ่ายเพิ่มแค่พันเดียวได้ HP DeskJet GT 5820 แลดูจะคุ้มค่ากว่านะ คงได้ใช้ไร้สายกันรัวๆ แน่สมัยนี้ ประกันจำไม่ผิดมันสองปี ซ่อมฟรีถึงบ้านด้วยนะทั้งสองรุ่นนี้