The Neon Demon: เกมริษยา, กระจก, ความสวยงามและคาวเลือดของนางแบบ (Spoil)





               สำหรับชื่อของ Nicolas Winding Refn ที่เห็นชื่อนี้ปุ๊ป ภาพอันหฤโหดในสไตล์การกำกับของแกจะปรากฏขึ้นมา โดยที่คนไทยคุ้นเคยงานของแกก็จะเป็น Drive กับ Only God Forgive อย่างล่าสุดผมก็โชคดีที่ไปเจอ Pusher ภาค 2 ที่แมงป่องกำลังลดราคาล้าง Stock อยู่ และเป็นเรื่องที่มีเนื้อหารุนแรงพอสมควรและเป็นเรื่องดัน Mad Mikkelsen ได้เป็นนักแสดงตัว Top ของวงการ แต่ร่ายยาวขนาดนี้ ก็ต้องบอกเลยว่า The Neon Demon ก็มีความหฤโหดออกมาให้ได้สัมผัสตามสไตล์ของ Nicolas เขาเลยล่ะ เพียงแต่ครั้งนี้ตัวเดินเรื่องเป็นผู้หญิงและเกี่ยวกับวงการแฟชั่น

ในเวลานี้ (ปี 2016) ถ้าถามคนไทยว่าพูดถึงนางแบบจะนึกถึงอะไร ส่วนใหญ่จะตอบว่า The Face แน่นอน
แล้วเกี่ยวข้องกับ The Neon Demon อย่างไร?


               จริงๆ มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย แค่มาเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันง่ายๆ ว่า The Face คือการคัดเลือกนางแบบผ่าน Commentator ขั้นเทพของประเทศไทย ด้าน The Neon Demon ก็ต้องบอกว่า นี่คือการคัดเลือกนางแบบด้วยเลือดและความจริง ใช่ครับ เลือด! แต่จะเป็นการแลกด้วยเลือดหรือไม่ จะอธิบายต่อไปครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


               The Neon Demon เล่าถึง Jesse (แสดงโดย Elle Fanning) เด็กสาววัย 16 จาก Georgia ที่ทั้งชีวิตไม่เหลือใครแล้วเนื่องจากพ่อแม่เสียไปหมด จึงตัดสินใจก้าวเข้ามาที่ Los Angeles ดินแดนแห่งความฝัน โชคและชื่อเสียง ด้วยความหวังว่า เธอจะเป็นนางแบบให้ได้ แต่เด็กต่างเมืองผู้ที่ยังอ่อนวัย กลับไม่เคยได้พบเบื้องหลังของวงการแฟชั่นนั้น ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป

การเติบโตของ Elle Fanning



               นับว่าเป็นจังหวะที่เราจะได้เห็น Elle Fanning แสดงภาพยนตร์ที่ใช้ทักษะมากขึ้นและการเติบโตของตัวเธอก็ตามมาด้วย ภาพลักษณ์ของ Elle แบบเด็กๆ ณ ตอนนี้หายไปเกลี้ยง เธอขยับเข้ามาเป็นสาววัยรุ่นที่ฮอร์โมนส์กำลังพุ่งพล่าน



และบท Jesse ที่เธอแสดงบวกกับการกำกับของ Nicolas แล้ว ก็สื่อให้เห็นว่า Elle มีแรงดึงดูดด้านเพศมิใช่น้อย และมีแววว่าจะมีงานกระหน่ำกว่าผู้พี่อย่าง Dakota อีกด้วย

ทุกคนย่อมมีความฝัน



               ใครๆ ก็ฝันกันทั้งนั้น แต่ละคนก็มีความแตกต่างในเรื่องของความฝัน ดังที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้แตกต่างกันออกไป Jesse ก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ออกมาตามฝัน เธอหวังว่าการที่เธอต้องสูญเสียพ่อแม่ไปจะทำให้เธอแกร่งกว่าคนอื่น และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอออกตามหาฝันของการเป็นนางแบบ โดยมีผู้ชายที่เธอรู้จักกันทาง Internet อย่าง Dean (แสดงโดย Karl Glusman) ที่เป็นช่างภาพมือสมัครเล่นและมีความฝันว่าจะได้ทำงานด้านนี้เช่นกัน ทั้งสองต่างเรียนรู้และเป็นกำลังใจให้กันและกัน แต่แน่นอนว่าคนทะเยอทะยานย่อมประสบความสำเร็จเร็วกว่าพวกที่เอาแต่นั่งฝันเยอะกว่าลงมือทำ

วงการนางแบบไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นบนแค็ตวอล์ค



               เรื่องนี้ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ตั้งแต่ Internet มีบทบาทต่อสังคมมนุษย์ เรื่องราวข่าวฉาวเกี่ยวกับแฟชั่นก็ออกมามากมาย อาทิ นางแบบทุกคนต้องอดอาหารเพื่อรักษาหุ่น บางคนต้องกินกระดาษทิชชู่เพื่อดำรงชีพไว้ บางคนต้องฝึกเดินกันข้ามวันข้ามคืนจนส่งผลต่อสุขภาพจิต ฯลฯ



               Jesse ก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะได้พบเจอกับเรื่องแบบนี้ เมื่อเธอคิดแค่ว่าการเป็นนางแบบ คือคนที่หน้าตาดีและหุ่นดีเข้ามาถ่ายภาพและโชว์ Costume Make-Up ให้โดดเด่น แต่ความจริงที่เธอเจอโจทย์แรกกลับเป็นการเปลื้องผ้าที่ทำให้เธอกลัวงานด้านนี้ และเมื่อพบกับคำตอบว่า การเปลื้องผ้าเป็นส่วนหนึ่งของงาน เธอจึงค่อยๆ สลายความกลัวนั้นออกไป และเริ่มเข้าตากรรมการในฐานะคนที่ สวยธรรมชาติ

เกมริษยา



               แน่นอนว่าคนที่สวยธรรมชาติย่อมมีชัยกว่าคนที่ศัลยกรรม Jesse ที่เป็นเด็กกำลังวัยรุ่น ต้องมาแข่งขันกับนางแบบตัว Top อย่าง Gigi (แสดงโดย Bella Heathcote) และ Sarah (แสดงโดย Abbey Lee) โดยมีคนกลางอย่าง Ruby (แสดงโดย Jena Malone) ที่คอยช่วยเหลือและหวังบางสิ่งบางอย่างจาก Jesse



               แต่ความริษยาที่ว่าก็เกิดขึ้นในช่วงแรกทันที ที่จะเห็นได้จากการพูดคุยยกต่นข่มผู้อื่นของ Gigi กับ Sarah แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Jesse ย่อท้อเลยสักนิด เธอกลับโล่งใจที่มี Ruby คอยหนุน จนกระทั่ง Jesse ทำสำเร็จได้ระดับหนึ่ง ความมั่นใจและ Ego ของตัวเองก็ปรากฏออกมาโดยที่เธอไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย และนั่นได้สร้างความขมขื่นให้กับ Gigi และ Sarah เป็นอย่างมาก และเมื่อนั้นเอง พลังแห่งการยกตนข่มผู้อื่นก็ถูกโยกไปยังตัว Jesse ที่แสดงออกแบบอ้อมๆ การเสแสร้งทำเป็นให้กำลังใจ แต่คนมีประสบการณ์ย่อมเข้าใจดี และได้แต่ยอมให้มันผ่านๆ ไป

กระจก



               ในภาพยนตร์จะมีการนำเสนอสัญลักษณ์สามเหลี่ยมผสมกับกระจกสะท้อนอยู่เป็นระยะ ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายและเข้าใจง่าย Jesse ซึ่งกำลังไปได้ดีในแวดวงนางแบบ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแต่เด็ก แต่กระนั้นก็มักจะเกิดความย้อนแย้งในจิตใจเธอเสมอที่เข้าสังคม ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่า ทำไมเธอต้องเปลื้องผ้าในการถ่ายแบบ แล้วเธอก็เข้าใจ ทำไมคนอื่นๆ ต้องถามเธอว่าเคยผ่านผู้ชายไหม เธอก็ลังเลที่จะตอบ แต่สุดท้ายเธอก็เข้าใจในภายหลัง



               กระจกสามเหลี่ยมตรงหน้าของ Jesse เป็นการสะท้อนตัวตนอีกด้านหนึ่งของคนเรา อย่างเช่น มีหยิน ก็มีหยาง มีมืด ก็ต้องมีสว่าง Jesse ซึ่งเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่ประสีประสากับโลกมายาเท่าไหร่นัก ก็ย่อมมีด้านมืดที่ตัวเอง แต่ด้วยวัยนั้นเธออาจจะยังไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นไร และทันทีที่เธอได้พบกระจกตรงหน้าที่เป็นเธออีกตัวตนหนึ่ง เธอก็รู้ทันทีว่านั่นคืออีกตัวตนหนึ่งของเธอ ในท้ายที่สุด เธอก็เลือกที่จะให้ด้านมืดเข้าครอบงำตัวเธอไป

ความสวยงามและความมั่นใจก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป



               อาจจะดูย้อนแย้ง แต่กับตัว Jesse ก็ชัดเจนในประเด็นนี้ เมื่อเธอก้าวสู่นางแบบที่สามารถทำเงินเลี้ยงชีพได้ เธอก็เริ่มไม่แคร์คนอื่นแม้กระทั่งแฟนหนุ่มอย่าง Dean เธอก็ละเลยและทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี ทั้งที่ Dean ถือเป็นบันไดขั้นแรกและเป็นคนที่หวังดีกับเธอ แต่เมื่อด้านมืดเข้าครอบงำ Ego ของตัวเองที่มีสูง จะไปแคร์อะไรกับผู้ชายคนเดียวที่เป็นวัยรุ่นธรรมดากันทำไม เพราะเธอเป็นนางแบบไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นกลับเกิดวาทะจากหัวหน้าผู้ Casting ที่ยก Sarah มาเทียบกับ Jesse ให้เห็นถึงความแตกต่างว่า

“ความสวยงามไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ”




เป็นการสื่อความหมายถึงว่า ทุกคนสวยงามได้หมดทั้งภายในและภายนอก แต่ทุกคนก็อยากได้มากกว่านั้น อย่าง Sarah ก็ภูมิใจที่เธอผ่านการศัลยกรรมมาเกือบหมดทุกจุด แต่ Jesse กลับภูมิใจที่ว่าตนเองสวยธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ และหัวหน้า Casting ก็ยกยอเธออีกว่า “นี่คือสิ่งที่ไม่ต้องปรุงแต่งใดใด”

เลือด!



               สไตล์ของ Nicolas ต้องมีเลือด แต่ไม่ใช่การใช้เลือดแบบพร่ำเพรื่อ ดังที่บอกในตอนต้นว่าวงการแฟชั่นไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด การแก่งแย่งชิงดีก็มีให้เห็น การดำรงชีพของนางแบบก็ไม่ได้มีความสุขไปตลอด อย่าง Jesse ที่สามารถเลี้ยงชีพด้วยงานเดินแบบได้ แต่กลับต้องระแวงเจ้าของห้องพักอย่าง Hank (แสดงโดย Keanu Reeves) ที่มีบทบาทเล็กๆ ในเรื่อง แต่ออกแนวสายหื่นและเหี้ยม ที่ Jesse ต้องระวังการจ้องจะเข้ามาหื่นกระชากตลอด



และเมื่อเธอต้องพึ่งพา Ruby ก็กลับพบว่ามันไม่ใช่มิตรภาพ แต่มันคือการแลกเปลี่ยนบางอย่าง จนกระทั่งไม่ได้ดังหวัง เลือด! คือคำตอบ





นางแบบผู้ตกอับจึงร่วมมือกับ Ruby เข้ามาจัดการ Jesse ให้พ้นจากเส้นทางของพวกเธอไปซะให้ได้ แต่ท้ายที่สุด Ruby ก็คิดได้เมื่อสายไปซะแล้ว



อาชีพนางแบบอายุสั้นกว่าอาชีพอื่น



               นางแบบตอบกลับอาจจะไม่คิดเช่นนั้น แต่กับมนุษย์ทั่วไป อาจจะคิดเช่นนั้น ดังที่ Sarah ได้นั่งรอเพื่อนของเธอแต่งหน้าทำผมและได้ยินประโยคกระแทกใจดำจากนางแบบคนอื่นๆ ว่า “เพื่อนของฉันไม่ยอมรับว่าตัวเองเกษียณงานนางแบบแล้ว เดี๋ยวนี้อายุ 21 ก็ไม่สามารถเดินกันได้แล้วล่ะ แต่เพื่อนฉันก็ยังไปหารกเด็กที่เพิ่งออกจากครรภ์มาบำรุงหน้ากัน”



               ทำให้ Sarah และ Gigi ได้คิดได้อีกคนตาม Ruby และได้ยอมรับกับตัวเองว่าเธอแก่เกินจะเดินแบบและเหนื่อยที่ต้องศัลยกรรมตลอด หากเจอคนที่สวยธรรมชาติและดูดีกว่า “เธอจะกิน” มัน และตอนนี้นี่เองที่สอนให้เราได้พบว่า “ความสวยงามภายนอกที่แม้ว่าคุณไปเที่ยวดูดกินความงามของคนอื่นมาเพียงใด ก็ไม่จีรังยั่งยืนเท่าความสวยงามภายใน”



               สำหรับผมถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มาในช่วงที่ผมกำลังหาอะไรใหม่ๆ รับชม และยิ่งเป็นผลงานที่มีชื่อของ Nicolas ตีตราอยู่ด้วย ยิ่งทำให้รับประกันความหฤโหดของแกได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเรื่องนี้แม้จะดิบ เถื่อน แต่ถ้าคุณต้องการอะไรที่ดิบ ระทึกขวัญ และฉีกกว่าภาพยนตร์ Blockbuster ทั่วไปเรื่องนี้สามารถมอบให้คุณได้ครับ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่