สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
คนเรามักจะคิดว่า ถ้าได้ทำแบบนั้นคงจะดีกว่าแน่ๆ แต่จริงๆก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะดีกว่าจริงหรือเปล่า
มันก็แค่ความคิดไงคะ มันเลยดูง่าย แต่ในความจริงเราไม่อาจรู้เลยว่ามันจะเป็นอย่างใจเราคิดมั้ย
ตอนเราเพิ่งคลอดลูกได้ 6 เดือน สามีเราตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอก 2 ปี
เราไม่ห้ามเลยสักคำ แค่ถามว่านั่นคือความต้องการจริงๆ ใช่ไหม
ทุกคนรอบข้างกดดันเรามาก บอกให้เราห้ามสามี เพราะลูกยังเล็กมาก ไม่มีคนช่วยดู อยู่ กทม. กันลำพังกับพี่เลี้ยงอีกคน
เราบอกเลยว่าเราไม่ห้าม เราไม่อยากให้เค้าติดค้าง ไม่อยากได้ยินคำว่า ถ้าวันนั้นเค้าได้ไปเค้าคงดีกว่านี้
ทุกวันที่เค้าอยู่เมืองนอก เค้าต้องโทรไลน์มาทุกวัน วันละหลายครั้ง ทั้งที่ปกติแทบจะไม่ไลน์แบบเห็นหน้ากันเลย
ไม่ถึงสองเดือน เค้าขอเราว่า เค้ากลับมาเมืองไทยได้มั้ย เค้าอยู่ไม่ไหวแล้ว และก็กลับมา
ทุกวันนี้เรายังเคยถามว่าคิดจะกลับไปเมืองนอกอีกมั้ย (ก่อนนี้เค้าเคยไปเรียนภาษามาก่อนแล้ว และอยากไปตั้งรกรากที่โน่น
ดึงดันมากมาย บอกว่าให้ตายยังไงก็จะไปให้ได้ ถึงได้ทำเรื่องไปเรียนต่อปริญญาโทที่โน่น)
ตอนนี้เค้าตอบเราว่า ไม่มีทาง เค้าจะไม่ไปอีกแล้ว จะอยู่ที่นี่นี่แหละ
เราถึงคิดว่าเราคงตัดสินใจถูกแล้ว ที่ให้เค้าได้ลองทำในสิ่งที่เค้าคิดว่าคงจะดีที่สุด
และสุดท้ายเค้าก็ค้นพบด้วยตัวเอง ว่าทางที่เค้าเลือกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เค้ามีความสุข
ถ้าคุณคิดว่าจะเดินย่ำอยู่กับอดีต ก็จงปล่อยคนข้างๆ ให้เค้าเดินไปเจออนาคตเถอะค่ะ
อย่ารั้งให้อีกคนที่เค้ารักคุณ ต้องมาเดินวนอยู่ในอดีตกับคุณด้วยเลย
ปล.ขอโทษที่อินไปหน่อย พอดีอ่านแล้วมันสะกิดใจอย่างจังค่ะ
มันก็แค่ความคิดไงคะ มันเลยดูง่าย แต่ในความจริงเราไม่อาจรู้เลยว่ามันจะเป็นอย่างใจเราคิดมั้ย
ตอนเราเพิ่งคลอดลูกได้ 6 เดือน สามีเราตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอก 2 ปี
เราไม่ห้ามเลยสักคำ แค่ถามว่านั่นคือความต้องการจริงๆ ใช่ไหม
ทุกคนรอบข้างกดดันเรามาก บอกให้เราห้ามสามี เพราะลูกยังเล็กมาก ไม่มีคนช่วยดู อยู่ กทม. กันลำพังกับพี่เลี้ยงอีกคน
เราบอกเลยว่าเราไม่ห้าม เราไม่อยากให้เค้าติดค้าง ไม่อยากได้ยินคำว่า ถ้าวันนั้นเค้าได้ไปเค้าคงดีกว่านี้
ทุกวันที่เค้าอยู่เมืองนอก เค้าต้องโทรไลน์มาทุกวัน วันละหลายครั้ง ทั้งที่ปกติแทบจะไม่ไลน์แบบเห็นหน้ากันเลย
ไม่ถึงสองเดือน เค้าขอเราว่า เค้ากลับมาเมืองไทยได้มั้ย เค้าอยู่ไม่ไหวแล้ว และก็กลับมา
ทุกวันนี้เรายังเคยถามว่าคิดจะกลับไปเมืองนอกอีกมั้ย (ก่อนนี้เค้าเคยไปเรียนภาษามาก่อนแล้ว และอยากไปตั้งรกรากที่โน่น
ดึงดันมากมาย บอกว่าให้ตายยังไงก็จะไปให้ได้ ถึงได้ทำเรื่องไปเรียนต่อปริญญาโทที่โน่น)
ตอนนี้เค้าตอบเราว่า ไม่มีทาง เค้าจะไม่ไปอีกแล้ว จะอยู่ที่นี่นี่แหละ
เราถึงคิดว่าเราคงตัดสินใจถูกแล้ว ที่ให้เค้าได้ลองทำในสิ่งที่เค้าคิดว่าคงจะดีที่สุด
และสุดท้ายเค้าก็ค้นพบด้วยตัวเอง ว่าทางที่เค้าเลือกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เค้ามีความสุข
ถ้าคุณคิดว่าจะเดินย่ำอยู่กับอดีต ก็จงปล่อยคนข้างๆ ให้เค้าเดินไปเจออนาคตเถอะค่ะ
อย่ารั้งให้อีกคนที่เค้ารักคุณ ต้องมาเดินวนอยู่ในอดีตกับคุณด้วยเลย
ปล.ขอโทษที่อินไปหน่อย พอดีอ่านแล้วมันสะกิดใจอย่างจังค่ะ
แสดงความคิดเห็น
มีใครบ้างไหม ที่สุดท้าย แต่งงานมีครอบครัว กับคนที่ตัวเองไม่ได้รักที่สุด
คือถ้าถามว่ารักเธอมั้ย ก็คิดว่ารัก
เธอเป็นคนที่ดี ซื่อสัตย์ ครอบครัวเราสองคนเข้ากันได้ ผมใช้ชีวิตกับเธอก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย
คิดว่า เราจะคบกันได้นานแน่ๆ
แต่ ถ้าถามว่า เธอคือคนที่ผมรักที่สุดหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ใช่
จริงๆผมรู้ใจตัวเองชัดเจนว่า เรารักอีกคนหนึ่งมากกว่า เธอเป็นแฟนเก่าที่คบกันตอนเป็นวัยรุ่น แล้วก็เลิกรากันไปด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าใจกัน
มามองย้อนกลับไปดูอีกทีตอนนี้ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลย คิดว่าถ้าได้โอกาสกลับไปแก้ตัว จะไม่ทำพังแบบเดิมอีก
ผมรักเธอคนเก่านะครับ รักมากจริงๆ คือใจเราสั่นไหวทุกครั้ง แค่เขาทักมา คุยเรื่องปกติทั่วไป (แต่ไม่ได้บอกใคร)
ร้องไห้ง่ายๆ ถ้าเป็นเรื่องแฟนเก่า เหมือนกดสวิตช์ ขนาดนั้นเลย
ผมรู้ลึกๆ เธอเองก็แคร์ผม (แต่เธอวางตัวดีมาก ไม่เคยก้าวก่าย ล้ำเส้นความสัมพันธ์)
ถ้าผมจะกลับไปจริงๆ เธอก็น่าจะให้โอกาสแน่ๆ
แต่กับคนปัจจุบัน เธอเป็นคนดี เธอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย และมันก็ไม่ยุติธรรมกับเธอด้วย ถ้าเราจะจบกันทั้งแบบนี้
เธอฝากความหวังไว้กับผม พ่อแม่เธอเชื่อใจผม พี่ชายเธอฝากฝัง น้องสาวคนเดียวไว้กับผม
แล้วผมก็คิดว่า ถ้าผมทำให้เธอเสียใจอีก ก็เท่ากับว่า ทำให้คนเศร้าเสียใจเพิ่มอีกคนหนึ่งฟรีๆ
คือผมเองก็ไม่รู้ว่าจะรักแฟนคนปัจจุบัน เท่ากับแฟนเก่าคนนั้นได้ไหม (แต่ผมอยู่กับเธอแล้วสบายใจนะครับ)
แล้วแบบนี้ ผมควรจะทำอย่างไรดี
งานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้น ผมควรเดินหน้าต่อไปมั้ย ทั้งๆที่ใจเรายังเป็นแบบนี้