วันที่ 3 ในลาดักห์ เราจะต้องออกเดินทางไกล สู่จุดหมายที่เป็นไฮไลท์หนึ่งของทริป นั่นคือทะเลสาบ Pangong
ออกกันแต่เช้า ประมาณ 6 โมง เพราะใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง ก่อนจะถึงทะเลสาบ เช้ามากยังไม่ค่อยหิวกัน
เลยรองท้องด้วยขนมนมเนยเท่าที่มีนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า หรือว่ามันเช้ามากอากาศในเลห์วันนี้ดูจะเย็นกว่า2วันที่ผ่านมา
Jigmat มารอเราก่อนเวลาเช่นเคยในเสื้อเขียวชุดเดิม วันนี้ทุกคนเริ่มสงสัยแล้วว่าพี่แกใช้เสื้อยืดเขียวเป็น Uniform หรืออย่างไร
เส้นทางในวันนี้เราใช้ถนนสายเดิมกับเมื่อวาน แต่แยกไปคนละทาง บนสาย Leh-Pangong-Manali
การเตียมตัวสู่ Pangong lake นั้นต้องมีการขอเอกสาร permit เข้าไปใน restrict area gs,nvoเป็นเขตควบคุมพิเศษของทหาร เราให้ทางโรงแรมจัดการให้ วิธีการก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก ส่งพาสปอร์ตของทุกคนให้เจ้าของโรงแรมไป และจ่ายคนละ 800 รูปี ก็จะได้ permit มาสำหรับไปทั้ง Pangong lake และ Nubra valley เราทำตามขั้นตอนเรียบร้อยเอกสารมาอยู่ในมือ ความเก๋คือ สัญชาติใน permit ทุกคนได้แปลงร่างเป็นหนุ่มสาวไต้หวันแบบฮิปๆกันไปเรียบร้อย คืออัลไร หน้า passport ก็ Thailand ชัดเจนอยู่นะ แต่สรุปเราสามารถผ่านด่านตรวจไปได้ทุกด่านไม่มีปัญหา โล่งไป
ถนนหนทางที่จะพาเราขึ้นสู่ทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลกที่ความสูง 4,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลนั้น เรียกได้ว่าโหดแสนโหด แทบทั้งหมดระยะทางเพียงแค่ร้อยกว่ากิโลเมคร แต่สามารถขับด้วยความเร็วไม่เกิน 25-30 กม./ชม. ทางเป็นถนนลูกรังซะส่วนใหญ่ ที่มีความกว้างของถนนประมาณให้รถยนต์1คันสวนกับจักรยาน 1 คัน แต่ในความเป็นจริงระหว่างทางที่ไต่ความสูงไปเรื่อยๆ มีทั้งรถบรรทุก รถแบคโฮล รถบัส สวนทางมาตลอดเวลา คนที่นั่งหน้าริมหน้าต่างฝั่งซ้ายหันไปเหลือบมองเห็นเหวหินไปตลอดเส้นทาง ความรู้สึกเสียววูบวาบร้องอู้วอ้าไปตลอดไม่ต่างกับนั่งรถไฟเหาะ และย้ำกันอีกครั้งผ้าปิดจมูกเอาไปเหอะ ฮัมเพลงอะตอมไปตลอดทาง ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตาาาาาา
ถนนช่วงแรกๆลาดยางถือว่าดีหน่อย ยังไม่หวาดเสียวมากนัก
ดอกไม้ข้างทางเอาไว้กั้นระหว่างเรากับเหว
ไต่เขาไปเรื่อยๆมอลงไปด้านล่าง นี่เราผ่านอะไรมาเนี่ย
แม้เส้นทางจะโหดหินแต่ไหนแต่ดอกไม้ริมทางก็พอจะบรรเทาเบาใจของเราไปได้บ้าง เหรออออ
ไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มองลงมาดูวิวระหว่างทางก็จะเห็นหมู่บ้านสีเขียวดูๆไปก็คล้ายโอเอซิสกลางทะเลทรายนะ
หมู่บ้านสีเขียวในหุบเขา
เอาเข้าจริงอากาศวันนี้เหมือนจะหนาวจริงๆล่ะ เพราะว่าเราขึ้นที่สูงกว่า 5000 เมตร ผ่านเส้นทางที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สูงเป็นอันดับ3ของโลก ชางลาพาส ที่ความสูง 5,350 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล นั่งๆไปก็เริ่มมองเห็นภูเขาน้ำแข็งอยู่ระดับเดียวกับสายตา แล้วทุกคนก็เริ่มมองหน้ากันตัวสั่นด้วยจะสื่อความหมายว่า ซวยละ เสื้อผ้าที่เตรียมมาวันนี้ไม่ได้เหมาะกับการลุยหิมะนะเฟ้ย
ไม่มีความพร้อมที่จะเผชิญหนาวเล้ย
ด้วยความที่ยังคึกเลยเดินไปริมลำธารข้างๆยอดภูเขาหิมะ บรึ๋ย น้ำใสไหลโคตรเย็นแน่นอนว่าไม่เห็นตัวปลา มีดอกไม้สวยๆแทน
เมื่อเวลา 11 โมงเล็กน้อยเราก็มาถึงยอด Shangla pass ณ จุดที่เป็นถนนสูงอันดับ 3 ของโลก นอกจากหนาวแล้ว ด้วยความสูงที่เพิ่มขึ้นมาก หลายคนก็เริ่มมีอาการมึนหัวเวียนหัวขาดออกซิเจนกันแล้ว ที่บน Shangla pass มีจุดพักให้เราได้จิบชาอุ่นๆ ซึ่งช่วยได้ดีมากทั้งอาการหนาวและอาการมึน
ร้านอาหารที่สูงที่สุดในโลกบน Shang la pass
โชคดีทวีทรัพย์ของเรายังไม่จบเท่านั้น เมื่อจิบชาร้อนๆกันจนได้ที่ ก็ได้เวลาเข้าห้องน้ำฉี่ตุนเอาไว้ก่อน แล้วเมื่อสาวๆเข้าไปในห้องน้ำที่ไร้หลังคาปกคลุม ประสบการณ์ฉี่ท่ามกลางหิมะตกก็เกิดขึ้น นี่เราได้มาเจอหิมะตอนหน้าร้อน พระเจ้า ใครจะเชื่อกัน
หิมะก็โปรยปรายมาแบบไม่คาดคิด
เราเริ่มเกิดความรู้สึกกังวลกันเล็กน้อย ถึงจะตื่นเต้นที่ได้เจอหิมะอย่างไม่คาดคิด เพราะฟ้าปิดมาก เมฆเต็ม มีทั้งหิมะ และเหมือนจะมีฝนตั้งเค้าอีก นั่นหมายความว่า เราอาจไม่ได้เห็นสีฟ้าใสของทะเลสาบปันกองอย่างที่หวังเอาไว้ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย เราออกจาก Shangla pass ขับมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางของ Pangong lake ซึ่งอีกไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมงก็คงจะถึงแล้ว
ระหว่างทางผ่านหมู่บ้าน ผ่านทุ่งหญ้า มีลำน้ำใสที่ไหลมาจากยอดภูเขาน้ำแข็งที่ละลาย มีแหล่งหญ้าให้ม้า แกะแพะ ได้กินกันเอร็ดอร่อย บรรยากาศแบบนี้ใครจะเชื่อว่าเราอยู่อินเดีย
ทุ่งหญ้า ลำน้ำ ขุนเขา ดอกไม้ระหว่างทางไปปันกอง
ทุ่งหญ้าเขียวตัดกับเขาน้ำตาลและแพะด้านหลัง
ม้าก็มา
แพะก็มี รวมสายพันธุ์กันอยู่แบบสามัคคี
แล้วเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อยเกินกำหนดไปนิดหน่อย เราก็เข้าสู่เขตทะเลสาบ ราวกับทำบุญมาดีหรือมีเทพารักษ์คอยพิทักษ์เรา
เมฆฝนและหิมะที่ดำปกคลุมท้องฟ้าเมื่อไม่กี่นาที่ที่ผ่านมา สลายหายไปหมด ฟ้าเริ่มใส มีแดดจางๆ และ Jigmat ชี้ชวนให้เราดู ภาพแรกของทะเลสาบปันกอง ที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาน้อยใหญ่ทะเลสาบสะท้อนสีฟ้าของฟ้าผ่านทิวเขาสีน้ำตาลออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์
เรามาถึงแล้วจริงๆ
ภาพแรกของทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลก
สีฟ้าใสของทะเลสาบหลังฟ้าเปิด ที่ถูกห้อมล้อมด้วยทิวเขาสีน้ำตาลเทา
หนึ่งรูปที่เป็นจุดเริ่มต้นของทั้งทริป
วันนี้เรานั่งรถไต่เขาสูงเพี่อจะไป Pangong lake ใช้เวลา6ชั่วโมง และคุ้มค่าทุกนาที เราได้เห็นอะไรมากมาย ได้เห็นภูเขาน้ำแข็ง นั่งจิบชาที่ร้านอาหารที่สูงที่สุดในโลก แล้วก็มีหิมะตก ใครจะคิดฝันจะเจอหิมะในหน้าร้อน และแน่นอนเราได้ไปเจอกับทะเลสาบสีน้ำเงินแสนสวยสุดตะลึง
เมื่อปีครึ่งที่แล้วหลังกลับจากทริปเวียดนาม ก็บังเอิญไปเปิดผ่านเจอรูปทะเลสาบแห่งนึงที่โคตรสวย จากวันนั้นก็ตกลงกันว่าเนี่ยแหละทริปต่อไปเราจะไปทะเลสาบนี้กัน แล้ววันนี้เราก็อยู่ตรงนี้แล้ว เกินจินตนาการและคำบรรยายใดๆจะอธิบายได้ ให้รูปบอกทุกอย่างละกัน
ฟ้าเปิดเป็นใจให้เรา
สวยตะลึงสมใจ
ที่ถ่อออกไปถ่ายรูปที่หินก้อนนั้น ที่ลุยน้ำครึ่งน่องออกไปใช่ว่าจะอบอุ่น เย็นจนชาไปครึ่งตัว
เราใช้เวลาถ่ายรูปในจุดนี้อยู่เกือบ 2 ชม. ทั้งถอดรองเท้าจุ่มแช่ หามุมสวยกันทุกมุมจนหนำใจ
สวยจัง ภูเขา
แล้วก็ถึงเวลาพักกินข้าวที่ร้านข้างๆทะเลสาบเมนูที่ทุกคนสั่งเหมือนกันคือแมกกี้ไข่ แมกกี้คือมาม่ารสแกงกะหรี่ใส่ไข่เจียว ไม่ใช่ไข้ลวกแบบบ้านเรา แปลกดีนะเป็นอาหารที่หากินได้ทั่วไป รสชาติพอใช้กินได้คล่องคอ
เมื่ออิ่มหนำก็ได้เวลาย้ายจุดไปข้างหน้าอีก 1 กม.เพื่อไปชมอีกมุมของทะเลสาบแต่ตอนนั้นฝนกลับมาหลงหนักอีกครั้ง ทะเลสาบเริ่มเปลี่ยนสี ไม่ฟ้าใสเหมือนเดิม จริงๆมีช่วงที่เมฆเยอะๆ น้ำกลายเป็นสีดำไปเลย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เราแวะจุดนี้ไม่นานก็คิดว่ากลับดีกว่า
ธงมนตร์ท่ามกลางลมฝนริมทะเลสาบ
กลับกันเถอะเรา
ระหว่างทางขากลับด้วยความใจดีของ Jigmat หลังจากทุกคนค่อนข้างโรยแรงจากการเดินทาง ได้สูดออกซิเจนกันคนละปื๊ด2ปื๊ด
พี่เขียวพาเราแวะจุดชมตัว Marmots สิ่งมีชีวิตฟันแทะก้นย้วยตัวอ้วนกลมน่ารัก ที่ขุดรูอยู่กันเต็มทุ่ง
Marmots
กลมมากเลยลูก
ได้คนละแชะ2แชะ
น่าร้ากกกก
ระหว่างทางกลับก็ยังมีวิวสวยๆให้ตะลึงกันไปตลอดทาง
แวะชางลาพาสอีกรอบ หิมะไม่ตกแล้ว เห็นลาน้อยแบกน้ำมากัน2ตัวน่ารักเชียว
ถือเป็นวันดีๆ ที่โชคเข้าข้างเราทุกอย่าง เจอหิมะ เจอทะเลสาบสวยฟ้าใส ฝนหยุดและตกตามเวลาที่เหมาะสม ปิดท้ายด้วยรุ้งที่ปรากฎให้เราเห็นระหว่างทางกลับที่ Shey palace
ด้วยการเดินทางที่ยาวไกล อากาศเปลี่ยนหลายรอบใน 1 วัน จึงจบลงด้วยไข้และเวียนหัว
พาราไดเมนคนละเม็ดแล้วสลบไป
When in Leh (2) Pangong lake ในฝัน ตื่นตะลึงกับทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก (Leh-Ladakh)
วันที่ 3 ในลาดักห์ เราจะต้องออกเดินทางไกล สู่จุดหมายที่เป็นไฮไลท์หนึ่งของทริป นั่นคือทะเลสาบ Pangong
ออกกันแต่เช้า ประมาณ 6 โมง เพราะใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง ก่อนจะถึงทะเลสาบ เช้ามากยังไม่ค่อยหิวกัน
เลยรองท้องด้วยขนมนมเนยเท่าที่มีนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า หรือว่ามันเช้ามากอากาศในเลห์วันนี้ดูจะเย็นกว่า2วันที่ผ่านมา
Jigmat มารอเราก่อนเวลาเช่นเคยในเสื้อเขียวชุดเดิม วันนี้ทุกคนเริ่มสงสัยแล้วว่าพี่แกใช้เสื้อยืดเขียวเป็น Uniform หรืออย่างไร
เส้นทางในวันนี้เราใช้ถนนสายเดิมกับเมื่อวาน แต่แยกไปคนละทาง บนสาย Leh-Pangong-Manali
การเตียมตัวสู่ Pangong lake นั้นต้องมีการขอเอกสาร permit เข้าไปใน restrict area gs,nvoเป็นเขตควบคุมพิเศษของทหาร เราให้ทางโรงแรมจัดการให้ วิธีการก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก ส่งพาสปอร์ตของทุกคนให้เจ้าของโรงแรมไป และจ่ายคนละ 800 รูปี ก็จะได้ permit มาสำหรับไปทั้ง Pangong lake และ Nubra valley เราทำตามขั้นตอนเรียบร้อยเอกสารมาอยู่ในมือ ความเก๋คือ สัญชาติใน permit ทุกคนได้แปลงร่างเป็นหนุ่มสาวไต้หวันแบบฮิปๆกันไปเรียบร้อย คืออัลไร หน้า passport ก็ Thailand ชัดเจนอยู่นะ แต่สรุปเราสามารถผ่านด่านตรวจไปได้ทุกด่านไม่มีปัญหา โล่งไป
ถนนหนทางที่จะพาเราขึ้นสู่ทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลกที่ความสูง 4,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลนั้น เรียกได้ว่าโหดแสนโหด แทบทั้งหมดระยะทางเพียงแค่ร้อยกว่ากิโลเมคร แต่สามารถขับด้วยความเร็วไม่เกิน 25-30 กม./ชม. ทางเป็นถนนลูกรังซะส่วนใหญ่ ที่มีความกว้างของถนนประมาณให้รถยนต์1คันสวนกับจักรยาน 1 คัน แต่ในความเป็นจริงระหว่างทางที่ไต่ความสูงไปเรื่อยๆ มีทั้งรถบรรทุก รถแบคโฮล รถบัส สวนทางมาตลอดเวลา คนที่นั่งหน้าริมหน้าต่างฝั่งซ้ายหันไปเหลือบมองเห็นเหวหินไปตลอดเส้นทาง ความรู้สึกเสียววูบวาบร้องอู้วอ้าไปตลอดไม่ต่างกับนั่งรถไฟเหาะ และย้ำกันอีกครั้งผ้าปิดจมูกเอาไปเหอะ ฮัมเพลงอะตอมไปตลอดทาง ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตาาาาาา
ถนนช่วงแรกๆลาดยางถือว่าดีหน่อย ยังไม่หวาดเสียวมากนัก
ดอกไม้ข้างทางเอาไว้กั้นระหว่างเรากับเหว
ไต่เขาไปเรื่อยๆมอลงไปด้านล่าง นี่เราผ่านอะไรมาเนี่ย
แม้เส้นทางจะโหดหินแต่ไหนแต่ดอกไม้ริมทางก็พอจะบรรเทาเบาใจของเราไปได้บ้าง เหรออออ
ไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มองลงมาดูวิวระหว่างทางก็จะเห็นหมู่บ้านสีเขียวดูๆไปก็คล้ายโอเอซิสกลางทะเลทรายนะ
หมู่บ้านสีเขียวในหุบเขา
เอาเข้าจริงอากาศวันนี้เหมือนจะหนาวจริงๆล่ะ เพราะว่าเราขึ้นที่สูงกว่า 5000 เมตร ผ่านเส้นทางที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สูงเป็นอันดับ3ของโลก ชางลาพาส ที่ความสูง 5,350 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล นั่งๆไปก็เริ่มมองเห็นภูเขาน้ำแข็งอยู่ระดับเดียวกับสายตา แล้วทุกคนก็เริ่มมองหน้ากันตัวสั่นด้วยจะสื่อความหมายว่า ซวยละ เสื้อผ้าที่เตรียมมาวันนี้ไม่ได้เหมาะกับการลุยหิมะนะเฟ้ย
ไม่มีความพร้อมที่จะเผชิญหนาวเล้ย
ด้วยความที่ยังคึกเลยเดินไปริมลำธารข้างๆยอดภูเขาหิมะ บรึ๋ย น้ำใสไหลโคตรเย็นแน่นอนว่าไม่เห็นตัวปลา มีดอกไม้สวยๆแทน
เมื่อเวลา 11 โมงเล็กน้อยเราก็มาถึงยอด Shangla pass ณ จุดที่เป็นถนนสูงอันดับ 3 ของโลก นอกจากหนาวแล้ว ด้วยความสูงที่เพิ่มขึ้นมาก หลายคนก็เริ่มมีอาการมึนหัวเวียนหัวขาดออกซิเจนกันแล้ว ที่บน Shangla pass มีจุดพักให้เราได้จิบชาอุ่นๆ ซึ่งช่วยได้ดีมากทั้งอาการหนาวและอาการมึน
ร้านอาหารที่สูงที่สุดในโลกบน Shang la pass
โชคดีทวีทรัพย์ของเรายังไม่จบเท่านั้น เมื่อจิบชาร้อนๆกันจนได้ที่ ก็ได้เวลาเข้าห้องน้ำฉี่ตุนเอาไว้ก่อน แล้วเมื่อสาวๆเข้าไปในห้องน้ำที่ไร้หลังคาปกคลุม ประสบการณ์ฉี่ท่ามกลางหิมะตกก็เกิดขึ้น นี่เราได้มาเจอหิมะตอนหน้าร้อน พระเจ้า ใครจะเชื่อกัน
หิมะก็โปรยปรายมาแบบไม่คาดคิด
เราเริ่มเกิดความรู้สึกกังวลกันเล็กน้อย ถึงจะตื่นเต้นที่ได้เจอหิมะอย่างไม่คาดคิด เพราะฟ้าปิดมาก เมฆเต็ม มีทั้งหิมะ และเหมือนจะมีฝนตั้งเค้าอีก นั่นหมายความว่า เราอาจไม่ได้เห็นสีฟ้าใสของทะเลสาบปันกองอย่างที่หวังเอาไว้ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย เราออกจาก Shangla pass ขับมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางของ Pangong lake ซึ่งอีกไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมงก็คงจะถึงแล้ว
ระหว่างทางผ่านหมู่บ้าน ผ่านทุ่งหญ้า มีลำน้ำใสที่ไหลมาจากยอดภูเขาน้ำแข็งที่ละลาย มีแหล่งหญ้าให้ม้า แกะแพะ ได้กินกันเอร็ดอร่อย บรรยากาศแบบนี้ใครจะเชื่อว่าเราอยู่อินเดีย
ทุ่งหญ้า ลำน้ำ ขุนเขา ดอกไม้ระหว่างทางไปปันกอง
ทุ่งหญ้าเขียวตัดกับเขาน้ำตาลและแพะด้านหลัง
ม้าก็มา
แพะก็มี รวมสายพันธุ์กันอยู่แบบสามัคคี
แล้วเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อยเกินกำหนดไปนิดหน่อย เราก็เข้าสู่เขตทะเลสาบ ราวกับทำบุญมาดีหรือมีเทพารักษ์คอยพิทักษ์เรา
เมฆฝนและหิมะที่ดำปกคลุมท้องฟ้าเมื่อไม่กี่นาที่ที่ผ่านมา สลายหายไปหมด ฟ้าเริ่มใส มีแดดจางๆ และ Jigmat ชี้ชวนให้เราดู ภาพแรกของทะเลสาบปันกอง ที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาน้อยใหญ่ทะเลสาบสะท้อนสีฟ้าของฟ้าผ่านทิวเขาสีน้ำตาลออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์
เรามาถึงแล้วจริงๆ
ภาพแรกของทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลก
สีฟ้าใสของทะเลสาบหลังฟ้าเปิด ที่ถูกห้อมล้อมด้วยทิวเขาสีน้ำตาลเทา
หนึ่งรูปที่เป็นจุดเริ่มต้นของทั้งทริป
วันนี้เรานั่งรถไต่เขาสูงเพี่อจะไป Pangong lake ใช้เวลา6ชั่วโมง และคุ้มค่าทุกนาที เราได้เห็นอะไรมากมาย ได้เห็นภูเขาน้ำแข็ง นั่งจิบชาที่ร้านอาหารที่สูงที่สุดในโลก แล้วก็มีหิมะตก ใครจะคิดฝันจะเจอหิมะในหน้าร้อน และแน่นอนเราได้ไปเจอกับทะเลสาบสีน้ำเงินแสนสวยสุดตะลึง
เมื่อปีครึ่งที่แล้วหลังกลับจากทริปเวียดนาม ก็บังเอิญไปเปิดผ่านเจอรูปทะเลสาบแห่งนึงที่โคตรสวย จากวันนั้นก็ตกลงกันว่าเนี่ยแหละทริปต่อไปเราจะไปทะเลสาบนี้กัน แล้ววันนี้เราก็อยู่ตรงนี้แล้ว เกินจินตนาการและคำบรรยายใดๆจะอธิบายได้ ให้รูปบอกทุกอย่างละกัน
ฟ้าเปิดเป็นใจให้เรา
สวยตะลึงสมใจ
ที่ถ่อออกไปถ่ายรูปที่หินก้อนนั้น ที่ลุยน้ำครึ่งน่องออกไปใช่ว่าจะอบอุ่น เย็นจนชาไปครึ่งตัว
เราใช้เวลาถ่ายรูปในจุดนี้อยู่เกือบ 2 ชม. ทั้งถอดรองเท้าจุ่มแช่ หามุมสวยกันทุกมุมจนหนำใจ
สวยจัง ภูเขา
แล้วก็ถึงเวลาพักกินข้าวที่ร้านข้างๆทะเลสาบเมนูที่ทุกคนสั่งเหมือนกันคือแมกกี้ไข่ แมกกี้คือมาม่ารสแกงกะหรี่ใส่ไข่เจียว ไม่ใช่ไข้ลวกแบบบ้านเรา แปลกดีนะเป็นอาหารที่หากินได้ทั่วไป รสชาติพอใช้กินได้คล่องคอ
เมื่ออิ่มหนำก็ได้เวลาย้ายจุดไปข้างหน้าอีก 1 กม.เพื่อไปชมอีกมุมของทะเลสาบแต่ตอนนั้นฝนกลับมาหลงหนักอีกครั้ง ทะเลสาบเริ่มเปลี่ยนสี ไม่ฟ้าใสเหมือนเดิม จริงๆมีช่วงที่เมฆเยอะๆ น้ำกลายเป็นสีดำไปเลย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เราแวะจุดนี้ไม่นานก็คิดว่ากลับดีกว่า
ธงมนตร์ท่ามกลางลมฝนริมทะเลสาบ
กลับกันเถอะเรา
ระหว่างทางขากลับด้วยความใจดีของ Jigmat หลังจากทุกคนค่อนข้างโรยแรงจากการเดินทาง ได้สูดออกซิเจนกันคนละปื๊ด2ปื๊ด
พี่เขียวพาเราแวะจุดชมตัว Marmots สิ่งมีชีวิตฟันแทะก้นย้วยตัวอ้วนกลมน่ารัก ที่ขุดรูอยู่กันเต็มทุ่ง
Marmots
กลมมากเลยลูก
ได้คนละแชะ2แชะ
น่าร้ากกกก
ระหว่างทางกลับก็ยังมีวิวสวยๆให้ตะลึงกันไปตลอดทาง
แวะชางลาพาสอีกรอบ หิมะไม่ตกแล้ว เห็นลาน้อยแบกน้ำมากัน2ตัวน่ารักเชียว
ถือเป็นวันดีๆ ที่โชคเข้าข้างเราทุกอย่าง เจอหิมะ เจอทะเลสาบสวยฟ้าใส ฝนหยุดและตกตามเวลาที่เหมาะสม ปิดท้ายด้วยรุ้งที่ปรากฎให้เราเห็นระหว่างทางกลับที่ Shey palace
ด้วยการเดินทางที่ยาวไกล อากาศเปลี่ยนหลายรอบใน 1 วัน จึงจบลงด้วยไข้และเวียนหัว
พาราไดเมนคนละเม็ดแล้วสลบไป