NERVE :: Are you a WATCHER or a PLAYER? (No Spoil เพราะหนังมันก็แทบไม่มีอะไรให้ Spoil อยู่แล้วล่ะ)

เป็นหนังอีกเรื่องของปีนี้ที่ผมชอบตั้งแต่เห็นตัวอย่างแล้วครับ และก็ไม่พลาดที่จะดูแน่นอน แม้ว่าตอนนี้ผมกำลังมาเที่ยวเชียงใหม่อยู่ก็ตาม ฮ่าๆๆ (หลายคนอาจจะนึกค่อนขอดผมอยู่ในใจว่าเป็นคนประเภทใหนกันที่อุตส่าห์ไปเที่ยวถึงเชียงใหม่แล้วดันเอาเวลาไปดูหนัง คือผมมาเชียงใหม่บ่อยแล้วครับ เลยไม่รู้จะไปไหนจริงๆ อย่าดุเค้านะ!!)

เข้าเรื่องหนังกันครับ "NERVE" ดูจะเป็นหนังที่เล่นท้าทายกันคล้ายๆ "Truth or Dare" เพียงแต่ทางเลือกของ "ผู้เล่น(Players)" ไม่ใช่ทางเลือกให้พูดความจริงแบบเกมเด็กเล่นเกมนั้น แต่ผู้เล่นต้องเลือกที่จะ "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" ภารกิจที่ถูกท้าทายมาจาก "ผู้ชม(Watchers)" ซึ่งในที่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ ก็ "ชาวเน็ต" เช่นผมและพวกคุณนี่แหละ และหนังก็กัดพวกเราซะจนผมต้องแอบสำรวจตัวเองว่าเคยทำตัวเป็น "ผู้ชมชั้นlลว" แบบในหนังหรือเปล่า!!??!!

จริงๆพล็อตเรื่องโดยรวมของหนังมันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรหรอกนะครับ มันเป็นการหยิบเอานั่นนิด นี่หน่อย มารวมๆกันในกระทะ แล้วโยนวุ้นเส้นยี่ห้อ Cyberbullying ลงไปผัดรวมกัน เพื่อทำหน้าที่ผสานรสชาติให้มันไปในทิศทางเดียวกัน ปรุงรสเพิ่มอีกนิดหน่อย ก็ได้แกงโฮ๊ะมาจานนึงละ เอ้ย!! กลายเป็นหนังเรื่องนี้ละ(สาบานว่าไม่ได้หิวจริงๆนะ!!!) ..เพราะเรื่องต่างๆที่หนังหยิบยกเอามาผสมรวมกันที่ว่านั่นมันก็คือสิ่งที่พวกเราชาวเน็ตได้เห็นบ่อยๆในโลกของอินเตอร์เน็ตนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นพวกคลิปปาร์ตี้วัยรุ่นหญิงที่เมาแล้วเต้นยั่วๆหน่อย หรือคลิปที่คนทำอะไรแปลกๆที่ดูแล้วตลก หรือคลิปเสี่ยงตายโดยการห้อยโหนจากที่สูง หรือคลิปแบบอื่นๆที่เป็นไวรัล เป็นกระแสให้ถูกแชร์ต่อกันเยอะๆ ซึ่งหนังเค้าก็เอาภาพ และคลิปพวกนั้นน่ะครับมาสร้างสถานการณ์ว่ามีเกมนึงที่ให้เราเลือกว่าจะเป็น "ผู้ชม(Watchers)" หรือ "ผู้เล่น(Players)" ผู้ชมก็มีหน้าที่ติดตามชมเพื่อเพิ่มยอดวิว ยอดไลค์ ถ้าอยากได้สิทธิพิเศษมากขึ้นโดยไม่ต้องไปซื้อรถกับพริตตี้ที่งานมอเตอร์โชว์ก็แค่เสียตังค์สมัครสมาชิกไปซะ ส่วนใครเป็นผู้เล่นก็ต้องทำตามสิ่งที่ผู้ชมท้าให้ทำ ..ถ้าทำสำเร็จก็จะได้รับเงินตามความยากของเกม  แต่ถ้าไม่ทำ หรือทำไม่สำเร็จก็จะถูกตัดออกจากการแข่งขันพร้อมกับเงินที่ได้มาจากภารกิจก่อนหน้าก็จะโดนยึดคืนด้วย ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆไม่พูดถึงละกันนะครับ อยากให้ไปชมกันต่อในหนัง (จริงๆคือพิมพ์จากมือถือ มือนี่สั่นไปหมด อยากเล่าใจจะขาดแต่มันไม่ค่อยถนัด ฮ่าๆๆ)

นอกจากพล็อตเรื่องที่ผมว่าโคตรเท่แล้ว การใช้สี แสง และองค์ประกอบศิลป์ รวมถึง CG กราฟฟิคทั้งหมดในเรื่อง และเพลงประกอบก็ดูเท่มากเช่นกันครับ มันดูส่งเสริมกัน และมาในจังหวะที่พอดีมากๆ ถึงแม้กราฟฟิกมันจะเชยมาก ถ้าพูดแบบไม่รักษาน้ำใจกันเลยก็คือ "เชยระห่ำ" แต่ผมไม่อยากใช้คำแบบนั้น เพราะยังไงผมก็รู้สึกว่ามันเท่มากเมื่อมันมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ เพราะด้วยกราฟฟิคเชยๆนั่นมันทำให้นึกถึงคลิปของมือสมัครเล่นทั้งหลายที่มันมีมากมายในอินเตอร์เน็ต และไอ้คลิปที่ดูไม่ค่อยตั้งใจพวกนี้บางคลิปได้รับความนิยมมากกว่าคลิปของมืออาชีพที่ทำกราฟฟิคมาสวยๆซะอีก ซึ่งผมเข้าใจว่าหนังเค้าก็ต้องการให้เป็นแบบนั้นแหละครับ เพราะถ้าทำกราฟฟิคสวยๆมาคงไม่ได้ความรู้สึกแบบนั้นขณะดู ส่วนนักแสดงก็เล่นดีนะครับ ทุกตัวละครดูมีสเน่ห์ในบทของตัวเอง ทั้งตัวเด่นๆทั้ง 5 และตัวจิ๊ดตัวจ้อยก็ดูมีสเน่ห์หมด แม้ภาพรวมหนังจะดูเป็นหนังวัยรุ่นเกรดบีไปหน่อย เพราะนักแสดงเกือบทั้งหมดในเรื่องคือคนที่เราน่าจะไม่คุ้นหน้าพวกเค้าเลย ยกเว้นพระเอกกับนางเอกที่เคยผ่านงานแสดงมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เด่นดังขนาดเป็น A-List เข้าใจว่าเหตุผลการเลือกนักแสดงก็คงคล้ายๆการทำกราฟฟิคเชยๆ คือต้องการให้รู้สึกถึงความไร้ตัวตนของพวกเค้า แต่พอพวกเค้ามาอยู่ในหนังแลัวมันเท่มาก ขนาดพระเอกที่ผมไม่เคยรู้สึกว่าเค้าเท่เลยในชีวิตการเล่นหนังของเค้า เพราะเค้าชอบได้รับบทเป็นตัวรอง เป็นลูกไล่ของพระเอกอีกที แต่ในเรื่องนี้แม่มเท่มาก ถ้าเอาพระเอกนางเอกระดับ A-List มาเล่น เราอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงอะไรแบบนี้ก็ได้ ..ทั้งเรื่องน่าจะมีนักแสดงคนเดียวที่คนทั่วไปรู้จักนั่นคือ "James Franco" ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะอยากวิ่งมาตะโกนที่หน้าบ้านผมว่า "พระเอกคือ Dave เว้ย ไม่ใช่ James!!!!" แต่อย่าเพิ่งวิ่งมาครับ เพราะผมไม่อยู่!! ..และถึงแม้จะมีบางคนวิ่งมาแล้วก็ตาม ผมก็จะยังคงยืนยันอยู่ดีครับว่าเรื่องนี้มี James Franco ร่วมอยู่ด้วย!!

ส่วนเนื้อเรื่อง คือถ้าจะมานั่งจับผิดกันจริงๆมันก็มีหลายจุดอยู่เหมือนกันครับที่มันประหลาด ..แต่พอรับได้ครับ รับได้จริงๆนะ!! ทั้งที่ผมก็เป็นคนเรื่องมากในการดูหนังคนนึง แต่ผมรับกับความประหลาดของมันได้ เพราะพอผมได้เจอกับความเท่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไปข้างต้น ผมก็รับกับข้อผิดพลาดทุกอย่างได้หมดเลยครับ และยิ่งพอมองว่ามันคือหนังเกรดบีด้วยแล้ว บางอย่างที่มันไม่สมเหตุสมผล มันก็ดูจะ "ช่างมันเถอะ" ได้ไม่ยาก มันคล้ายๆกับตอนที่ผมดู "The Perge" ภาคแรกแล้วเจอความไม่สมเหตุสมผล ผมก็แค่ "ช่างมันเถอะ" ไม่ใช่เพราะผมถือวิสาสะไปประเมินหนังเค้าว่าเป็นหนังเกรดบีแล้วผมไม่สนใจอะไรนะครับ แต่เพราะประเด็นหลักๆที่เค้าต้องการจะสื่อมันยังไม่เสีย หรือจะพูดด้วยศัพท์ที่ฟังดูวิชาการหน่อยก็คือ "ความประหลาดของหนังมันไม่ทำให้เสียอรรถรสในการชม" อะไรประมาณนั้นนั่นแหละ

นักแสดงที่ผมอยากพูดถึงมากที่สุดในเรื่องไม่ใช่พระเอกนางเอกครับ แต่เป็นพระรองอย่าง Tommy รับบทโดย Miles Heizer (แน่นอนว่าผมไม่รู้จัก ขอบคุณที่โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า "IMDb") ในเรื่องทอมมี่เป็นเพื่อนกับวีนัส หรือวี นางเอกของเรื่อง และก็ดูจะสนิทกันมากจนกลายเป็นคู่จิ้นกัน(ไอ้ตัวนี้ก็ดูจะมีใจให้เค้าซะด้วย) และในขณะเดียวกัน ทอมมี่ก็เก่งเรื่องโปรแกรมชนิดหาตัวจับยากด้วยเช่นกัน(รู้สึกคำว่า "กัน" มันจะฟุ่มเฟือยเกินไปละ) คือที่อยากพูดถึงทอมมี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ระหว่างที่ดูตัวละครตัวนี้ผมก็นึกถึงหน้าของเต๋อ ฉันทวิชช์ ในเรื่อง "แฟนเดย์" ขึ้นมาเท่านั้นเอง เรื่องนั้นเต๋อเป็นพระเอก แต่ภาพลักษณ์นี่ดูไม่ได้เลย แต่เรื่องนี้ทอมมี่เป็นพระรองแท้ๆ แต่มาซะหล่อเฟี้ยวเชียว ทั้งที่หน้ากากทางสังคม ความสามารถทางการคุยกับคอมพิวเตอร์ และภาวะ Looser ของทั้งสองตัวละครนี้ไม่ได้ต่างกันเลย(จากการดูตัวอย่างเรื่องนั้นน่ะนะ) เป็นการบอกเป็นนัยๆว่าโปรแกรมเมอร์ไม่ได้มีแต่ หัวหยิก ปากxมา หน้าแว่นแบบพี่เต๋อในแฟนเดย์นะจ๊ะสาวๆ ..ถึงตรงนี้คนที่วิ่งมาหน้าบ้านผมคราวก่อนอาจจะอยากวิ่งมาอ้วกที่หน้าบ้านผมอีกรอบเพราะหาว่าผมอวยอาชีพตัวเองสินะ ..เปล่าครับ!! ผมไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์!!!!(แต่เพื่อนผมเป็น และเพื่อนผมก็บ่นงอนพี่โต้งอยู่นิดหน่อยที่ทำเหมือนสร้าง Stereotype ให้โปรแกรมเมอร์ดูเป็นแบบนั้น!!!)


สรุปนะครับ

"NERVE" สำหรับผมนะครับมันดูเป็นหนังเกรดบีที่โคตรเท่ในทุกๆอย่าง เท่ตั้งแต่ที่หยิบยกเอาประเด็นเรื่อง Cyberbullying ที่กำลังถูกพูดถึงกันอยู่มาย่อยให้ง่ายขึ้นด้วยการเล่าผ่านหนังวัยรุ่นสีแรดๆซักเรื่อง เอาความกล้า ความบ้า ความห่าม ความคะนอง และอีกหลายๆความ ของวัยรุ่นมาสื่อให้เห็นถึงพิษภัยของอินเตอร์เน็ต โลกสมมุติที่เราพากันสร้างขึ้นเพื่อแสดงออกอีกพฤติกรรมนึงที่เราอาจจะไม่สามารถแสดงออกได้ในโลกของชีวิตจริง ยิ่งได้แรงสนับสนุน แรงขับ จากใครก็ไม่รู้อีกฟากนึงของอินเตอร์เน็ตเราก็ยิ่งกล้า ยิ่งบ้า ยิ่งระห่ำกันมากขึ้นที่จะแสดงตัวตนสมมุติ ในโลกสมมุติ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ที่คิดละเมอกันไปเองว่าเป็นโลกที่ไร้ตัวตน จะแสดงความคิดเห็นว่าร้ายใคร หรือยุยงให้ใครทำผิดยังไงก็ได้โดยไม่มีความผิด ทั้งที่จริงๆแล้วแค่เราเริ่มใช้อินเตอร์เน็ต ข้อมูลของเรามันก็ถูกเก็บไว้ที่ไหนซักแห่งไปแล้ว รอแค่ว่าจะมีใครไปขุดค้นข้อมูลพวกนั้นออกมาหรือเปล่าเท่านั้นเอง!! [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


อีกนิดนึงครับ ..เรื่องนี้ไม่ได้มีหนังสั้นหลัง End Credit แบบหนังฮีโร่หรอกนะครับ แต่อยากให้นั่งดู End Credit กันไปก่อน ..เพราะกราฟฟิคมันโคตรเท่เลย ดูแล้วอยากจะยืนปรบมือดังๆให้คนทำ End Credit แต่กลัวจะเจ็บมือเปล่า เพราะเค้าคงไม่ได้ยิน!! เลยได้แต่นั่งนิ่งๆแล้วอธิษฐานจิตถึงเค้าแทน!!

และขอเตือนสำหรับผู้เป็นโรคกลัวความสูงซักนิดนะครับ เพราะในเรื่องมีฉากชวนให้ฉี่ราดอยู่นิดหน่อย ขนาดผมเป็นพวกไม่กลัวอะไร นั่ง Cable Car พื้นกระจกก็นั่งมาแล้ว เครื่องเล่นหวาดเสียวก็เล่นมาหมด บันจี้จัมพ์ก็โดดมาแล้ว พวกคลิปที่เค้าปีนสะพานหรือยอดตึกเพื่อถ่ายรูปกันก็เคยดูมาตั้งเยอะ แต่พอได้เห็นฉากพวกนั้นในหนังก็มีขาหวิวๆลอยๆไปชั่วขณะอยู่เหมือนกัน(ลองเช็คตัวเองแล้วว่าไม่ใช่อาการปวดอึ๊แน่ๆครับ)

และจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี่แล้ว ใครไม่เข้าใจคำภาษาอังกฤษบางคำที่ผมกระแดะใส่เข้าไปว่ามันคืออะไร อาทิเช่น "Cyberbullying" ก็ Google เอานะครับ ..อย่าให้เสียชื่อ "ชาวเน็ต" กันนะ!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่