สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
นักประวัติศาสตร์ยุคก่อนมักมีมายาคติว่ากรุงศรีอยุทธยาตกต่ำเพราะราชวงศ์บ้านพลูหลวงปิดตนเองจากโลกตะวันตก แย่งชิงบัลลังก์อยู่หลายครั้ง มีกษัตริย์ที่ไม่เป็นธรรม จนกลายเป็น "ยุคมืด" ที่สุดของอยุทธยา อย่างไรก็ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ที่บ่งชี้ว่ากรุงศรีอยุทธยาตอนปลายสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงก็เป็นยุคสมัยที่บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองพอสมควร และยังคงทำการค้าต่างประเทศอยู่เสมอครับ
ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงไม่เคยมีการปิดประเทศจากชาติตะวันตกอย่างจริงจังอย่างที่หลายคนเข้าใจ พระเพทราชาเพียงแต่ขับไล่กองทหารฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ออกไป ผ่านมาไม่กี่ปีเมื่อความขัดแย้งยุติฝรั่งเศสความพยายามจะเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีใหม่จนได้เข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์เมื่อ ค.ศ. 1699 (พ.ศ. 2242) ในปลายรัชกาลมีรายงานว่าชาวฝรั่งเศสเข้ามาค้าขายตามปกติในเมืองท่าของสยามได้อย่างปกติ เช่นเดียวกับดัตช์ที่ยังมีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างดีอยู่ในสมัยพระเพทราชา แต่ทั้งนี้ราชสำนักยังคงระวังไม่ให้ชาติยุโรปเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากเท่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์
การค้าของชาติยุโรปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซบเซาลงเมื่อเทียบกับศตวรรษที่ 17 ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัจจัยในสยามเองที่มีความวุ่นวายภายในมากในช่วงรัชกาลพระเพทราชา แต่ก็มีปัจจัยทางทางยุโรปร่วมด้วย เพราะยุโรปตอนนั้นมีสงครามใหญ่ติดต่อกันคือ "สงครามมหาสัมพันธมิตร" (War of the Grand Alliance) กับ "สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน" (War of the Spanish Succession) เมืองพอนดิเชอร์รีซึ่งเป็นเมืองท่าของฝรั่งเศสถูกฮอลันดายึดใน ค.ศ. 1694 (พ.ศ. 2237) ทำให้ฝรั่งเศสเดินทางเข้ามาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้จนกระทั่งสงครามมหาสัมพันธมิตรจบ บวกกับทางตะวันตกเองก็ทำกำไรในแถบนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ในช่วงปลายอยุทธยาชาติยุโรปไม่นิยมส่งคณะทูตขนาดใหญ่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักตะวันออกโดยตรงแล้ว จะมีแต่พ่อค้าเอกชนเข้ามาเป็นส่วนใหญ่
ถึงกระนั้นกิจกรรมการค้าสำเภากับต่างประเทศยังคงเป็นหนึ่งในรายได้หลักสำคัญของราชสำนักอยุทธยาตอนปลาย ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของดัตช์ว่าพระเจ้าเสือเมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงมีสิทธิในการทำการค้าสำเภาด้วยพระองค์เองกับเมืองท่าของชายฝั่งโจฬะมณฑล (Coromandel coast) ในอินเดีย ญี่ปุ่น และปัตตาเวีย (ดัตช์)
เมื่อถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือ ปรากฏในหลักฐานของสังฆราชคณะมิสซังต่างประเทศในสยามว่า พระองค์ทรงหวังจะให้ฝรั่งเศสกลับเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายกันอีกรวมถึงตั้งห้างในสยาม และยังทรงติดต่อให้บาทหลวงฝรั่งเศสในสยามช่วยประสานกับฝรั่งเศสให้ด้วย โดยเสนอสิทธิพิเศษทางการค้าให้หลายอย่าง สังฆราชฝรั่งเศสวิเคราะห์เหตุผลของพระเจ้าเสือไว้ว่า
1. เนื่องจากการค้าในสยามร่วงโรยลงไปมากเพราะไม่มีชาวยุโรปเดินทางมา และมีพ่อค้าจากภูมิภาคอินเดียมาน้อย
2. ได้ข่าวว่าเจ้าชายฟิลิป พระราชนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ครองราชบัลลังก์สเปน ทำให้สเปนกับฝรั่งเศสเป็นไมตรีกันแล้ว
3. อังกฤษไปตั้งฐานอยู่ที่ เกาะปูโล คอนดอ (Pulo Condore) ทางใต้ของดั่ยเหวียด ทำให้อังกฤษแย่งผลประโยชน์มีอำนาจในการค้าทางทะเลแถบอ่าวไทยไปถึงจีนและญี่ปุ่น นอกจากนี้พระเจ้าเสือทรงระแวงชาวอังกฤษเนื่องจากในปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มีการสังหารหมู่ชาวอังกฤษที่เมืองมะริด ซึ่งฝรั่งเศสเข้าใจว่าสมเด็จพระเพทราชามีส่วนเกี่ยวข้อง
4. พระเจ้าเสือทรงเกรงชาวดัตช์ เนื่องจากดัตช์มีเหตุหลายประการไม่พอใจในตัวพระองค์ ทำให้ทรงหวังจะได้ฝรั่งเศสไว้คานอำนาจ
ทั้งนี้พบว่าพระเจ้าเสือไม่ได้เชิญชวนฝรั่งเศสเพียงชาติเดียว แต่ยังเสนอให้อังกฤษ เดนมาร์ก และชาติยุโรปทั้งหมดที่ต้องการเข้ามาตั้งรกรากในสยามด้วย แต่ภายหลังฝรั่งเศสเสื่อมความสนใจต่อสยามเพราะสยามไม่ยอมยกเมืองท่ามะริดให้ตามที่ร้องขอ อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสก็เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการค้าจริงจังในสยามในช่วง 4-5 ปีสุดท้ายของรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์เท่านั้น การปฏิวัติขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากสยามของพระเพทราชาในความเป็นจริงจึงไม่น่าจะสร้างผลกระทบสำคัญต่อการค้าของสยามมากอย่างที่เคยเข้าใจครับ
สยามกับฝรั่งเศสก็ยังมีไมตรีกันดีในรัชกาลพระเจ้าเสือและพระเจ้าท้ายสระ ดังที่จดหมายเหตุของบาทหลวงฝรั่งเศสบันทึกไว้ในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้าท้ายสระว่า "ด้วยเหตุว่าเวลานี้ฝรั่งเศสยังเป็นไมตรีกับไทยอยู่ คือว่าทุก ๆ ปีบริษัทฝรั่งเศสก็ได้อาศัยซ่อมแซมเรือที่เมืองมะริด ไทยก็รับรองอย่างดี เมืองฝรั่งเศสจะต้องการอะไรไทยก็จัดหาให้โดยบริษัทไม่ต้องใช่โสหุ้ยมากมายเท่าไรนัก พระเจ้ากรุงสยามองค์ที่สวรรคตก็ได้รับสั่งไว้ แก่เจ้าเมืองตะนาวศรีและเจ้าเมืองมะริดให้รับรองให้ดี และถ้าบริษัทจะต้องการอะไรก็ให้จัดหาให้ ข้อนี้เมื่อมองซิเออร์หลุยได้ไปยังเมืองมะริดก็ได้เห็นปรากฏอยู่แล้ว แลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ก็ได้มีรับกำชับอย่างนี้เหมือนกัน"
ถึงกระนั้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสไม่เคยประสบความสำเร็จเหมือนในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เพราะผลจากสถานการณ์ในการค้าของโลก รวมถึงทั้งสองฝ่ายต่างเสื่อมความสนใจของกันและกันไปครับ
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระยังมีพิธีรับคณะทูตสเปนจากเมืองมะนิลาใน ค.ศ. 1718 (พ.ศ. 2261) ซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามเพราะต้องการซื้อข้าวเพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารในฟิลิปปินส์เวลานั้น โดยเป็นคณะทูตขนาดใหญ่มีสมาชิกถึง 122 คน ราชทูตเป็นหลานชายของผู้สำเร็จราชการแห่งฟิลิปปินส์ นับเป็นคณะทูตยุโรปชุดสุดท้ายที่เข้ามายังกรุงศรีอยุทธยา ในยุคที่ชาติอื่นๆ ไม่นิยมส่งคณะทูตแล้ว นอกจากนี้ยังมีการทำสนธิสัญญาทางการค้าและอนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าในสยามด้วย แต่เพราะมีการยึดอำนาจในมะนิลาจนผู้สำเร็จราชการถูกสังหาร สนธิสัญญาที่ทำไว้จึงกลายเป็นแผ่นกระดาษเปล่า
อยุทธยาหันไปทำการค้ากับจีนมากขึ้นตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าท้ายสระเป็นต้นมา เพราะตั้งแต่ปลายรัชสมัยคังซี ที่มณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยนมีภัยธรรมชาติมากทำให้ขาดแคลนข้าวจึงต้องนำเข้าข้าวจากสยามจำนวนมาก และมีการมอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้พ่อค้าสยามที่นำเข้าข้าวหลายอย่างเช่นการยกเว้นภาษี ทำให้การค้ากับจีนขยายตัวขึ้นมากทั้งในระบบบรรณาการและเอกชน ซึ่งดึงดูดให้ชาวจีนเข้ามาในระบบราชการจำนวนมากด้วย นอกจากนี้สยามยังอาศัยชาวจีนทำการค้ากับญี่ปุ่นที่กำลังปิดประเทศอยู่ด้วย (เพราะญี่ปุ่นอนุญาตให้จีนค้าขายได้ที่นางาซากิ)
ทั้งนี้ราชสำนักอยุทธยาตอนปลายยังทำการค้ากับโลกตะวันตกคืออินเดียอยู่เสมอ มีการซื้อสินค้าจากอินเดียจำนวนมาก โดยเฉพาะสิ่งทอซึ่งมีการจัดหาสินค้าประเภทนี้ผ่านหลายช่องทาง เช่น VOC พ่อค้ามุสลิมในอินเดีย และอังกฤษที่มีฐานการค้าอยู่ในอินเดีย โดยอาศัยเมืองมะริดเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับทำการค้ากับเมืองท่าในชายฝั่งโจฬะมณฑล
ในสมัยอยุทธยาตอนปลายช่วงรัชกาลพระเจ้าเสือถึงพระเจ้าบรมโกศเป็นยุคที่บ้านเมืองสงบไม่มีสงครามขนาดใหญ่ทำให้การค้าขยายตัวขึ้น ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงชนชั้นกฎุมพีหรือไพร่ที่มีกำลังทรัพย์มากขึ้น ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เปิดโอกาสให้เอกชนประมูลเป็นเจ้าภาษีนายอากรเพื่อเรียกเก็บภาษีเข้าราชสำนัก และเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอการเก็บภาษีขึ้นมาได้ ทำให้เกิดภาษีใหม่หลายชนิด สามัญชนหรือชาวต่างชาติที่มีกำลังทรัพย์จึงสามารถเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ความสงบสุขเอื้อให้มีการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมมากขึ้น งานศิลปกรรมสมัยอยุทธยาตอนปลายพัฒนาถึงจุดสูงสุดมีเอกลักษณ์งดงามมาก ในด้านวรรณกรรมก็เป็นยุคทองของกวีอย่างเจ้าธรรมธิเบศร เจ้าฟ้ากุณฑล เจ้าฟ้ามงกุฎ พระมหานาควัดท่าทราย ฯลฯ
ในสายตาชนชั้นนำสมัยต้นรัตนโกสินทร์จึงมักนิยามว่ารัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นสมัย "ครั้งบ้านเมืองดี" เนื่องจากเป็นยุคที่มีความสงบสุขปราศจากสงคราม และพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเองก็ทรงได้รับการยกย่องในเอกสารสมัยหลังอยู่บ่อยครั้งในฐานะธรรมราชาตามคติแบบพุทธ จารีตการปกครองในสมัยนั้นถูกยึดถือเป็นแบบแผนสำหรับสมัยรัตนโกสินทร์ต่อมา แม้ว่าถ้ามองในด้านเศรษฐกิจการค้าต่างประเทศอาจจะไม่เทียบเท่าสมัยศตวรรษที่ 17 ก็ตาม
แต่ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมก็มีความเสื่อมในระบบการปกครองอยู่เช่นเดียวกัน มีการแย่งชิงอำนาจและกวาดล้างขุนนางในราชสำนักบ่อยครั้ง เช่น การปราบกบฏในสมัยพระเพทราชาหลายครั้งโดยเฉพาะกบฏเมืองนครราชสีมาที่เป็นกบฏครั้งใหญ่ที่สุดในปลายรัชกาล การปราบปรามขั้วอำนาจฝ่ายเจ้าพระขวัญของพระเจ้าเสือ และสงครามกลางเมืองระหว่างเจ้าฟ้าอภัยกับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทำให้ระบบราชการขาดเสถียรภาพ เนื่องจากสูญเสียไพร่พลและบุคลากรที่มีความสามารถ
ยิ่งรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศถูกวิจารณ์อย่างหนักมากทั้งในหลักฐานของไทยและต่างประเทศที่กล่าวถึงปัญหาทางการปกครองอยู่หลายประการ ทั้งเรื่องความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจของเจ้านาย ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นของพระราชวงศ์และข้าราชการ การแทรกแซงการเมืองของเจ้านายฝ่ายในที่มีอำนาจเหนือพระเจ้าเอกทัศจนสามารถเปลี่ยนกฎหมายบ้านเมืองได้ตามใจชอบเพื่อหาผลประโยชน์ รวมถึงผลกระทบจากสงครามพระเจ้าอลองพญาที่กระทบต่อการค้าต่างประเทศของสยาม
ปัญหาอีกประการในระบบการปกครองของอยุทธยาตอนปลายคือความล้มเหลวของ "ระบบไพร่" ที่ทำให้การเรียกเกณฑ์ไพร่พลนั้นไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพและเกิดเหตุการณ์ไพร่หนีนายในสมัยอยุทธยาตอนปลายอยู่หลายครั้ง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบป้องกันตนเองของกรุงศรีอยุทธยาล้มเหลวจนเสียกรุงครั้งที่สองครับ
รัฐบาลอยุทธยาตอนปลายพยายามสร้างเสถียรภาพของราชธานีเพื่อความมั่นคงในการปกครองโดยการลดอำนาจของขุนนางลง โดยเฉพาะขุนนางหัวเมือง ไม่ให้มีความเข้มแข็งพอที่จะคุกคามส่วนกลางได้ เช่น การออกกฎหมายห้ามเจ้าเมืองติดต่อกัน การพยายามข้าราชการผู้ใหญ่จากส่วนกลางเข้าไปปกครองแทนจะเป็นเชื้อสายดั้งเดิม การห้ามซ่องสุมไพร่สมเป็นกำลัง การกระทำเหล่านี้ทำให้อยุทธยาซึ่งเป็นรัฐบาลกลางมีอำนาจสูงกว่าหัวเมืองท้องถิ่นอย่างมาก ข้าราชการหัวเมืองอยู่ในสภาวะที่ขาดเสถียรภาพ ไม่มีอำนาจที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนได้ ซึ่งจริงๆ ก็เริ่มทำมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้ว และน่าจะเป็นผลมาจากการเกิดกบฏของขุนนางหัวเมืองอยู่หลายครั้งคือกบฏพระยานครราชสีมาและนครศรีธรรมราชในสมัยพระเพทราชาอีก
ส่วนหนึ่งก็เป็นผลดีที่ทำให้อยุทธยามีเสถียรภาพในการปกครองภายใน แต่ผลเสียคือความอ่อนแอในการป้องกันตนเอง เพราะหัวเมืองไม่มีความเข้มแข็งพอหากต้องรับศึกใหญ่ที่มีกำลังมากจากอาณาจักรภายนอก การเกณฑ์ไพร่พลของหัวเมืองไร้ประสิทธิภาพ การจะเกณฑ์กองทัพขนาดใหญ่เพื่อทำรับศึกพม่าตามหัวเมืองอย่างที่เคยในทำในสมัยสมเด็จพระนเรศวรก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นถ้ามีศึกใหญ่จึงต้องอาศัยยุทธศาสตร์การใช้ปราการธรรมชาติของพระนครเป็นฐานรับศึกที่เป็นจุดแข็งเป็นหลัก ซึ่งแม้ว่าพระเจ้าเอกทัศจะสามารถต้านทานได้นานถึง 14 เดือน แต่สุดท้ายหากพม่าไม่ยอมถอนการปิดล้อมอยุทธยาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการล่มสลายได้ครับ
ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงไม่เคยมีการปิดประเทศจากชาติตะวันตกอย่างจริงจังอย่างที่หลายคนเข้าใจ พระเพทราชาเพียงแต่ขับไล่กองทหารฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ออกไป ผ่านมาไม่กี่ปีเมื่อความขัดแย้งยุติฝรั่งเศสความพยายามจะเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีใหม่จนได้เข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์เมื่อ ค.ศ. 1699 (พ.ศ. 2242) ในปลายรัชกาลมีรายงานว่าชาวฝรั่งเศสเข้ามาค้าขายตามปกติในเมืองท่าของสยามได้อย่างปกติ เช่นเดียวกับดัตช์ที่ยังมีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างดีอยู่ในสมัยพระเพทราชา แต่ทั้งนี้ราชสำนักยังคงระวังไม่ให้ชาติยุโรปเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากเท่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์
การค้าของชาติยุโรปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซบเซาลงเมื่อเทียบกับศตวรรษที่ 17 ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัจจัยในสยามเองที่มีความวุ่นวายภายในมากในช่วงรัชกาลพระเพทราชา แต่ก็มีปัจจัยทางทางยุโรปร่วมด้วย เพราะยุโรปตอนนั้นมีสงครามใหญ่ติดต่อกันคือ "สงครามมหาสัมพันธมิตร" (War of the Grand Alliance) กับ "สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน" (War of the Spanish Succession) เมืองพอนดิเชอร์รีซึ่งเป็นเมืองท่าของฝรั่งเศสถูกฮอลันดายึดใน ค.ศ. 1694 (พ.ศ. 2237) ทำให้ฝรั่งเศสเดินทางเข้ามาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้จนกระทั่งสงครามมหาสัมพันธมิตรจบ บวกกับทางตะวันตกเองก็ทำกำไรในแถบนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ในช่วงปลายอยุทธยาชาติยุโรปไม่นิยมส่งคณะทูตขนาดใหญ่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักตะวันออกโดยตรงแล้ว จะมีแต่พ่อค้าเอกชนเข้ามาเป็นส่วนใหญ่
ถึงกระนั้นกิจกรรมการค้าสำเภากับต่างประเทศยังคงเป็นหนึ่งในรายได้หลักสำคัญของราชสำนักอยุทธยาตอนปลาย ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของดัตช์ว่าพระเจ้าเสือเมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงมีสิทธิในการทำการค้าสำเภาด้วยพระองค์เองกับเมืองท่าของชายฝั่งโจฬะมณฑล (Coromandel coast) ในอินเดีย ญี่ปุ่น และปัตตาเวีย (ดัตช์)
เมื่อถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือ ปรากฏในหลักฐานของสังฆราชคณะมิสซังต่างประเทศในสยามว่า พระองค์ทรงหวังจะให้ฝรั่งเศสกลับเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายกันอีกรวมถึงตั้งห้างในสยาม และยังทรงติดต่อให้บาทหลวงฝรั่งเศสในสยามช่วยประสานกับฝรั่งเศสให้ด้วย โดยเสนอสิทธิพิเศษทางการค้าให้หลายอย่าง สังฆราชฝรั่งเศสวิเคราะห์เหตุผลของพระเจ้าเสือไว้ว่า
1. เนื่องจากการค้าในสยามร่วงโรยลงไปมากเพราะไม่มีชาวยุโรปเดินทางมา และมีพ่อค้าจากภูมิภาคอินเดียมาน้อย
2. ได้ข่าวว่าเจ้าชายฟิลิป พระราชนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ครองราชบัลลังก์สเปน ทำให้สเปนกับฝรั่งเศสเป็นไมตรีกันแล้ว
3. อังกฤษไปตั้งฐานอยู่ที่ เกาะปูโล คอนดอ (Pulo Condore) ทางใต้ของดั่ยเหวียด ทำให้อังกฤษแย่งผลประโยชน์มีอำนาจในการค้าทางทะเลแถบอ่าวไทยไปถึงจีนและญี่ปุ่น นอกจากนี้พระเจ้าเสือทรงระแวงชาวอังกฤษเนื่องจากในปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มีการสังหารหมู่ชาวอังกฤษที่เมืองมะริด ซึ่งฝรั่งเศสเข้าใจว่าสมเด็จพระเพทราชามีส่วนเกี่ยวข้อง
4. พระเจ้าเสือทรงเกรงชาวดัตช์ เนื่องจากดัตช์มีเหตุหลายประการไม่พอใจในตัวพระองค์ ทำให้ทรงหวังจะได้ฝรั่งเศสไว้คานอำนาจ
ทั้งนี้พบว่าพระเจ้าเสือไม่ได้เชิญชวนฝรั่งเศสเพียงชาติเดียว แต่ยังเสนอให้อังกฤษ เดนมาร์ก และชาติยุโรปทั้งหมดที่ต้องการเข้ามาตั้งรกรากในสยามด้วย แต่ภายหลังฝรั่งเศสเสื่อมความสนใจต่อสยามเพราะสยามไม่ยอมยกเมืองท่ามะริดให้ตามที่ร้องขอ อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสก็เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการค้าจริงจังในสยามในช่วง 4-5 ปีสุดท้ายของรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์เท่านั้น การปฏิวัติขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากสยามของพระเพทราชาในความเป็นจริงจึงไม่น่าจะสร้างผลกระทบสำคัญต่อการค้าของสยามมากอย่างที่เคยเข้าใจครับ
สยามกับฝรั่งเศสก็ยังมีไมตรีกันดีในรัชกาลพระเจ้าเสือและพระเจ้าท้ายสระ ดังที่จดหมายเหตุของบาทหลวงฝรั่งเศสบันทึกไว้ในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้าท้ายสระว่า "ด้วยเหตุว่าเวลานี้ฝรั่งเศสยังเป็นไมตรีกับไทยอยู่ คือว่าทุก ๆ ปีบริษัทฝรั่งเศสก็ได้อาศัยซ่อมแซมเรือที่เมืองมะริด ไทยก็รับรองอย่างดี เมืองฝรั่งเศสจะต้องการอะไรไทยก็จัดหาให้โดยบริษัทไม่ต้องใช่โสหุ้ยมากมายเท่าไรนัก พระเจ้ากรุงสยามองค์ที่สวรรคตก็ได้รับสั่งไว้ แก่เจ้าเมืองตะนาวศรีและเจ้าเมืองมะริดให้รับรองให้ดี และถ้าบริษัทจะต้องการอะไรก็ให้จัดหาให้ ข้อนี้เมื่อมองซิเออร์หลุยได้ไปยังเมืองมะริดก็ได้เห็นปรากฏอยู่แล้ว แลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ก็ได้มีรับกำชับอย่างนี้เหมือนกัน"
ถึงกระนั้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสไม่เคยประสบความสำเร็จเหมือนในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เพราะผลจากสถานการณ์ในการค้าของโลก รวมถึงทั้งสองฝ่ายต่างเสื่อมความสนใจของกันและกันไปครับ
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระยังมีพิธีรับคณะทูตสเปนจากเมืองมะนิลาใน ค.ศ. 1718 (พ.ศ. 2261) ซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามเพราะต้องการซื้อข้าวเพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารในฟิลิปปินส์เวลานั้น โดยเป็นคณะทูตขนาดใหญ่มีสมาชิกถึง 122 คน ราชทูตเป็นหลานชายของผู้สำเร็จราชการแห่งฟิลิปปินส์ นับเป็นคณะทูตยุโรปชุดสุดท้ายที่เข้ามายังกรุงศรีอยุทธยา ในยุคที่ชาติอื่นๆ ไม่นิยมส่งคณะทูตแล้ว นอกจากนี้ยังมีการทำสนธิสัญญาทางการค้าและอนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าในสยามด้วย แต่เพราะมีการยึดอำนาจในมะนิลาจนผู้สำเร็จราชการถูกสังหาร สนธิสัญญาที่ทำไว้จึงกลายเป็นแผ่นกระดาษเปล่า
อยุทธยาหันไปทำการค้ากับจีนมากขึ้นตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าท้ายสระเป็นต้นมา เพราะตั้งแต่ปลายรัชสมัยคังซี ที่มณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยนมีภัยธรรมชาติมากทำให้ขาดแคลนข้าวจึงต้องนำเข้าข้าวจากสยามจำนวนมาก และมีการมอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้พ่อค้าสยามที่นำเข้าข้าวหลายอย่างเช่นการยกเว้นภาษี ทำให้การค้ากับจีนขยายตัวขึ้นมากทั้งในระบบบรรณาการและเอกชน ซึ่งดึงดูดให้ชาวจีนเข้ามาในระบบราชการจำนวนมากด้วย นอกจากนี้สยามยังอาศัยชาวจีนทำการค้ากับญี่ปุ่นที่กำลังปิดประเทศอยู่ด้วย (เพราะญี่ปุ่นอนุญาตให้จีนค้าขายได้ที่นางาซากิ)
ทั้งนี้ราชสำนักอยุทธยาตอนปลายยังทำการค้ากับโลกตะวันตกคืออินเดียอยู่เสมอ มีการซื้อสินค้าจากอินเดียจำนวนมาก โดยเฉพาะสิ่งทอซึ่งมีการจัดหาสินค้าประเภทนี้ผ่านหลายช่องทาง เช่น VOC พ่อค้ามุสลิมในอินเดีย และอังกฤษที่มีฐานการค้าอยู่ในอินเดีย โดยอาศัยเมืองมะริดเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับทำการค้ากับเมืองท่าในชายฝั่งโจฬะมณฑล
ในสมัยอยุทธยาตอนปลายช่วงรัชกาลพระเจ้าเสือถึงพระเจ้าบรมโกศเป็นยุคที่บ้านเมืองสงบไม่มีสงครามขนาดใหญ่ทำให้การค้าขยายตัวขึ้น ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงชนชั้นกฎุมพีหรือไพร่ที่มีกำลังทรัพย์มากขึ้น ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เปิดโอกาสให้เอกชนประมูลเป็นเจ้าภาษีนายอากรเพื่อเรียกเก็บภาษีเข้าราชสำนัก และเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอการเก็บภาษีขึ้นมาได้ ทำให้เกิดภาษีใหม่หลายชนิด สามัญชนหรือชาวต่างชาติที่มีกำลังทรัพย์จึงสามารถเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ความสงบสุขเอื้อให้มีการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมมากขึ้น งานศิลปกรรมสมัยอยุทธยาตอนปลายพัฒนาถึงจุดสูงสุดมีเอกลักษณ์งดงามมาก ในด้านวรรณกรรมก็เป็นยุคทองของกวีอย่างเจ้าธรรมธิเบศร เจ้าฟ้ากุณฑล เจ้าฟ้ามงกุฎ พระมหานาควัดท่าทราย ฯลฯ
ในสายตาชนชั้นนำสมัยต้นรัตนโกสินทร์จึงมักนิยามว่ารัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นสมัย "ครั้งบ้านเมืองดี" เนื่องจากเป็นยุคที่มีความสงบสุขปราศจากสงคราม และพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเองก็ทรงได้รับการยกย่องในเอกสารสมัยหลังอยู่บ่อยครั้งในฐานะธรรมราชาตามคติแบบพุทธ จารีตการปกครองในสมัยนั้นถูกยึดถือเป็นแบบแผนสำหรับสมัยรัตนโกสินทร์ต่อมา แม้ว่าถ้ามองในด้านเศรษฐกิจการค้าต่างประเทศอาจจะไม่เทียบเท่าสมัยศตวรรษที่ 17 ก็ตาม
แต่ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมก็มีความเสื่อมในระบบการปกครองอยู่เช่นเดียวกัน มีการแย่งชิงอำนาจและกวาดล้างขุนนางในราชสำนักบ่อยครั้ง เช่น การปราบกบฏในสมัยพระเพทราชาหลายครั้งโดยเฉพาะกบฏเมืองนครราชสีมาที่เป็นกบฏครั้งใหญ่ที่สุดในปลายรัชกาล การปราบปรามขั้วอำนาจฝ่ายเจ้าพระขวัญของพระเจ้าเสือ และสงครามกลางเมืองระหว่างเจ้าฟ้าอภัยกับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทำให้ระบบราชการขาดเสถียรภาพ เนื่องจากสูญเสียไพร่พลและบุคลากรที่มีความสามารถ
ยิ่งรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศถูกวิจารณ์อย่างหนักมากทั้งในหลักฐานของไทยและต่างประเทศที่กล่าวถึงปัญหาทางการปกครองอยู่หลายประการ ทั้งเรื่องความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจของเจ้านาย ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นของพระราชวงศ์และข้าราชการ การแทรกแซงการเมืองของเจ้านายฝ่ายในที่มีอำนาจเหนือพระเจ้าเอกทัศจนสามารถเปลี่ยนกฎหมายบ้านเมืองได้ตามใจชอบเพื่อหาผลประโยชน์ รวมถึงผลกระทบจากสงครามพระเจ้าอลองพญาที่กระทบต่อการค้าต่างประเทศของสยาม
ปัญหาอีกประการในระบบการปกครองของอยุทธยาตอนปลายคือความล้มเหลวของ "ระบบไพร่" ที่ทำให้การเรียกเกณฑ์ไพร่พลนั้นไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพและเกิดเหตุการณ์ไพร่หนีนายในสมัยอยุทธยาตอนปลายอยู่หลายครั้ง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบป้องกันตนเองของกรุงศรีอยุทธยาล้มเหลวจนเสียกรุงครั้งที่สองครับ
รัฐบาลอยุทธยาตอนปลายพยายามสร้างเสถียรภาพของราชธานีเพื่อความมั่นคงในการปกครองโดยการลดอำนาจของขุนนางลง โดยเฉพาะขุนนางหัวเมือง ไม่ให้มีความเข้มแข็งพอที่จะคุกคามส่วนกลางได้ เช่น การออกกฎหมายห้ามเจ้าเมืองติดต่อกัน การพยายามข้าราชการผู้ใหญ่จากส่วนกลางเข้าไปปกครองแทนจะเป็นเชื้อสายดั้งเดิม การห้ามซ่องสุมไพร่สมเป็นกำลัง การกระทำเหล่านี้ทำให้อยุทธยาซึ่งเป็นรัฐบาลกลางมีอำนาจสูงกว่าหัวเมืองท้องถิ่นอย่างมาก ข้าราชการหัวเมืองอยู่ในสภาวะที่ขาดเสถียรภาพ ไม่มีอำนาจที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนได้ ซึ่งจริงๆ ก็เริ่มทำมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้ว และน่าจะเป็นผลมาจากการเกิดกบฏของขุนนางหัวเมืองอยู่หลายครั้งคือกบฏพระยานครราชสีมาและนครศรีธรรมราชในสมัยพระเพทราชาอีก
ส่วนหนึ่งก็เป็นผลดีที่ทำให้อยุทธยามีเสถียรภาพในการปกครองภายใน แต่ผลเสียคือความอ่อนแอในการป้องกันตนเอง เพราะหัวเมืองไม่มีความเข้มแข็งพอหากต้องรับศึกใหญ่ที่มีกำลังมากจากอาณาจักรภายนอก การเกณฑ์ไพร่พลของหัวเมืองไร้ประสิทธิภาพ การจะเกณฑ์กองทัพขนาดใหญ่เพื่อทำรับศึกพม่าตามหัวเมืองอย่างที่เคยในทำในสมัยสมเด็จพระนเรศวรก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นถ้ามีศึกใหญ่จึงต้องอาศัยยุทธศาสตร์การใช้ปราการธรรมชาติของพระนครเป็นฐานรับศึกที่เป็นจุดแข็งเป็นหลัก ซึ่งแม้ว่าพระเจ้าเอกทัศจะสามารถต้านทานได้นานถึง 14 เดือน แต่สุดท้ายหากพม่าไม่ยอมถอนการปิดล้อมอยุทธยาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการล่มสลายได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง นี้ถือว่าเป็นยุคตกต่ำสุดของอยุธยาเปล่าครับ?