คิดถึงกันมั้ย เหล่าแข้งเทพวินนิ่งภาค 3 ในปัจจุบัน

442 นี่มันสุดติ่งจริงๆ เรื่องแบบนี้มีนิตยสารฟุตบอลที่ไนในโลก เค้าทำกันบ้าง(ฮา)

สนุกดี อ่านแล้วนึกถึงความหลังเก่าๆ
ลองอ่านดูครับ

http://www.fourfourtwo.com/th/features/krachaakway-ehlaaaekhngethphwinningphaakh-3-aipthamaairkanyuu

ตัวอย่าง ในบทความ

โรแบร์โต้ คาร์ลอส
นี่คือกองหน้า  กองหลังที่ไม่ว่าใครต่อใครก็มักจับไปยืนกองหน้าคู่กับโรนัลโด้ ในวินนิ่งภาคนี้...
โรแบร์โต้ คาร์ลอส สมัยนั้นย้ายไปเล่นอยู่กับเรอัล มาดริด แห่งลาลีก้า สเปน ด้วยค่าตัว 3.5 ล้านยูโร เพียงแค่ฤดูกาลแรก เขาลงสนามไปถึง 37 นัด และอาศัยเท้าซ้ายทรงพลังของเขากระหน่ำยิงไปถึง 5 ประตูให้กับ "ราชันชุดขาว" ก่อนพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ จากนั้นปีต่อมาแม้มาดริด ไม่ได้แชมป์ลีกเหมือนเคย แต่เกมกระชับมิตรระหว่างทีมชาติบราซิล กับ ฝรั่งเศส ก่อนฟุตบอลโลก 1998 เขาได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการยิงลูกบานาน่า จนเป็นที่ตื่นตะลึงของแฟนบอลทั่วโลก และเริ่มถูกยกย่องว่าเป็นแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในโลกในเวลาต่อมา จนทำให้ผู้ผลิตเกมคงอดไม่ได้ที่จะใส่ค่าพลังชู๊ตติ้ง 9 ให้กับเขา

นอกจากนี้ค่าพลังสปีดของเขายังเป็น 9 สูงสุดในเกม ทำให้คนเล่นรู้สึกเสียของนัก หากจะจับเขาไปเล่นในตำแหน่งกองหลังตามธรรมชาติ จึงจับไปเป็นกองหน้ามันซะเลย
คาร์ลอส อยู่กับ เรอัลมาดริด จนถึงปี 2007 ก่อนย้ายไปเฟเนรบาห์เช่, โครินเธียนส์, อันจิ มาคัชคาร่า แห่งรัสเซีย ซึ่งสโมสรแห่งนี้เองที่เป็นสถานีสุดท้ายของเจ้าตัวก่อนที่จะผันมารับงานผู้ช่วยผู้จัดการทีม คาร์ลอสรับงานอยู่ที่นั่นได้ไม่นานนักก็ตัดสินใจโบกมือลาทีมแดนหมีขาวเพื่อไปคุมทีมในตุรกีแบบเต็มตัว โดยอดีตแบ็คซ้ายรายนี้เริ่มต้นกับ ซิวาสสปอร์ ตามด้วย อคิห์ซาร์ เบเลดิเยสปอร์ และ เดลี ไดนาโม ทีมในลีกอินเดีย ซึ่งที่ดินแดนโรตี เขาได้ร่วมงานกับนักเตะชื่อดังอย่าง ฟลอร็องต์ มาลูด้า และ ยอร์น อาร์เน รีเซ่ และปะทะกับรุ่นพี่ร่วมชาติอย่างซิโก้ด้วย
ผลงานของเจ้าตัวก็นับว่าดีทีเดียว เมื่อเขาพา ซิวาสสปอร์จบอันดันที่ 5 ได้สำเร็จc]tเกือบได้ไปเล่นฟุตบอล ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือก ขณะที่กับเดลี เขาก็พาทีมจบอันดับ 4 ผ่านเข้าไปเล่นรอบเพลย์ออฟ แต่ก็ต้องแพ้ให้กับทีมของซิโก้ ตำนานทีมชาติบราซิลไป และสำหรับตอนนี้ เจ้าตัวกำลังจะเริ่มงานใหม่กับทีมเรอัล มาดริดในฐานะสต๊าฟโค้ชของทีม "ผมอยากเรียนรู้งานจากซีดาน ผมดีใจมากๆ ที่ได้โอกาสนั้น รวมถึงโอกาสที่จะได้สัมผัสยอดซูเปอร์สตาร์ของทีมด้วย”
เรียกได้ว่าเจ้าตัวน่าจะแฮปปี้สุดๆ กับโอกาสครั้งนี้

Read more at http://www.fourfourtwo.com/th/features/krachaakway-ehlaaaekhngethphwinningphaakh-3-aipthamaairkanyuu#CbDZXQHpU8j0a5sK.99



โรเบิร์ต ยาร์นี่

นี่คือ โรแบร์โต้ คาร์ลอส เวอร์ชั่นทีมชาติโครเอเชีย ที่คอเกมมักจะเอาเขาไปยืนคู่กับ อเลน บ็อกซิช กองหน้าของทีมเพื่อทำชิ่งหนึ่ง-สองเป็นประจำ…
หลังเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับไฮจ์ดุ๊ค สปลิท ยาร์นี่ก็โยกค้าแข้งในอิตาลีกับบารี่, โตริโน่ และยูเวนตุส ซึ่งในถิ่นเดลเล่ อัลปิ เขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์เซเรีย อา กับโคปปา อิตาเลีย แต่ได้ลงเล่นเพียงแค่ 15 นัดเท่านั้น จึงชีพจรลงเท้าอีกครั้ง คราวนี้ย้ายไปทำมาหากินในสเปนกับเรอัล เบติส พร้อมกับแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวด้วยการยิงไป 19 ประตู จากการลงสนาม 98 นัดตลอดระยะเวลา 3 ฤดูกาล
และจากผลงานในการเติมเกมรุกอันจี๊ดจ๊าดและการยิงประตูอันเฉียบขาดนี่เองทำให้โคนามิต้องมอบค่าพลังสปีด 9 ยิง 8 ให้กับเขา ซึ่งถือว่าด้อยกว่าคาร์ลอสตรงค่าพลังยิงแค่หน่วยเดียวเท่านั้นเอง
ในระดับชาตินั้น ยาร์นี่เคยติดทีมชาติยูโกสลาเวียในสมัยโครเอเชียยังไม่เป็นเอกราช โดยอยู่ในชุดยู-21 ที่คว้าแชมป์เยาวชนโลกปี 1987 ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมเชื้อสายโครแอตอย่าง ดาวอร์ ซูเคอร์, ซโวนิเมียร์ โบบัน,​ อิกอร์ สติมัค และ โรเบิร์ต โปรซิเนซกี้ แถมยังเคยติดทีมชุดใหญ่ลุยฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลีอีกต่างหาก

แล้วพอโครเอเชียแยกตัวออกมา เขาก็เป็นกำลังสำคัญช่วยให้ทีมชาติโครเอเชียผ่านเข้ารอบสุดท้ายยูโร 196 อันเป็นทัวร์นาเม้นต์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกของประเทศ ก่อนจะได้ลุยฟุตบอลโลกในอีก 2 ปีต่อมา
ซึ่งที่ฝรั่งเศสนั่นเองยาร์นี่ในวัย 30 ปีลงเล่นทุกนัดให้กับทีมตราหมากรุก พร้อมกับยิง 1 จ่าย 1 พาทีมคว้าอันดับ 3 อย่างสุดเซอร์ไพรส์ จนทำให้โคเวนทรีต้องทุ่มเงิน 2.6 ล้านปอนด์ไปร่วมทีม แต่ยังไม่ทันได้ลงเล่นให้กับทัพ “ช้างกระทืบโรง” เรอัล มาดริด ก็มาขอซื้อต่อด้วยค่าตัว 3.4 ล้านปอนด์

โดยทาง “ราชันชุดขาว” ไม่ได้ซื้อเขามายืนหน้าคู่กับ โรแบร์โต้ คาร์ลอส แต่อย่างใด (ฮ่า) หนำซ้ำยังไม่ได้เป็นตัวหลักจึงต้องย้ายไปอยู่กับลาส ปัลมาส และแขวนสตั๊ดกับพานาธิไนกอสในปี 2002 พร้อมกับสร้างสถิติเป็นนักเตะที่ติดทีมชาติโครเอเชียมากที่สุดในตอนนั้นด้วยตัวเลข 81 นัด
แต่เส้นทางลูกหนังของยาร์นี่ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อหันไปเอาดีด้านฟุตซอลโดยค้าแข้งกับเอ็มเอ็นเค สปลิท แถมยังเคยติดทีมชาติและทำประตูได้ด้วย นั่นทำให้เจ้าตัวเป็นนักเตะโครเอเชียเพียงคนเดียวที่ติดทีมชาติทั้งฟุตบอลและฟุตซอล
โดยระหว่างที่เล่นฟุตซอลนั้น เขาเคยเว้นวรรคไปเป็นโค้ชไฮจ์ดุ๊ค สปลิท ในฤดูกาล 2007/08 ก่อนจะกลับไปเล่นอีกรอบและเลิกหวดลูกหนังอย่างเด็ดขาดในช่วงหน้าร้อนของปี 2008 เพื่อเอาดีด้านงานคุมทีมเต็มตัว
ยาร์นี่ตระเวณคุมไปหลายทีมทั้งอิสตรา 1961 และไฮจ์ดุ๊ค สปลิทชุดยู-19 ในบ้านเกิด, เอฟเค ซาราเยโวในบอสเนียฯ, เป็กซี่ และปุสกัส อคาเดเมีย ในฮังการี ก่อนจะถูกปลดจากตำแหน่งหลังพาทีมตกชั้นจากลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Read more at http://www.fourfourtwo.com/th/features/krachaakway-ehlaaaekhngethphwinningphaakh-3-aipthamaairkanyuu?page=0%2C1#OMtT2PsbYI70YxhH.99
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่