เมืองแม่น้ำใหญ่
เมืองโบสถ์สร้างได้ไง
เมืองภูเขาไฟ
เมืองที่ไม่ค่อยมีคนคิดจะไป
สวัสดีค่ะ…
นี่เป็นรีวิวครั้งแรกในชีวิตเลยนะคะ อยากเขียนเพื่อเล่าเรื่องราว และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เอธิโอเปียค่ะ เผื่อจะมีใครอยากไปเห็นเอธิโอเปียกะตาตัวเองจริงๆจะได้มีข้อมูลเพิ่มเติมในการจัดทริปนะคะ เพราะตอนทำทริปหารีวิวคนไทยอ่านยากมากเลยค่ะ สุดท้ายเลยคิดว่าเขียนข้อมูลเก็บไว้เผื่อมีคนสนใจดีกว่า
ยังไงถ้ารูปไม่สวยมากแนะนำวิธีถ่ายได้นะคะ มือใหม่ทั้งเขียนรีวิว ทั้งถ่ายภาพเลยค่ะ
ขอเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้ได้ไปเอธิโอเปียก่อนนะคะ เริ่มต้นที่ ครอบครัวเราค่อนข้างเที่ยวมาหลายที่ แต่ไม่ใช่ที่ที่คนเค้าไปกันเท่าไรนะคะ อย่างเช่นพวกอเมริกานี่ยังไม่เคยไปเหยียบเลย ฮ่าๆๆ และช่วงนี้ คุณพ่อก็สนใจทางแอฟริกาซะด้วย เคยเอาทัวร์เอธิโอเปียมาให้ดู 1 ครั้ง นั่นแหละค่ะ จุดเริ่มต้น เพราะ พอดูทัวร์ปุ๊ปก็ไม่ถูกใจ ออ ปกติถ้าบ้านเราจะไปเที่ยว ตปท จะไปกะทัวร์ตลอดเลยค่ะ เพราะ ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูล แต่ก็คิดๆจะไปกันเองมาสักพักละค่ะ พอถึงครั้งนี้ เราเองค่ะที่ไม่ถูกใจ เลยคิดว่าจะจัดเอง เพราะมีที่ที่อยากไปอยู่ แต่ไม่มีทัวร์เค้าจัด(ไม่รู้หาดีหรือยัง) เลยทำทริปไปนำเสนอที่บ้านยกใหญ่ บิ้วสุดฤทธิ์ ฮ่าๆๆ สุดท้ายทุกคนก็ยอมไป โดยเรากำชับคุณแม่กะพี่เราให้ออกกำลังกายก่อนไปนะ ส่วนคุณพ่อท่านออกกำลังกายทุกวันเลยไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรค่ะ แต่สุดท้ายกลายเป็นเราที่ป่วยก่อนไปเที่ยวซะเอง ยังไงก็ลองดูรายละเอียดทริปได้เลยนะคะ
หลังจากเราอ่านทัวร์ และดูจากอินเตอร์เน็ตเยอะๆ เราก็ลิสต์ที่น่าเที่ยว ของเอธิโอเปียมาไว้ดังนี้ค่ะ
1. Barhi dar (Tana Lake, Blue Nile Falls)
2. Lalibela (11 Church)
3. Aux chum
4. Gondar
5. Mekele (Erta ele, Dallol, Camel caravan, Lake assal)
6. Addis เมืองหลวงของเอธิโอเปียเนี่ยแหละค่ะ
และยังมี trekking ด้วย ยังไงก็ลองหาดูได้นะคะ มีบริษัททัวร์ Local ของ Ethiopia แนะนำ คือ ETT ค่ะ
http://www.ethiotravelandtours.com/
แต่เนื่องจากเวลาอันจำกัด เราเลยเลือกไปกันแค่ Barhidar, Lalibela และ Mekele แต่ก็มีเวลาเยี่ยมชม Addis นะคะ เรามีเวลากัน 8 วันเนื่องจากความเป็นมนุษย์เงินเดือนของเราเอง เราเลยจัดแพลนประมาณนี้ค่ะ
Day Activity
Day1 BKK-ADD by Kenya airway 12 hrs 45 mins
Day1 Visa on arrival
Day1 ADD-BJR
Day1 Overnight Rah Nile Hotel
Day2 Travel Tana lake and nile falls
Day2 BJR-Lalibela by car (4 hrs 45 mins)
Day2 Overnight Lalibela lodge
Day3 Travel Lalibella (Chrunch)
Day3 Lalibela to Mekele by car ( 4 hrs 43 mins)
Day3 Overnight AtseYohannis Hotel
Day4-7 Danakil depression
Day7 MQX-ADD
Day8 ADD-BKK by Ethiopia airline 8 hrs 50 mins
นี่คือที่เราว่าไว้ค่ะ จะใช้เวลาทั้งหมด 3 วัน 4 จังหวัด 1 ประเทศ เดี๋ยวจะสรุปเรื่องเงินไว้ให้อีกทีนะคะ คร่าวๆ รวมทุกอย่าง และ รวมค่ากิน ค่าทิป Local Guide ค่าจิปาถะ ตกคนละ 70000 กว่าๆ ค่ะ งั้นเรามาเริ่มตั้งแต่วันแรกกันเลยดีกว่าค่ะ
เริ่มต้นวันแรก พวกเรา 4 คนก็เดินทางมาสนามบินเหมือนคนปกติทั่วไปค่ะ สุวรรณภูมิเหมือนจะแตก เพราะ คนไทยส่วนใหญ่ก็แห่กันหนีร้อนเพื่อไปหาที่พักผ่อนเย็นๆร่วมกันครอบครัวในวันสงกรานต์ สุวรรณภูมิเหมือนเปิดบูธแจกของฟรี คนต่อคิวยาวยืด ทับวนไปเวียนมาหลายตลบ ส่วนพวกเราผู้ไม่รู้ว่า อี Kenya Airways มันอยู่ตรงไหน ก็เดินหาสักพัก เพียงไม่นานครัช คนต่อแถวสั้นๆ ผู้เป็นเอกลักษณ์ก็ทำให้เรารู้ทันทีว่าแถวไหนกันนะที่ต่อคิวเพื่อจะไปเคนย่า เราต่อแถวกันสักพัก ก็ถึงคิวเช็คอิน การเช้คอินผ่านไปเรียบร้อย เราก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่อง เออ ชีวิตไม่ได้สวยหรูอย่างนั้น อย่างที่บอกไปคนล้นสุวรรณภูมิขนาดนี้ กว่าจะทำแต่ละขั้นตอน ก็เล่นเอาเราต้องวิ่งไปขึ้นเครื่องเพราะ final call เลยทีเดียว…
สิ่งที่ทำให้เราแปลกใจก้คือ Kenya Airways น่าใช้บริการกว่าที่คิด เป็นเครื่องขนาดใหญ่ มีหนังให้ดู มีรูให้เสียบ (เสียบชาร์ตนะคะ แหม่) แม้จะดูเรียบๆ แต่อาหารเครื่องดื่มเพียบนะคะ ฮ่าๆ แต่หนังอาจจะไม่เยอะเท่าการบินไทยของเรา แต่ถึงจะมีไม่มี เราก็ใช้แค่รูไว้ชาร์ตแบตแล้วก็หลับยาววววว เลยจ้า นอกจากนี้ยังให้น้ำหนักในการโหลดกระเป๋า 23 Kg/bag ได้สองใบเลยทีเดียว ซึ่ง ก็ตกคนละ 46 Kg นั่นเอง … พอถึง landing เคนย่า เพื่อรอ transfer ไปเอธิโอเปีย ก็ทำให้รู้ว่า ไอ่ที่คนเยอะๆ เต็มลำใหญ่ขนาดนั้น นางมา transfer ไปกว่าครึ่ง เพราะตั๋วไปเคนย่านั้นถู๊ก ถูก ถูกและดี ต้องนี่เลยเคนย่าแอร์ไลน์ หลังจากฝ่าฝูงคนร่างยักษ์ เราก็ไปขึนเครื่องไปเอธิโอเปียสักที เพียง ชม เดียวจากเคนย่าก็ถึงที่หมาย แต่ก็ยังมีอาหารต้อนรับเสมอ และที่สำคัญ …กินได้ กว่าที่คิด
[Day1]
และแล้วก็ถึงสักทีประเทศที่หมาย ลงมาปุ้ป เราชาวไทยก็ต้องต่อแถวทำวีซ่าสิฮะ ซึ่งตอนแรกก็ดีใจนางเปิดตั้ง 3 ช่อง แต่มันไม่ใช่… มันเป็นรูทที่ต่อกัน คือเสร็จช่องแรกก็ต้องไปช่องที่สอง ก็รอไปสิคัชช พอถึง เจ้าหน้าที่ก้เอาพาสปอร์ตไป แล้วก็จะเช็ค ที่พักของเรา ว่าจะพักที่ไหน สุดท้ายก็แปะ วีซ่า เขียนๆ ถ่ายรูป และยืนคืน ซึ่งเราไม่ต้องเตรียมไรไปเลยนอกจาก เงิน และชื่อ เบอร์โทรที่พักคืนแรก ซึ่งจากที่หารีวิว (ซึ่งน้อยมากกก) ได้ความมาว่า ประมาณคนละ 30 ดอลลาร์ แต่ไม่ใช่ละนะจ๊ะ 50 ดอลลาร์คอนเฟิร์ม…
เมื่อออกจากสนามบิน ก็ติดต่อคนขับรถให้ขับพาเที่ยวตลาดในเมืองหลวงอันสิวิไล แต่รีเควสขอเป็น Local Market สิคับ ขับมาสักพัก ลืมบอกไปเอธิโอเปียขับซ้ายนะคะ เพราะเป็นเมืองขึ้นอิตาลีมาก่อน แต่ที่เมืองนี้มีความพิเศษก็คือ ไม่มีสัญญาณไฟค่ะ ก็ขับไปสิคะ ใครใคร่ขับ ขับ! คนขับของเราชื่อ ยากมาค่ะ แต่เราเรียกนางว่า แดซิลาดิเย้! นางค่อนข้างเด็ก น่าจะรุ่นๆเราเลยทีเดียวพอขับไปสักพักเริ่มเข้าพื้นที่ที่ไม่ใช่ถนน และแล้วก็ถึง Local Market at capital of Ethiopia ตลาดดีมีขายหลายอย่าง ไก่ก็มีหมาก็เดิน คนก็ขาย ข้าวก็มีผักก็เยอะ ผลไม้มากมาย ลองดูได้ตามรูปข้างล่าง เลยจ้า ฮ่าๆๆ
เที่ยวชมถ่ายรูปพอเป็นพิธีเพราะร้อนและเหม็นในระดับพอรับเกือบได้ ก็ขึ้นรถ เพื่อหาที่ฆ่าเวลาต่อไป เอธิโอเปียนั้นอันดับหนึ่งที่น่าลองคือ กาแฟ และที่เค้าแนะนำว่าต้องมาโดนให้ได้ก็คือ แมคคาเอียโต (มั้ง) พ่อแม่พี่ก็มีความอยากโดนกันใหญ่ ก็เลยบอก แดซิลาดิเย้เย้เย้ ให้พาแวะร้านกาแฟหน่อย ก็จัดไปจ้า แมคคาเอียโตสอง โซ้ยกันสามคน
คนไหนกินไม่ได้ ทนไม่ไหว แต่แพ้เสียงส่วนใหญ่ ก้ทนไปสิค้าบบบบบ บ้านเราประชาธิปไตยยย ก็ถ่ายรุปเล่น จิบกาแฟกันไปสักพัก ก้ถึงเวลาที่จะมาต่อเครื่องบินภายในประเทศ ซึ่งก็ไม่พ้นสายการบิน เอธิโอเปียแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน star alliance สนามบิน ในประเทศของเค้าอยู่ห่างกับสนามบินระหว่างประเทศ (สำหรับเมืองแอดดิส) แค่เพียง 2 นาทีรถขับเท่านั้น เอาเป็นว่าจริงๆก็เดินได้ พอถึงสนามบิน ก็ถึงเวลาบอกลาแดซิลาดิเย้ ผู้ที่เอาเข้าจริงเรียกนาง นางไม่เคยหัน เพราะออกเสียงไม่เคยถูก ฮ่าๆ เอาเป็นว่าเราก็เข้าไปเช็คอินเพื่อต่อเครื่องไป Bahir dar กันเรียบร้อย ถึงเวลา รอร้อรอ หลับก็แล้ว ฟังเพลงก็แล้ว เม้ามอยก็แล้ว เครื่องก็ยังไม่มา สุดท้ายเครื่องดีเลย์ไปเป็นชั่วโมงจ้า แถมเกตก็ขึ้นไม่ถูกอีก คนก็งง เดินจากเกตนู้นไปเกตนี้ เกตนี้ไปเกตนู้น สงสัยเป็นทริคให้ฆ่าเวลารอเครื่องบินของทางสนามบินโคกะสายการบินแน่ๆ ฮ่าๆ สุดท้ายนกเหล็กตัวจิ๋วก็เข้าเทียบชานชาลา รอทะยานฟ้าไปเมือง Bahir dar แต่แม้ นั่งเพียง 1 ชม ก็มีอาหารเป็นขนมปังและน้ำ บริการเหมือนเคนย่าแอร์ไลน์ พอถึง เราก็หาคนขับรถ เพื่อพาไปยังโรงแรมที่จองไว้ เมืองนี้เป็นเมืองติดทะเลสาบอันกว้างใหญ่ แหงล่ะก็เราจะมาเที่ยวทะเลสาบและน้ำตกที่เมืองนี้นี่หว่า ซึ่งโปรแกรมในการท่องเที่ยวก็คือ พรุ่งนี้เช้า สำหรับคืนแรก สิ่งที่ต้องทำคือ กินไรกันดี อาหารข้างนอกอาจไม่ปลอดภัย มาจบที่ โรงแรม โรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหม่ ซึ่ง Local tour ที่นี่แนะนำมา แต่ไม่มีแอร์นะจ๊ะ แต่อากาศไม่ร้อนมากก็รับได้ และห้องสะอาดอยู่ในเกณฑ์ดีเลยทีเดียว พอมาถึงห้องอาหาร ก็สั่งอย่างแรกเลยจ้ะ น้ำร้อนค่ะ น้ำร้อน จะเอามาใส่มาม่า พร้อมกับชุดปลาไรสักอย่างมาลองชิมๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือ ปลากสามรสพร้อมข้าว กับ น้ำร้อนในถ้วยกาแฟจ้ะ แม่คูณ บอกจะต้มบะหมี่ แม่นางคงไม่เคยเห็น สุดท้าย ไม่กำกับเล็กน้อย เอาน้ำร้อนมาชามเท่ากะละมังข้าวแมว 3 ตัว ก็โอเค อย่างน้อยก็กินได้ล่ะวะ จบมื้อแรกไปอย่างประทับใจว่าเรากินอาหารที่นี่ได้นะ แต่มาม่าเอามาแล้วก็ขอมื้อละซอง ให้บรรเทาความหนักล่ะกัน …
[Day2]
ตื่นเช้ามาเก็บของเรียบร้อยลงมาข้างล่าง เห็นคุณเม้ามอยกะฝรั่งรุ่นใหญ่ พอลงมาแม่เลยแนะนำให้รู้จัก แต่ไม่ได้ถามชื่อมา ได้ความมาว่า ลุงแกเป็นหมอฟัน มากะแก๊งคุณหมอจากแคนนาดา ซึ่งทำงานที่ รพ เอกชน เค้ามีโครงการให้คุณหมอมาสอนงานที่ รพ ที่นี่ ซึ่งแล้วแต่อาสาสมัคร ซึ่งเค้าก็มา และก็เคยไปหลายๆที่ทั่วโลกมาแล้ว เราก็คุยกับเค้า เค้าน่ารักมากกก ความคิดดี บอกเค้ารู้สึกว่าต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้มันจะดูลำบาก แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ซึ่งเราก็เพ้อไปด้วย ก็จริง เราควรใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเฉยๆ ซึ่งก็เป็นข้อคิดดีดีจากแก๊งคุณหมอ แต่ตอนนี้เราคงต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าก่อน ก็เที่ยวอยู่นี่คะ โปรแกรมแรกของวันคือการล่องเรือที่ทะเลสาบทานา เป็นการล่องเรือไปสามเกาะ เพื่อดูโบสถ์ ซึ่งลักษณะโดยรวมของโบสถ์ก็เหมือนๆกัน คือ แบ่งเป็นสามชั้น ชั้นแรกจะมีไว้สำหรับ สวดมนต์หรือ ร้องเพลง ส่วนชั้นที่สองจะเป็นคล้ายๆกับ Holly Communions และชั้นในสุดจะเป็นที่เก็บคัมภีร์ของเค้า คิดว่าคือ คัมภีร์ 10 ประการนะคะ โดยทางเข้าทั้งหมดจะมี 12 ประตู และก็เข้าแยกหญิงชาย แต่นักท่องเที่ยวไม่เกี่ยวค่ะ เข้าประตูไหน ก็เข้าๆไปเถอะ
หลังจากที่ล่องเรือบนทะเลสาบเสร็จ ก็ทำการเคลื่อนย้ายไปกินข้าว ซึ่งเราต้องไปเที่ยวที่ Blue Nile Water Fall ต่อ แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่าน้ำตกจะเล็กน้อย เพราะว่า เป็นช่วงหน้าร้อน ซึ่งข้าวเที่ยงวันนี้ พวกเราก็จัดพิซซ่าหน้าไก่ และข้าวผัดปลา(มั้ง) แต่เราก็ต้องทำเวลาเพราะเดี๋ยวเราจะต้องเดินทางเป็นระยะเวลานานเพื่อข้ามไปยังเมือง Lalibela ดังนั้น หลังจากนั่งถกกัน ป๊าก็เสนอว่าไปกินในรถสิจ๊ะ ฮ่ะๆๆ ก็โอเคกู๊ดไอเดียตามนั้นจ้ะ เลยแบกพิซซ่า 1 ถาดกลางมากินในรถ ซึ่งหนทางการไป Blue Nile Water Fall มัน… เรียกว่าทุกห้าวิมีหลุมบ่อที่หลบไม่ได้ ก็สนุกสิจ้ะ พิซซ่าหน้าไก่ในท้องเรียงตัวกันเลยทีเดียว… และในที่สุดก็มาถึง น้ำตกสักทีซึ่งก็เล้กเท่าฉี่ช้างแมมมอธ สองตัวรวมกัน 555 แต่ด้วยบรรยากาศมีฝูงวัว และทุ่งหญ้าเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกดีไปได้ในระดับหนึ่ง…
ต่อจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่ต้องนั่งรถยาวเพื่อไป Lalibela ...
ติดตามกันได้ที่นี่นะคะ
https://www.facebook.com/Dudetraveler/
[Review trip] เอธิโอเปีย ไม่เสียใจที่ได้ไป :D
เมืองโบสถ์สร้างได้ไง
เมืองภูเขาไฟ
เมืองที่ไม่ค่อยมีคนคิดจะไป
สวัสดีค่ะ…
นี่เป็นรีวิวครั้งแรกในชีวิตเลยนะคะ อยากเขียนเพื่อเล่าเรื่องราว และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เอธิโอเปียค่ะ เผื่อจะมีใครอยากไปเห็นเอธิโอเปียกะตาตัวเองจริงๆจะได้มีข้อมูลเพิ่มเติมในการจัดทริปนะคะ เพราะตอนทำทริปหารีวิวคนไทยอ่านยากมากเลยค่ะ สุดท้ายเลยคิดว่าเขียนข้อมูลเก็บไว้เผื่อมีคนสนใจดีกว่า ยังไงถ้ารูปไม่สวยมากแนะนำวิธีถ่ายได้นะคะ มือใหม่ทั้งเขียนรีวิว ทั้งถ่ายภาพเลยค่ะ
ขอเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้ได้ไปเอธิโอเปียก่อนนะคะ เริ่มต้นที่ ครอบครัวเราค่อนข้างเที่ยวมาหลายที่ แต่ไม่ใช่ที่ที่คนเค้าไปกันเท่าไรนะคะ อย่างเช่นพวกอเมริกานี่ยังไม่เคยไปเหยียบเลย ฮ่าๆๆ และช่วงนี้ คุณพ่อก็สนใจทางแอฟริกาซะด้วย เคยเอาทัวร์เอธิโอเปียมาให้ดู 1 ครั้ง นั่นแหละค่ะ จุดเริ่มต้น เพราะ พอดูทัวร์ปุ๊ปก็ไม่ถูกใจ ออ ปกติถ้าบ้านเราจะไปเที่ยว ตปท จะไปกะทัวร์ตลอดเลยค่ะ เพราะ ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูล แต่ก็คิดๆจะไปกันเองมาสักพักละค่ะ พอถึงครั้งนี้ เราเองค่ะที่ไม่ถูกใจ เลยคิดว่าจะจัดเอง เพราะมีที่ที่อยากไปอยู่ แต่ไม่มีทัวร์เค้าจัด(ไม่รู้หาดีหรือยัง) เลยทำทริปไปนำเสนอที่บ้านยกใหญ่ บิ้วสุดฤทธิ์ ฮ่าๆๆ สุดท้ายทุกคนก็ยอมไป โดยเรากำชับคุณแม่กะพี่เราให้ออกกำลังกายก่อนไปนะ ส่วนคุณพ่อท่านออกกำลังกายทุกวันเลยไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรค่ะ แต่สุดท้ายกลายเป็นเราที่ป่วยก่อนไปเที่ยวซะเอง ยังไงก็ลองดูรายละเอียดทริปได้เลยนะคะ
หลังจากเราอ่านทัวร์ และดูจากอินเตอร์เน็ตเยอะๆ เราก็ลิสต์ที่น่าเที่ยว ของเอธิโอเปียมาไว้ดังนี้ค่ะ
1. Barhi dar (Tana Lake, Blue Nile Falls)
2. Lalibela (11 Church)
3. Aux chum
4. Gondar
5. Mekele (Erta ele, Dallol, Camel caravan, Lake assal)
6. Addis เมืองหลวงของเอธิโอเปียเนี่ยแหละค่ะ
และยังมี trekking ด้วย ยังไงก็ลองหาดูได้นะคะ มีบริษัททัวร์ Local ของ Ethiopia แนะนำ คือ ETT ค่ะ
http://www.ethiotravelandtours.com/
แต่เนื่องจากเวลาอันจำกัด เราเลยเลือกไปกันแค่ Barhidar, Lalibela และ Mekele แต่ก็มีเวลาเยี่ยมชม Addis นะคะ เรามีเวลากัน 8 วันเนื่องจากความเป็นมนุษย์เงินเดือนของเราเอง เราเลยจัดแพลนประมาณนี้ค่ะ
Day Activity
Day1 BKK-ADD by Kenya airway 12 hrs 45 mins
Day1 Visa on arrival
Day1 ADD-BJR
Day1 Overnight Rah Nile Hotel
Day2 Travel Tana lake and nile falls
Day2 BJR-Lalibela by car (4 hrs 45 mins)
Day2 Overnight Lalibela lodge
Day3 Travel Lalibella (Chrunch)
Day3 Lalibela to Mekele by car ( 4 hrs 43 mins)
Day3 Overnight AtseYohannis Hotel
Day4-7 Danakil depression
Day7 MQX-ADD
Day8 ADD-BKK by Ethiopia airline 8 hrs 50 mins
นี่คือที่เราว่าไว้ค่ะ จะใช้เวลาทั้งหมด 3 วัน 4 จังหวัด 1 ประเทศ เดี๋ยวจะสรุปเรื่องเงินไว้ให้อีกทีนะคะ คร่าวๆ รวมทุกอย่าง และ รวมค่ากิน ค่าทิป Local Guide ค่าจิปาถะ ตกคนละ 70000 กว่าๆ ค่ะ งั้นเรามาเริ่มตั้งแต่วันแรกกันเลยดีกว่าค่ะ
เริ่มต้นวันแรก พวกเรา 4 คนก็เดินทางมาสนามบินเหมือนคนปกติทั่วไปค่ะ สุวรรณภูมิเหมือนจะแตก เพราะ คนไทยส่วนใหญ่ก็แห่กันหนีร้อนเพื่อไปหาที่พักผ่อนเย็นๆร่วมกันครอบครัวในวันสงกรานต์ สุวรรณภูมิเหมือนเปิดบูธแจกของฟรี คนต่อคิวยาวยืด ทับวนไปเวียนมาหลายตลบ ส่วนพวกเราผู้ไม่รู้ว่า อี Kenya Airways มันอยู่ตรงไหน ก็เดินหาสักพัก เพียงไม่นานครัช คนต่อแถวสั้นๆ ผู้เป็นเอกลักษณ์ก็ทำให้เรารู้ทันทีว่าแถวไหนกันนะที่ต่อคิวเพื่อจะไปเคนย่า เราต่อแถวกันสักพัก ก็ถึงคิวเช็คอิน การเช้คอินผ่านไปเรียบร้อย เราก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่อง เออ ชีวิตไม่ได้สวยหรูอย่างนั้น อย่างที่บอกไปคนล้นสุวรรณภูมิขนาดนี้ กว่าจะทำแต่ละขั้นตอน ก็เล่นเอาเราต้องวิ่งไปขึ้นเครื่องเพราะ final call เลยทีเดียว…
สิ่งที่ทำให้เราแปลกใจก้คือ Kenya Airways น่าใช้บริการกว่าที่คิด เป็นเครื่องขนาดใหญ่ มีหนังให้ดู มีรูให้เสียบ (เสียบชาร์ตนะคะ แหม่) แม้จะดูเรียบๆ แต่อาหารเครื่องดื่มเพียบนะคะ ฮ่าๆ แต่หนังอาจจะไม่เยอะเท่าการบินไทยของเรา แต่ถึงจะมีไม่มี เราก็ใช้แค่รูไว้ชาร์ตแบตแล้วก็หลับยาววววว เลยจ้า นอกจากนี้ยังให้น้ำหนักในการโหลดกระเป๋า 23 Kg/bag ได้สองใบเลยทีเดียว ซึ่ง ก็ตกคนละ 46 Kg นั่นเอง … พอถึง landing เคนย่า เพื่อรอ transfer ไปเอธิโอเปีย ก็ทำให้รู้ว่า ไอ่ที่คนเยอะๆ เต็มลำใหญ่ขนาดนั้น นางมา transfer ไปกว่าครึ่ง เพราะตั๋วไปเคนย่านั้นถู๊ก ถูก ถูกและดี ต้องนี่เลยเคนย่าแอร์ไลน์ หลังจากฝ่าฝูงคนร่างยักษ์ เราก็ไปขึนเครื่องไปเอธิโอเปียสักที เพียง ชม เดียวจากเคนย่าก็ถึงที่หมาย แต่ก็ยังมีอาหารต้อนรับเสมอ และที่สำคัญ …กินได้ กว่าที่คิด
[Day1]
และแล้วก็ถึงสักทีประเทศที่หมาย ลงมาปุ้ป เราชาวไทยก็ต้องต่อแถวทำวีซ่าสิฮะ ซึ่งตอนแรกก็ดีใจนางเปิดตั้ง 3 ช่อง แต่มันไม่ใช่… มันเป็นรูทที่ต่อกัน คือเสร็จช่องแรกก็ต้องไปช่องที่สอง ก็รอไปสิคัชช พอถึง เจ้าหน้าที่ก้เอาพาสปอร์ตไป แล้วก็จะเช็ค ที่พักของเรา ว่าจะพักที่ไหน สุดท้ายก็แปะ วีซ่า เขียนๆ ถ่ายรูป และยืนคืน ซึ่งเราไม่ต้องเตรียมไรไปเลยนอกจาก เงิน และชื่อ เบอร์โทรที่พักคืนแรก ซึ่งจากที่หารีวิว (ซึ่งน้อยมากกก) ได้ความมาว่า ประมาณคนละ 30 ดอลลาร์ แต่ไม่ใช่ละนะจ๊ะ 50 ดอลลาร์คอนเฟิร์ม…
เมื่อออกจากสนามบิน ก็ติดต่อคนขับรถให้ขับพาเที่ยวตลาดในเมืองหลวงอันสิวิไล แต่รีเควสขอเป็น Local Market สิคับ ขับมาสักพัก ลืมบอกไปเอธิโอเปียขับซ้ายนะคะ เพราะเป็นเมืองขึ้นอิตาลีมาก่อน แต่ที่เมืองนี้มีความพิเศษก็คือ ไม่มีสัญญาณไฟค่ะ ก็ขับไปสิคะ ใครใคร่ขับ ขับ! คนขับของเราชื่อ ยากมาค่ะ แต่เราเรียกนางว่า แดซิลาดิเย้! นางค่อนข้างเด็ก น่าจะรุ่นๆเราเลยทีเดียวพอขับไปสักพักเริ่มเข้าพื้นที่ที่ไม่ใช่ถนน และแล้วก็ถึง Local Market at capital of Ethiopia ตลาดดีมีขายหลายอย่าง ไก่ก็มีหมาก็เดิน คนก็ขาย ข้าวก็มีผักก็เยอะ ผลไม้มากมาย ลองดูได้ตามรูปข้างล่าง เลยจ้า ฮ่าๆๆ
เที่ยวชมถ่ายรูปพอเป็นพิธีเพราะร้อนและเหม็นในระดับพอรับเกือบได้ ก็ขึ้นรถ เพื่อหาที่ฆ่าเวลาต่อไป เอธิโอเปียนั้นอันดับหนึ่งที่น่าลองคือ กาแฟ และที่เค้าแนะนำว่าต้องมาโดนให้ได้ก็คือ แมคคาเอียโต (มั้ง) พ่อแม่พี่ก็มีความอยากโดนกันใหญ่ ก็เลยบอก แดซิลาดิเย้เย้เย้ ให้พาแวะร้านกาแฟหน่อย ก็จัดไปจ้า แมคคาเอียโตสอง โซ้ยกันสามคน
คนไหนกินไม่ได้ ทนไม่ไหว แต่แพ้เสียงส่วนใหญ่ ก้ทนไปสิค้าบบบบบ บ้านเราประชาธิปไตยยย ก็ถ่ายรุปเล่น จิบกาแฟกันไปสักพัก ก้ถึงเวลาที่จะมาต่อเครื่องบินภายในประเทศ ซึ่งก็ไม่พ้นสายการบิน เอธิโอเปียแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน star alliance สนามบิน ในประเทศของเค้าอยู่ห่างกับสนามบินระหว่างประเทศ (สำหรับเมืองแอดดิส) แค่เพียง 2 นาทีรถขับเท่านั้น เอาเป็นว่าจริงๆก็เดินได้ พอถึงสนามบิน ก็ถึงเวลาบอกลาแดซิลาดิเย้ ผู้ที่เอาเข้าจริงเรียกนาง นางไม่เคยหัน เพราะออกเสียงไม่เคยถูก ฮ่าๆ เอาเป็นว่าเราก็เข้าไปเช็คอินเพื่อต่อเครื่องไป Bahir dar กันเรียบร้อย ถึงเวลา รอร้อรอ หลับก็แล้ว ฟังเพลงก็แล้ว เม้ามอยก็แล้ว เครื่องก็ยังไม่มา สุดท้ายเครื่องดีเลย์ไปเป็นชั่วโมงจ้า แถมเกตก็ขึ้นไม่ถูกอีก คนก็งง เดินจากเกตนู้นไปเกตนี้ เกตนี้ไปเกตนู้น สงสัยเป็นทริคให้ฆ่าเวลารอเครื่องบินของทางสนามบินโคกะสายการบินแน่ๆ ฮ่าๆ สุดท้ายนกเหล็กตัวจิ๋วก็เข้าเทียบชานชาลา รอทะยานฟ้าไปเมือง Bahir dar แต่แม้ นั่งเพียง 1 ชม ก็มีอาหารเป็นขนมปังและน้ำ บริการเหมือนเคนย่าแอร์ไลน์ พอถึง เราก็หาคนขับรถ เพื่อพาไปยังโรงแรมที่จองไว้ เมืองนี้เป็นเมืองติดทะเลสาบอันกว้างใหญ่ แหงล่ะก็เราจะมาเที่ยวทะเลสาบและน้ำตกที่เมืองนี้นี่หว่า ซึ่งโปรแกรมในการท่องเที่ยวก็คือ พรุ่งนี้เช้า สำหรับคืนแรก สิ่งที่ต้องทำคือ กินไรกันดี อาหารข้างนอกอาจไม่ปลอดภัย มาจบที่ โรงแรม โรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหม่ ซึ่ง Local tour ที่นี่แนะนำมา แต่ไม่มีแอร์นะจ๊ะ แต่อากาศไม่ร้อนมากก็รับได้ และห้องสะอาดอยู่ในเกณฑ์ดีเลยทีเดียว พอมาถึงห้องอาหาร ก็สั่งอย่างแรกเลยจ้ะ น้ำร้อนค่ะ น้ำร้อน จะเอามาใส่มาม่า พร้อมกับชุดปลาไรสักอย่างมาลองชิมๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือ ปลากสามรสพร้อมข้าว กับ น้ำร้อนในถ้วยกาแฟจ้ะ แม่คูณ บอกจะต้มบะหมี่ แม่นางคงไม่เคยเห็น สุดท้าย ไม่กำกับเล็กน้อย เอาน้ำร้อนมาชามเท่ากะละมังข้าวแมว 3 ตัว ก็โอเค อย่างน้อยก็กินได้ล่ะวะ จบมื้อแรกไปอย่างประทับใจว่าเรากินอาหารที่นี่ได้นะ แต่มาม่าเอามาแล้วก็ขอมื้อละซอง ให้บรรเทาความหนักล่ะกัน …
[Day2]
ตื่นเช้ามาเก็บของเรียบร้อยลงมาข้างล่าง เห็นคุณเม้ามอยกะฝรั่งรุ่นใหญ่ พอลงมาแม่เลยแนะนำให้รู้จัก แต่ไม่ได้ถามชื่อมา ได้ความมาว่า ลุงแกเป็นหมอฟัน มากะแก๊งคุณหมอจากแคนนาดา ซึ่งทำงานที่ รพ เอกชน เค้ามีโครงการให้คุณหมอมาสอนงานที่ รพ ที่นี่ ซึ่งแล้วแต่อาสาสมัคร ซึ่งเค้าก็มา และก็เคยไปหลายๆที่ทั่วโลกมาแล้ว เราก็คุยกับเค้า เค้าน่ารักมากกก ความคิดดี บอกเค้ารู้สึกว่าต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้มันจะดูลำบาก แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ซึ่งเราก็เพ้อไปด้วย ก็จริง เราควรใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเฉยๆ ซึ่งก็เป็นข้อคิดดีดีจากแก๊งคุณหมอ แต่ตอนนี้เราคงต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าก่อน ก็เที่ยวอยู่นี่คะ โปรแกรมแรกของวันคือการล่องเรือที่ทะเลสาบทานา เป็นการล่องเรือไปสามเกาะ เพื่อดูโบสถ์ ซึ่งลักษณะโดยรวมของโบสถ์ก็เหมือนๆกัน คือ แบ่งเป็นสามชั้น ชั้นแรกจะมีไว้สำหรับ สวดมนต์หรือ ร้องเพลง ส่วนชั้นที่สองจะเป็นคล้ายๆกับ Holly Communions และชั้นในสุดจะเป็นที่เก็บคัมภีร์ของเค้า คิดว่าคือ คัมภีร์ 10 ประการนะคะ โดยทางเข้าทั้งหมดจะมี 12 ประตู และก็เข้าแยกหญิงชาย แต่นักท่องเที่ยวไม่เกี่ยวค่ะ เข้าประตูไหน ก็เข้าๆไปเถอะ
หลังจากที่ล่องเรือบนทะเลสาบเสร็จ ก็ทำการเคลื่อนย้ายไปกินข้าว ซึ่งเราต้องไปเที่ยวที่ Blue Nile Water Fall ต่อ แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่าน้ำตกจะเล็กน้อย เพราะว่า เป็นช่วงหน้าร้อน ซึ่งข้าวเที่ยงวันนี้ พวกเราก็จัดพิซซ่าหน้าไก่ และข้าวผัดปลา(มั้ง) แต่เราก็ต้องทำเวลาเพราะเดี๋ยวเราจะต้องเดินทางเป็นระยะเวลานานเพื่อข้ามไปยังเมือง Lalibela ดังนั้น หลังจากนั่งถกกัน ป๊าก็เสนอว่าไปกินในรถสิจ๊ะ ฮ่ะๆๆ ก็โอเคกู๊ดไอเดียตามนั้นจ้ะ เลยแบกพิซซ่า 1 ถาดกลางมากินในรถ ซึ่งหนทางการไป Blue Nile Water Fall มัน… เรียกว่าทุกห้าวิมีหลุมบ่อที่หลบไม่ได้ ก็สนุกสิจ้ะ พิซซ่าหน้าไก่ในท้องเรียงตัวกันเลยทีเดียว… และในที่สุดก็มาถึง น้ำตกสักทีซึ่งก็เล้กเท่าฉี่ช้างแมมมอธ สองตัวรวมกัน 555 แต่ด้วยบรรยากาศมีฝูงวัว และทุ่งหญ้าเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกดีไปได้ในระดับหนึ่ง…
ต่อจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่ต้องนั่งรถยาวเพื่อไป Lalibela ...
ติดตามกันได้ที่นี่นะคะ https://www.facebook.com/Dudetraveler/