เรื่องเหล้า : เมาแรกและเมาเดียว

กระทู้สนทนา
เรื่องเหล้า  ซีรี่ส์ที่เปิดกว้างให้นักเขียนมาร่วมสนุกเขียนเรื่องสั้นแชร์ประสบการณ์กัน

เมาแรกและเมาเดียว
                  ดรัสวันต์



    ฉันชื่อพิมนภาค่ะ ฉันมีเรื่องเหล้ามาเล่าให้ฟัง

    ฉันไม่ใช่คอเหล้าอะไรหรอกค่ะ แต่เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แต่มาเริ่มเข้าวงเหล้าก็เพราะ ‘เขา’ นี่ล่ะ

    ก่อนที่จะเจอเขา ฉันก็เคยดี่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลมาบ้างเหมือนกัน แต่ก็แค่จิบๆ แค่ชิมให้พอรู้จักว่า เหล้า เบียร์ ไวน์ มันมีรสชาติเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นเมาสักครั้ง

    ปีใหม่ปีนั้น อดีตรูมเมทของฉัน เธอชื่อจ๋า เธอชวนฉันไปฉลองปีใหม่ที่บ้านของเธอที่จังหวัดเชียงใหม่ เธอชวนทุกปีและชวนหลายครั้งแล้ว แต่ฉันก็ยังสนุกกับการฉลองปีใหม่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งที่ออฟฟิศของฉันจัดเป็นประจำทุกปี  แต่มาปีนี้ ฉันเริ่มรู้สึกเบื่อๆ ก็เลยตอบตกลงกับจ๋า เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวที่อื่นบ้าง โดยเฉพาะเชียงใหม่ช่วงปีใหม่ อากาศน่าจะหนาวเย็น ฉันนึกถึงการได้ไปเที่ยวดอย เที่ยวภูเขาและน้ำตก ชมดอกไม้สวยๆ ที่ต่างผลิบานออกดอกโตสีสด เพราะความหนาวเย็น

    ฉันกับจ๋านัดเจอกันที่สถานีขนส่งหมอชิตในตอนเย็นหลังเลิกงานของวันที่ 30 ธันวาคม ฉันนึกภาพความโกลาหลของผู้คนที่พากันเดินทางในช่วงหยุดยาวเพื่อกลับบ้านหรือท่องเที่ยวแล้วท้อใจ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะจ๋าต้องเคลียร์งานวันนี้เป็นวันสุดท้ายให้เสร็จ

    แต่พอเอาเข้าจริงๆ ที่สถานีขนส่งแม้จะวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาอย่างที่ฉันคิด จ๋ามาช้านิดหน่อย แต่เราก็ได้ซื้อตั๋วรถทัวร์ไปเชียงใหม่กัน จ๋าบอกว่าเราจะไปถึงประมาณตี 5 พอไปถึงแล้วจะมีเพื่อนอีกกลุ่มที่นัดไว้มารับเรา เป็นเพื่อนของเพื่อนจ๋าอีกทีซึ่งฉันไม่รู้จัก เพื่อนกลุ่มนี้ขับรถไปเองตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วและถึงเชียงใหม่ก่อนหน้าเรา

    ก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉันตกลงจะไปเชียงใหม่ จ๋าถามว่ารังเกียจไหมที่เขาจะชวนเพื่อนอีกกลุ่มไปด้วย ฉันไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเจ้าของบ้านเขาไม่ว่า และฉันเชื่อใจจ๋าว่าคงไม่ชวนคนที่ไม่น่าคบมาเที่ยวบ้านแน่นอน

    การนั่งรถทัวร์โดยสารทำให้ฉันหลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทาง และปวดเมื่อยไปหมด จ๋าปลอบว่าตอนขากลับเราจะกลับรถของพื่อนไม่ต้องนั่งรถทัวร์เหมือนขามา
    
    ประมาณตี 5 ที่เราไปถึงเชียงใหม่ ยังไม่สว่างดี อีกทั้งอากาศเย็นทำให้เกิดหมอกมัวปกคลุมไปทั่ว เราสองคนออกมายืนชะเง้อคอยคนมารับอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดจ๋าก็โทร.ตาม แต่ติดต่อไม่ได้จนคิดว่าไม่มีใครมารับเราแน่แล้ว จึงเหมารถสองแถวแดงที่วิ่งรับผู้โดยสารไปทั่วเมืองเชียงใหม่ให้ไปส่งที่บ้านของจ๋าที่อยู่แถวกาดสวนแก้ว

    พอไปถึงบ้านฉันจึงรู้ว่าเพื่อนอีกกลุ่มที่เป็นชายหนุ่มสองคนนั้นไม่ได้พักที่บ้านนี้ แต่ไปพักที่ชั้นบนของร้านค้าซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวจ๋า

    'ให้พวกผู้ชายเขาไปพักอีกที่หนึ่ง ไม่ต้องมาอยู่รวมกับเรา’ จ๋าให้เหตุผล ถึงความเหมาะสมดีงาม

    พอตกสาย หลังจากที่เราสองคนได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและทานข้าวเช้ากันแล้ว เราจึงไปที่ร้านซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นตั้งอยู่บนถนนท่าแพ เพื่อเจอกับเพื่อนกลุ่มนี้  เรานั่งรออยู่ด้านหลังร้านสักพักใหญ่ ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินลงมาจากชั้นบนของร้าน เขาเป็นชายร่างสูงท้วม ใส่แว่นสายตากรอบดำ

    “ไหนบอกว่าจะไปรับที่ท่ารถ ไม่มีใครโผล่มาสักคน” จ๋าต่อว่าทันทีที่พบหน้าหนุ่มคนนี้ ซึ่งต่อมาจ๋าแนะนำว่าชื่อปัญญา ที่จริงปัญญาไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นลูกค้าที่มาซื้อที่ดินของจ๋าอีกด้วย จึงค่อนข้างเกรงใจกันอยู่
    
    “ก็กินเหล้ากันยันเช้า ยังไม่ได้นอนเลย ไปรับไม่ไหว ขอโทษด้วย แล้วตกลงใครไปรับล่ะ” ปัญญาให้เหตุผลพร้อมทั้งขอโทษ

    “จะมีใครไปรับล่ะ ต้องนั่งรถแดงไปบ้านเอง” จ๋าทำหน้าเบื่อๆ “นึกอยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นแบบนี้  นี่จั่นก็ยังไม่ตื่นซิท่า” จ๋าหมายถึงน้องชายที่คงร่วมวงเหล้านี้กับเขาด้วย ท่าทางปัญญาน่าจะสนิทสนมกับครอบครัวนี้พอสมควร

         “เดี๋ยวไอ้หัวล้านก็ลงมา” เขาคงหมายถึงเพื่อนอีกคน
    
          ฉันลอบมองดวงตาแดงก่ำของคนที่ดื่มเหล้ากันยันเช้า แล้วนึกถึงเพื่อนอีกคนที่ปัญญาเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ..ไอ้หัวล้าน  ว่าคงจะอยู่ในสภาพเดียวกัน ฟังฉายาที่เรียกแล้วพอจะจินตนาการถึงชายหัวล้านอ้วนลงพุงดวงตาแดงก่ำและมีกลิ่น ‘ละมุด’ ออกมากับลมหายใจ

    ฉันเริ่มรู้สึกเพลียใจว่างานนี้จะสนุกหรือนี่

    ไม่นานคนที่ถูกเรียกว่า ‘ไอ้หัวล้าน’ ก็เดินลงมาจากห้องชั้นบนของร้าน

    ฉันเขม่นมองอย่างจะให้แน่ใจ เพราะเขาคือชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่ไม่ได้หัวล้านหรืออ้วนลงพุงแม้แต่น้อย ฉันแอบกระซิบกับจ๋าว่า

    “ไม่เห็นหัวล้านเลย”

    “พ่อเขาหัวล้าน พวกผู้ชายมันชอบตั้งชื่อล้อเลียนพ่อกัน” จ๋ากระซิบตอบ

    ฉันพยักหน้าเข้าใจแล้วลอบสังเกตผู้ชายสูงผอม ขาวๆ ตี๋ๆ พิมพ์นิยมของสาวๆ ยุคนี้ ในชุดเสื้อเชิ๊ตลายสก๊อตกางเกงยีนส์เก่าๆ ออกแนวเซอๆ แต่ผมตัดสั้นสวมแว่นดูเป็นคนคงแกเรียน ช่างผิดกับดวงตาแดงก่ำและใบหน้าซีดเซียวของคนที่นั่งกินเหล้ายันเช้า

    จ๋าแนะนำฉันกับผู้มาใหม่ที่ชื่อ แทน

    เราต่างก้มหัวทักทายกันเพราะน่าจะรุ่นเดียวกัน

    “แล้ววันนี้จะเที่ยวไหวหรือ ยังไม่ได้นอนแบบนี้” จ๋าตั้งคำถาม

    “ไหว...” ปัญญาลากเสียงแล้วคุยโอ่ว่า “โธ่ เรื่องกินเหล้ายันเช้าเนี่ย เรื่องปกติ”

    ฉันเริ่มไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะสนุกกับทริปนี้ แต่ก็มาแล้ว จะหันหลังกลับอย่างไรได้


    โปรแกรมเที่ยวของเราคือจะขับรถขึ้นเชียงราย ไปเที่ยวดอยแม่สลองและแม่สาย เราคงจะค้างที่เชียงรายสักหนึ่งคืน  รถที่จะพาเราไปเป็นรถเบ๊นซ์รุ่นคุณปู่สีงาช้าง เป็นรถเก่าตกยุคมากกว่าเก่าคลาสสิค ฉันกับจ๋านำกระป๋าเดินทางใบเล็กไปใส่ท้ายรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง สองหนุ่มนั่งหน้า ฉันบอกตัวเองอย่างพยายามปลงว่าเพื่อนร่วมทางจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ฉันขอเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ตลอดทางไปเชียงรายก็แล้วกัน

    ปัญญาเป็นคนช่างคุย หัวเราะเสียงดัง มีเรื่องขำๆ มาเล่าหรือไม่ก็แซวเพื่อนข้างๆ ทำให้บรรยากาศในการนั่งรถทางไกลไม่เงียบเหงา ฉันยังไม่คุ้นกับเพื่อนใหม่ก็เลยนั่งเฉยๆ ฟังจ๋ากับปัญญาคุยกัน  ส่วนแทนก็ทำหน้าที่ขับรถไปเงียบๆ เขาอาจจะเป็นคนไม่ค่อยพูด รึว่ายังไม่สร่างเมา แต่มีบ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกลอบมองผ่านกระจกส่องหลัง ฉันรับรู้เงียบๆ ว่ากำลังตกเป็นเป้าสนใจของหนุ่มแทน แต่ฉันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

    แล้วตลอดระยะเวลาการท่องเที่ยวทั้ง 3 วัน ก็ทำให้ฉันเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแทนเริ่มเข้ามาดูแลใส่ใจฉันเป็นพิเศษ  และฉันเองก็เริ่มคลายใจที่สองหนุ่มนี้เพลาๆ เรื่องการดื่มลง คงเพราะเกรงใจผู้หญิงสองคนนี้และต้องขับรถทางไกลเกรงจะไม่ปลอดภัยหากร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่

    การท่องเที่ยวฉลองปีใหม่ผ่านไปแล้ว ได้เวลากลับกรุงเทพฯ จ๋าเปลี่ยนใจยังไม่กลับพร้อมเราสามคน แต่ขอให้สองหนุ่มช่วยดูแลพาฉันส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย  


    หลังจากกลับมากรุงเทพฯ ไม่กี่วัน ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากแทน เราเริ่มคุยกัน และค้นพบว่าเรามีความสนใจหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน  แทนชวนฉันไปทานข้าวเย็นอย่างมีพิธีรีตอง เขาแต่งตัวโก้ใส่เสื้อเชิ๊ตขาวรีดเรียบกริบ เขามารับฉันที่บ้าน มาสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของฉัน

    ร้านอาหารที่เขาพาฉันไปเป็นสวนอาหารที่เพื่อนของเขาเป็นเจ้าของ และเป็นที่ๆ มีบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนของแทนมาสังสรรค์และตั้งวงกินเหล้ากัน ปัญญาก็มาด้วย ทำให้ฉันได้พบหน้าคนที่คุ้นเคยบ้าง

    ฉันพบว่าวงเหล้าที่รวมเหล่าเพื่อนของแทนเป็นวงเหล้าที่สนุกสนานเฮฮา ไม่มีการเอะอะทะเลาะเบาะแว้งของคนเมาเหล้าที่ขาดสติ  พอแต่ละคนเริ่มเมาและเป็นเวลาดึกมากแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับพร้อมกับเตือนกันให้ขับรถดีๆ ส่วนแทนนั้นเป็นคนดื่มเหล้าที่นิ่งมาก ไม่ออกอาการให้รู้เลยว่าเขาดื่มเหล้ามา แม้แต่ใบหน้าขาวของหนุ่มเชื้อสายจีนคนนี้ก็ไม่เคยแดงเพราะฤทธิ์เหล้า

    แทนดูมีความสุขที่ฉันพลอยสนุกไปกับพวกเพื่อนเขาด้วย ไม่ได้แสดงอาการเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งอยู่ในวงเหล้าของผู้ชายอย่างผู้หญิงคนอื่น บุคลิกท่าทางของฉันที่ใครๆ มักจะบอกว่า ดูเป็นผู้หญิ้ง ผู้หญิงนั้น กลับมีความสนใจและชื่นชอบในสิ่งที่ผู้ชายสนใจ  ฉันชอบเรื่องการท่องเที่ยวผจญภัย ชอบเรื่องแข่งรถ แต่งรถยนต์ ชอบถกเรื่องการเมือง เรื่องกีฬา มากกว่าจะสนใจเรื่องความสวยความงามหรือละครทีวีอย่างผู้หญิงอื่น  บ่อยครั้งที่อยู่ในวงเหล้าฉันเป็นฝ่ายคุยกับเพื่อนๆ ของแทน ในขณะที่เขานั่งฟังยิ้มๆ

    นอกจากเพื่อนกลุ่มนี้ที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน แทนพาฉันไปรู้จักเพื่อนอีกกลุ่มที่สังสรรค์กันประจำที่ผับแห่งหนึ่งย่านเพลินจิต  ต้องบอกว่าร้านเหล้าแห่งนี้เป็นแหล่งรวมของอาร์ตติส อย่างพวกสถาปนิก มัณฑณากรและดีไซเนอร์ คงเพราะเจ้าของและหุ้นส่วนเป็นคนที่จบมาทางนี้ ดนตรีที่เปิดในร้านก็จะเป็นแนวแจ๊สและบลู จึงทำให้ร้านมีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างที่ไม่มีที่ไหนเหมือน

    แทนและฉันเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่  เป็นประจำทุกเสาร์ที่เราจะมาสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถาปนิกที่จบมาจากสถาบันเดียวกับฉันที่มีระบบ seniority ที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะเรียนคนละคณะ แต่ความเป็นพี่น้องของสถาบันหลอมรวมเราไว้มั่น ฉันจึงได้รับการยอมรับอย่างแน่นแฟ้นจากเพื่อนรุ่นพี่กลุ่มนี้ ซึ่งมีทั้งชายหญิง

    ในช่วงวันหยุดยาว เรามักจะนัดไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ้าง ที่จริงไม่ได้เที่ยวอะไรเลย ต้องบอกว่าเปลี่ยนสถานที่กินเหล้ามากกว่า

    แต่ถึงฉันจะอยู่ในวงเหล้าทุกคืนวันเสาร์ ฉันก็ยังดื่มน้อย แค่วิสกี้ผสมโซดาเพียงแก้วเดียวทั้งคืน จนมักจะถูกแซวว่าแก้วเหล้าของฉันยุงมาวางไข่แล้ว หรือไม่ก็มาเคาะแก้วเหล้าของฉันเป็นทำนองเตือนว่าน้ำแข็งละลายหมดแล้ว

    ก็มันไม่อร่อยอ่ะ  

    จริงๆ นะ ไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ ที่คนใกล้ตัวชื่นชอบแล้วฉันพยายามจะดื่มให้มันอร่อย ก็ไม่เห็นว่ามันจะอร่อยตรงไหน ขมๆ ซ่าๆ ส่วนเบียร์นั้นมีกลิ่นหมักดองคล้ายบูดๆ ที่ฉันไม่ชอบเอาเลย จริงอยู่ว่าเวลาดื่มเข้าไปแล้ว ภายในร่างกายของเราอาจจะรู้สึกวูบๆ วาบๆ บางอย่าง แต่คงเป็นความประหลาดของฉันคนเดียว ที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันดี หรือผ่อนคลายอย่างที่คนอื่นรู้สึก แต่การได้คุยหัวเราะในวงเหล้าเป็นอะไรที่ฉันสนุกมากกว่า อีกทั้งร้านเหล้าแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนบ้านของเรา ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็หน้าเดิมๆ และเป็นคนที่รู้ใจกันดี  ไม่มีพวกเอะอะโวยวาย เพราะถ้ามี ก็จะถูกเจ้าของร้านหน้าจืดพูดน้อยไล่ตะเพิดออกจากร้านไม่มีวันได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกแน่นอน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่