โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม
ครั้งหนึ่งในการเดินทางด้วยรถไฟ จากจาร์กาต้า สู่ ยอกยาการต้า ชายหนุ่มคนหนึ่งจามตอนนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเลยกล่าวตะห์มีด "อัลหัมดุลิ้ลละห์"
จากข้างที่นั่งเขา ได้ยินเสียงต่ำๆ แต่ชัดเจน "ยัรหามุกั้ลลอฮ์"
ดังนั้นเขาเลยกล่าวตอบอีกว่า"ยะฮ์ดีกุมุลลอฮุวะยุสลิฮุบาลากุม" แล้วก็หันไป ที่เขาเห็นคือผ้าคลุมสีขาว ที่ใบหน้าผินไปทางหน้าต่างรถไฟ..
ต้องรู้ก่อนว่า นี่อยู่ในช่วงปีประมาณปี1980 การคลุมฮิญาบถือเป็นอัญมนีฟิรเดาซ์อันขมขื่นของการดะห์วะ และคำว่า "ยัรหามุกั้ลลอฮ" คือความรู้ที่น้อยคนนักที่จะปฎิบัติกัน ทั้งสองนั้นรู้สึกถึงสวรรค์
เหตุนี้เขารีบฉีกกระดาษ จากสมุด แล้วเอาปากกาจากกระเป๋า หลังจากนั้นก็ยื่นให้กับมุสลิมะฮ์คนนั้น
"เดะ" เขากล่าว "กรุณาเขียนชื่อพ่อของเธอ และที่อยู่บ้านให้หน่อยนะ"
มุสลิมะฮ์คนนั้นตกใจ"เอาไปทำไมหรอ" ถามด้วยใบหน้าสงสัย และกังวล
"ฉันต้องการเชื่อมสายเชือกแห่งความเป็นอูคูวะห์ & ตอลาบุล อิลมี ต่อเขา" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว "จะรู้สึกชุโกรเป็นอย่างมากหากได้เรียนจากเขา เขามีวิธีการอย่างไรที่สามารถอบรมลูกๆให้เป็นคนศอลิห์ ศอลิหะฮ์"
ยังคงสงสัย มุสลิมะฮ์คนนั้นเลยเขียนชื่อหนึ่ง พร้อมที่อยู่
"หากมีแผนที่ด้วยก็ดี" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชายหนุ่มคนนั้นได้มาตามที่อยู่ที่ถูกเขียนไว้ในกระดาษ ประตูถูกเคาะ เขาให้สลาม พ่อบ้านเปิดประตูรับด้วยใบหน้าที่เป็นกันเอง
หลังจากที่เชิญให้นั่ง คนเป็นพ่อถามว่า" ลูกเป็นใครกันหรอ และมีธุระอะไร?
เขาแนะนำตัว แล้วกล่าวว่า" จุดประสงค์ที่มาที่นี่ อย่างแรกคือ นาวัยตุซ ซียาเราะ ลีบีนาอิล ฮูคุวะห์ ฉันต้องการ สร้างความเป็นพี่น้องด้วยกับเหล่าคนศอลิห์ จนไปสูสวรรค์
"ประการที่สอง" เนียตฉัน คือ ตอลาบุลอิลมี หวังว่าฉันจะได้รับการเรียนรู้จากท่าน ว่ามีวิธีการเลียงลูกอย่างไรให้เป็นคนศอลิห์ ศอลีอะห์"
"ประการที่สาม" ประโยคนี้ทำให้เขาถึงกับตัวสั่น "หากว่าเป็นไปได้ ฉันจะเรียนกับท่านด้วยการมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ฉันจะชูโกรเป็นอย่างมาก เหตุนี้เองฉันถึงกล้าสู่ขอลูกสาวของท่าน"
"อ้าว" พ่ออุทาน "ลูกสาวคนไหนละที่ต้องการจะนิกะฮด้วย? ฉันมีลูกสาวตั้ง 5 คนแหนะ?
"บิสมิ้ลละห์" แล้วแต่ป๊ะละกัน คนไหนก็ได้ที่ป๊ะพอใจให้แก่ฉัน ฉันขอมอบหมายต่ออัลลอฮ์ และกับป๊ะ เพราะว่าฉันมั่นใจ ฮุสนุซซอนของฉัน ป๊ะเป็นคนซอลิห์ มีลูกสาวทั้งหมดศอลิหะ
"อย่าทำแบบนั้นสิ คนไหนหละที่เธอรู้จัก
"ยังเลยป๊ะ ฉันยังไม่รู้จัก" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว
คนเป็นพ่อส่ายหัว พร้อมยิ้มอย่างสุขุม" แปปหนึ่ง เขาพูด "แล้วเธอมาที่นี่ แล้วมาสู่ขอลูกสาวฉันมีที่ไปที่มาอย่างไร?
ชายหนุ่มคนนั้นเลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นบนรถไฟ อย่างถี่ถ้วย ง่ายดาย คนเป็นพ่อพยักหน้า...
หากเรื่องเป็นแบบนั้น เขากล่าว "เพราะเธอได้นาซอร(เห็น) คือลูกสาวฉันคนนั้น เด่วฉันจะถามลูกสาวคนนั้นก่อนว่ายินยอม ริฎอต่อเธอไหม?
ชายหนุ่มคนนั้นก้มหน้าด้วยความอาย ... เหตุการณ์จบลงไปด้วยดี วันนั้นพวกเขาก็ได้อะกัดนิกะฮ์ ด้วยการเรียกเพื่อนบ้านซ้ายขวามาเป็นพยาน
ค่ามะฮัรล่ะ?
ปากกาที่ชายหนุ่มใช้เขียนขอที่อยู่ของพ่อแก่มุสลิมะฮ์ในรถไฟ ที่ในตอนใต้ได้เป็นภรรยา พร้อมด้วยเงินไม่กี่บาทที่มีอยู่ในกระเป๋าตังค์
ถึงตอนนี้พวกเขามีลูกด้วยกันหกคนชายหญิง ลูกชายคนหนึ่งได้เสียชีวิตเพระป่วยหลังจากที่ได้ท่องจำกุรอ่านทั้งหมด อีกห้าคนที่เหลือ ทั้งหมดก็ศึกษากุรอาน คู่ครองที่ที่สาวอีกนั้น ยังคงหยอกล้อกันและกัน เพราะคนเป็นสามีเป็นคนมีอารมณ์ขัน
"สาลิม" เขากล่าวในวันหนึ่ง "น้าเธอนี่รู้ไหม" แค่ฉันจามก็ได้เป็นภรรยา หากว่าฉันไอล่ะ เขาจะเป็นอะไร!
ฉันหัวเราะ และยิ่งหัวเราะอีกเมื่อน้าฉันหยิกท้องพร้อมกล่าวแก่สามีว่า"ถ้าไอ" เขาอยากล้อแต่กลั้นเสียงหัวเราะตัวเองไม่ได้ "เป็นไปได้ว่าเธอคงเป็นคนขับรถฉัน"
ท่านทั้งหลายไม่ต้องแกล้งจามบนรถประทำทางหรอก หลังจากอ่านเรื่องเล่านี้ แค่ท่านต้องรีบไปหาพ่อของหญิงสาว ตอนที่เครื่องหมายศอลีหะสัมผัสได้ ขอให้มีความสุขกับการจาม ... เอะไม่ใช่... มีความสุขกับการตามหาครึ่งหนึ่งของชีวิต อิอิ...😆😆😆
#เพราะจามเป็นเหตุ
ครั้งหนึ่งในการเดินทางด้วยรถไฟ จากจาร์กาต้า สู่ ยอกยาการต้า ชายหนุ่มคนหนึ่งจามตอนนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเลยกล่าวตะห์มีด "อัลหัมดุลิ้ลละห์"
จากข้างที่นั่งเขา ได้ยินเสียงต่ำๆ แต่ชัดเจน "ยัรหามุกั้ลลอฮ์"
ดังนั้นเขาเลยกล่าวตอบอีกว่า"ยะฮ์ดีกุมุลลอฮุวะยุสลิฮุบาลากุม" แล้วก็หันไป ที่เขาเห็นคือผ้าคลุมสีขาว ที่ใบหน้าผินไปทางหน้าต่างรถไฟ..
ต้องรู้ก่อนว่า นี่อยู่ในช่วงปีประมาณปี1980 การคลุมฮิญาบถือเป็นอัญมนีฟิรเดาซ์อันขมขื่นของการดะห์วะ และคำว่า "ยัรหามุกั้ลลอฮ" คือความรู้ที่น้อยคนนักที่จะปฎิบัติกัน ทั้งสองนั้นรู้สึกถึงสวรรค์
เหตุนี้เขารีบฉีกกระดาษ จากสมุด แล้วเอาปากกาจากกระเป๋า หลังจากนั้นก็ยื่นให้กับมุสลิมะฮ์คนนั้น
"เดะ" เขากล่าว "กรุณาเขียนชื่อพ่อของเธอ และที่อยู่บ้านให้หน่อยนะ"
มุสลิมะฮ์คนนั้นตกใจ"เอาไปทำไมหรอ" ถามด้วยใบหน้าสงสัย และกังวล
"ฉันต้องการเชื่อมสายเชือกแห่งความเป็นอูคูวะห์ & ตอลาบุล อิลมี ต่อเขา" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว "จะรู้สึกชุโกรเป็นอย่างมากหากได้เรียนจากเขา เขามีวิธีการอย่างไรที่สามารถอบรมลูกๆให้เป็นคนศอลิห์ ศอลิหะฮ์"
ยังคงสงสัย มุสลิมะฮ์คนนั้นเลยเขียนชื่อหนึ่ง พร้อมที่อยู่
"หากมีแผนที่ด้วยก็ดี" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชายหนุ่มคนนั้นได้มาตามที่อยู่ที่ถูกเขียนไว้ในกระดาษ ประตูถูกเคาะ เขาให้สลาม พ่อบ้านเปิดประตูรับด้วยใบหน้าที่เป็นกันเอง
หลังจากที่เชิญให้นั่ง คนเป็นพ่อถามว่า" ลูกเป็นใครกันหรอ และมีธุระอะไร?
เขาแนะนำตัว แล้วกล่าวว่า" จุดประสงค์ที่มาที่นี่ อย่างแรกคือ นาวัยตุซ ซียาเราะ ลีบีนาอิล ฮูคุวะห์ ฉันต้องการ สร้างความเป็นพี่น้องด้วยกับเหล่าคนศอลิห์ จนไปสูสวรรค์
"ประการที่สอง" เนียตฉัน คือ ตอลาบุลอิลมี หวังว่าฉันจะได้รับการเรียนรู้จากท่าน ว่ามีวิธีการเลียงลูกอย่างไรให้เป็นคนศอลิห์ ศอลีอะห์"
"ประการที่สาม" ประโยคนี้ทำให้เขาถึงกับตัวสั่น "หากว่าเป็นไปได้ ฉันจะเรียนกับท่านด้วยการมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ฉันจะชูโกรเป็นอย่างมาก เหตุนี้เองฉันถึงกล้าสู่ขอลูกสาวของท่าน"
"อ้าว" พ่ออุทาน "ลูกสาวคนไหนละที่ต้องการจะนิกะฮด้วย? ฉันมีลูกสาวตั้ง 5 คนแหนะ?
"บิสมิ้ลละห์" แล้วแต่ป๊ะละกัน คนไหนก็ได้ที่ป๊ะพอใจให้แก่ฉัน ฉันขอมอบหมายต่ออัลลอฮ์ และกับป๊ะ เพราะว่าฉันมั่นใจ ฮุสนุซซอนของฉัน ป๊ะเป็นคนซอลิห์ มีลูกสาวทั้งหมดศอลิหะ
"อย่าทำแบบนั้นสิ คนไหนหละที่เธอรู้จัก
"ยังเลยป๊ะ ฉันยังไม่รู้จัก" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว
คนเป็นพ่อส่ายหัว พร้อมยิ้มอย่างสุขุม" แปปหนึ่ง เขาพูด "แล้วเธอมาที่นี่ แล้วมาสู่ขอลูกสาวฉันมีที่ไปที่มาอย่างไร?
ชายหนุ่มคนนั้นเลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นบนรถไฟ อย่างถี่ถ้วย ง่ายดาย คนเป็นพ่อพยักหน้า...
หากเรื่องเป็นแบบนั้น เขากล่าว "เพราะเธอได้นาซอร(เห็น) คือลูกสาวฉันคนนั้น เด่วฉันจะถามลูกสาวคนนั้นก่อนว่ายินยอม ริฎอต่อเธอไหม?
ชายหนุ่มคนนั้นก้มหน้าด้วยความอาย ... เหตุการณ์จบลงไปด้วยดี วันนั้นพวกเขาก็ได้อะกัดนิกะฮ์ ด้วยการเรียกเพื่อนบ้านซ้ายขวามาเป็นพยาน
ค่ามะฮัรล่ะ?
ปากกาที่ชายหนุ่มใช้เขียนขอที่อยู่ของพ่อแก่มุสลิมะฮ์ในรถไฟ ที่ในตอนใต้ได้เป็นภรรยา พร้อมด้วยเงินไม่กี่บาทที่มีอยู่ในกระเป๋าตังค์
ถึงตอนนี้พวกเขามีลูกด้วยกันหกคนชายหญิง ลูกชายคนหนึ่งได้เสียชีวิตเพระป่วยหลังจากที่ได้ท่องจำกุรอ่านทั้งหมด อีกห้าคนที่เหลือ ทั้งหมดก็ศึกษากุรอาน คู่ครองที่ที่สาวอีกนั้น ยังคงหยอกล้อกันและกัน เพราะคนเป็นสามีเป็นคนมีอารมณ์ขัน
"สาลิม" เขากล่าวในวันหนึ่ง "น้าเธอนี่รู้ไหม" แค่ฉันจามก็ได้เป็นภรรยา หากว่าฉันไอล่ะ เขาจะเป็นอะไร!
ฉันหัวเราะ และยิ่งหัวเราะอีกเมื่อน้าฉันหยิกท้องพร้อมกล่าวแก่สามีว่า"ถ้าไอ" เขาอยากล้อแต่กลั้นเสียงหัวเราะตัวเองไม่ได้ "เป็นไปได้ว่าเธอคงเป็นคนขับรถฉัน"
ท่านทั้งหลายไม่ต้องแกล้งจามบนรถประทำทางหรอก หลังจากอ่านเรื่องเล่านี้ แค่ท่านต้องรีบไปหาพ่อของหญิงสาว ตอนที่เครื่องหมายศอลีหะสัมผัสได้ ขอให้มีความสุขกับการจาม ... เอะไม่ใช่... มีความสุขกับการตามหาครึ่งหนึ่งของชีวิต อิอิ...😆😆😆