สวาทเอยสวาทสิ้น
ไม่ทิ้งกลิ่นร่องรอยชื่นนาสา
หนึ่งชีวิตเร่ร้างมินำพา
เปรียบเปรยดังทิวาได้ลาลับ
จะน้ำค้ำน้ำมือฤาน้ำใจ
ก็มิได้สิ่งใดหวนคืนกลับ
ความเจ็บปวดขมขื่นคณานับ
จนเกินรับจะกลับกลายในวันนี้
สวาทเอยสวาทสายตัดให้ขาด
ความพินาศสาปสรรค์ให้บัดสี
ไม่มีแล้วจะหวนกลับคืนดี
สิ้นเสียทีสะบั้นหั่นสายใย
เธอก็น่าจะรู้และน่าจะนึกได้มาตั้งแต่ครั้งก่อนเก่า สัญญาณหลายอย่างทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นนับแต่ปีแรกที่ร่วมเรือน ทุกครั้งที่เขาทำอะไรเพื่อเอาใจเธอมักกลับกลายเป็นการกลบฝังอะไรบางอย่าง และยิ่งไป "ความจริง" ที่ได้ประสบยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นวิตกยิ่งรู้ก็ยิ่งเกรงกลัว เธอผู้ไร้เดียงสา เธอผู้เคยชินกับชีวิตในรั้วในวัง และ ความปราณีตละเอียดอ่อน เธอที่คิดว่าจะฝากฝังชีวิตที่เหลือกับผู้ชายคนหนึ่ง กับคำสัญญาที่ไม่ได้คิดแม้ซักวินาทีว่ามันจะจบ .... ในวิถีทางที่เธอไม่ได้คาดคิด
คมดาบที่ฟาดฟันบนลำคอของบ่าวผู้นั้นทำให้เธอต้องผวา แม้นจะเข้าใจได้ว่ามันผู้นั้นเปิดเผย "ความลับ" อันสำคัญยิ่งยวดแก่ผู้ทรยศบ้านเมือง หากมันก็แสดงอะไรบางอย่างไม่ใช่หรือ แน่ล่ะ .... มันผู้นั้นสมควรต้องอาญา แต่เธอก็สำเหนียกได้ว่าบัดนี้เธอมาร่วมเรือนกับ "ชาย" ที่ด้านหนึ่งมีความเหี้ยมโหดและไร้ความปราณีอย่างไร แต่เขาก็เป็นสามีที่เธอภักดียิ่งใช่หรือไม่ เธอไม่ควรจะคิดสิ่งใด เมื่ออยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียพระราชทานสัจจะวาจาต่อเสด็จในกรม สัจจะวาจาต่อหน้าองค์พระประธาน คุณพระท่านคงไม่ตระบัดสัตย์ และ แม้ไม่มีถ้อยคำหวานหู หากการกระทำของท่านก็บอกไม่ใช่หรือ เยื่อใยเสน่หาก็มีบ้างตามสมควร
แต่แล้วสิ่งที่ตอบแทนความเชื่อนั้นกลับเป็น "ชีวิต"
ที่แท้ทุกสิ่งที่เธอเห็นก็เป็นเพียงการคาดคิดไปเองของเธอทั้งสิ้น อาจเป็นเพราะเธออยู่ในรั้ววังที่มีแต่ผู้หญิง ความรู้สึกจึงได้ฉับไวนัก และ ด้วยวัยที่มากกว่าแม้นมิได้สัมผัสโลกภายนอกลูกล่อลูกชนจึงพอมี ไม่ยากเลยที่จับอารมณ์เด็กสาวที่สามีแนะนำว่าเป็นน้องคนสนิท และ คอยให้มาอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา เมล็ดพันธุ์ความสงสัยแตกรากฝังลึกลงในจิตใจของคุณอุบล และ เจริญงอกงามด้วยเหตุการณ์หลากหลายราวกับปุ๋ยและน้ำที่รินรด เธอพยายามที่จะเก็บอารมณ์หวาดหวั่น พยายามอย่างที่สุดที่จะศรัทธาและไว้เนื้อเชื่อใจ
แม้กระทั่งน้องทิพมาเยือนเรือนในยามวิกาลและจับจูงมือกับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี หรือ กระทั่งมองเมินเลยผ่านเธอไปหาคนที่เขาเรียกว่าน้องสาว มอบของกำนัล และ ขอสนทนาเป็นการส่วนตัว ที่ร้ายที่สุดก็คงจะเป็นลำนำในคืนเพ็ญเดือนสิบสอง ปีแรกที่อยู่ด้วยกัน ลำนำที่ขับอย่างไพเราะนั้นก็ยังมาจากคนที่ชื่อว่าเป็นน้องสาวคนสนิท "ไม่มี" สิ่งใดเลยที่ไม่มีเบื้องหลัง ทุกอย่างที่เขาทำล้วนเกี่ยวข้องกับ "ทิพ" ราวกับ "ความจริง" ตอกใส่หน้าว่า "เขา" ไม่ใช่ของเธอมาตั้งแต่ต้นแล้ว
สุดท้ายน้ำมือน้ำคำน้ำใจ
จึงได้รับการตอบแทนด้วยคมดาบ
คำถามคือ "ทำไม" เขาถึงทำกับเธอได้ลง เธอด่าวดิ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่แจ้งชัดเพิ่มพูนและเข้มข้นมากว่า 200 ปี กระแสใจที่เชี่ยวกรากใต้สายธารแห่งกาลเวลาที่หยุดนิ่ง เธอได้แต่ขบคิดและสงสัย ไม่มีใครที่จะตอบได้ ไม่มีใครคิดจะช่วยค้นหา หรือ บรรเทาความเคียดแค้นขมขื่นนี้ลงได้เลย ยิ่งเทียบกับความทุกข์ทรมานที่ไม่เป็นอย่างใจที่เขาแสดงออก มันไม่ถึงที่เธอรู้สึกและประสบสักกระผีกริ้น ยามที่เขาเขย่าตัวเธอ อุบลก็ได้แต่ยิ้มเยาะ อารมณ์ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงนี้ไม่ผิดกับคุณพระเมื่อกาลก่อนแม้แต่นิด ในวันวารก็เป็นเขาที่แสดงอำนาจและเธอทำได้เพียงตระหนก วันนี้เป็นเธอที่ได้แสดงอำนาจบ้าง ... เขาก็ไม่ผิดอะไรกับเธอเมื่อกาลก่อน ทั้งสมใจ และ สังเวช ความรักอย่างนั้นหรือ ..... ไม่แล้วกระมัง สายตาของอุบลแสดงออก
บัดนี้ ... สวาทสิ้นแล้ว ... เหลือเพียง "พิษ"
พิษสวาท (กึ่งวิพากษ์) : "สวาทสิ้น"
ไม่ทิ้งกลิ่นร่องรอยชื่นนาสา
หนึ่งชีวิตเร่ร้างมินำพา
เปรียบเปรยดังทิวาได้ลาลับ
จะน้ำค้ำน้ำมือฤาน้ำใจ
ก็มิได้สิ่งใดหวนคืนกลับ
ความเจ็บปวดขมขื่นคณานับ
จนเกินรับจะกลับกลายในวันนี้
สวาทเอยสวาทสายตัดให้ขาด
ความพินาศสาปสรรค์ให้บัดสี
ไม่มีแล้วจะหวนกลับคืนดี
สิ้นเสียทีสะบั้นหั่นสายใย
เธอก็น่าจะรู้และน่าจะนึกได้มาตั้งแต่ครั้งก่อนเก่า สัญญาณหลายอย่างทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นนับแต่ปีแรกที่ร่วมเรือน ทุกครั้งที่เขาทำอะไรเพื่อเอาใจเธอมักกลับกลายเป็นการกลบฝังอะไรบางอย่าง และยิ่งไป "ความจริง" ที่ได้ประสบยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นวิตกยิ่งรู้ก็ยิ่งเกรงกลัว เธอผู้ไร้เดียงสา เธอผู้เคยชินกับชีวิตในรั้วในวัง และ ความปราณีตละเอียดอ่อน เธอที่คิดว่าจะฝากฝังชีวิตที่เหลือกับผู้ชายคนหนึ่ง กับคำสัญญาที่ไม่ได้คิดแม้ซักวินาทีว่ามันจะจบ .... ในวิถีทางที่เธอไม่ได้คาดคิด
คมดาบที่ฟาดฟันบนลำคอของบ่าวผู้นั้นทำให้เธอต้องผวา แม้นจะเข้าใจได้ว่ามันผู้นั้นเปิดเผย "ความลับ" อันสำคัญยิ่งยวดแก่ผู้ทรยศบ้านเมือง หากมันก็แสดงอะไรบางอย่างไม่ใช่หรือ แน่ล่ะ .... มันผู้นั้นสมควรต้องอาญา แต่เธอก็สำเหนียกได้ว่าบัดนี้เธอมาร่วมเรือนกับ "ชาย" ที่ด้านหนึ่งมีความเหี้ยมโหดและไร้ความปราณีอย่างไร แต่เขาก็เป็นสามีที่เธอภักดียิ่งใช่หรือไม่ เธอไม่ควรจะคิดสิ่งใด เมื่ออยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียพระราชทานสัจจะวาจาต่อเสด็จในกรม สัจจะวาจาต่อหน้าองค์พระประธาน คุณพระท่านคงไม่ตระบัดสัตย์ และ แม้ไม่มีถ้อยคำหวานหู หากการกระทำของท่านก็บอกไม่ใช่หรือ เยื่อใยเสน่หาก็มีบ้างตามสมควร
ที่แท้ทุกสิ่งที่เธอเห็นก็เป็นเพียงการคาดคิดไปเองของเธอทั้งสิ้น อาจเป็นเพราะเธออยู่ในรั้ววังที่มีแต่ผู้หญิง ความรู้สึกจึงได้ฉับไวนัก และ ด้วยวัยที่มากกว่าแม้นมิได้สัมผัสโลกภายนอกลูกล่อลูกชนจึงพอมี ไม่ยากเลยที่จับอารมณ์เด็กสาวที่สามีแนะนำว่าเป็นน้องคนสนิท และ คอยให้มาอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา เมล็ดพันธุ์ความสงสัยแตกรากฝังลึกลงในจิตใจของคุณอุบล และ เจริญงอกงามด้วยเหตุการณ์หลากหลายราวกับปุ๋ยและน้ำที่รินรด เธอพยายามที่จะเก็บอารมณ์หวาดหวั่น พยายามอย่างที่สุดที่จะศรัทธาและไว้เนื้อเชื่อใจ
แม้กระทั่งน้องทิพมาเยือนเรือนในยามวิกาลและจับจูงมือกับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี หรือ กระทั่งมองเมินเลยผ่านเธอไปหาคนที่เขาเรียกว่าน้องสาว มอบของกำนัล และ ขอสนทนาเป็นการส่วนตัว ที่ร้ายที่สุดก็คงจะเป็นลำนำในคืนเพ็ญเดือนสิบสอง ปีแรกที่อยู่ด้วยกัน ลำนำที่ขับอย่างไพเราะนั้นก็ยังมาจากคนที่ชื่อว่าเป็นน้องสาวคนสนิท "ไม่มี" สิ่งใดเลยที่ไม่มีเบื้องหลัง ทุกอย่างที่เขาทำล้วนเกี่ยวข้องกับ "ทิพ" ราวกับ "ความจริง" ตอกใส่หน้าว่า "เขา" ไม่ใช่ของเธอมาตั้งแต่ต้นแล้ว
จึงได้รับการตอบแทนด้วยคมดาบ
คำถามคือ "ทำไม" เขาถึงทำกับเธอได้ลง เธอด่าวดิ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่แจ้งชัดเพิ่มพูนและเข้มข้นมากว่า 200 ปี กระแสใจที่เชี่ยวกรากใต้สายธารแห่งกาลเวลาที่หยุดนิ่ง เธอได้แต่ขบคิดและสงสัย ไม่มีใครที่จะตอบได้ ไม่มีใครคิดจะช่วยค้นหา หรือ บรรเทาความเคียดแค้นขมขื่นนี้ลงได้เลย ยิ่งเทียบกับความทุกข์ทรมานที่ไม่เป็นอย่างใจที่เขาแสดงออก มันไม่ถึงที่เธอรู้สึกและประสบสักกระผีกริ้น ยามที่เขาเขย่าตัวเธอ อุบลก็ได้แต่ยิ้มเยาะ อารมณ์ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงนี้ไม่ผิดกับคุณพระเมื่อกาลก่อนแม้แต่นิด ในวันวารก็เป็นเขาที่แสดงอำนาจและเธอทำได้เพียงตระหนก วันนี้เป็นเธอที่ได้แสดงอำนาจบ้าง ... เขาก็ไม่ผิดอะไรกับเธอเมื่อกาลก่อน ทั้งสมใจ และ สังเวช ความรักอย่างนั้นหรือ ..... ไม่แล้วกระมัง สายตาของอุบลแสดงออก