สวัสดีครับ
ย้อนเวลาไป ตอนที่ผมบวชเป็นสามเณร
ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แถวฝั่งธน
พักอยู่กุฏิหลวงตาเจ้าอาวาส ปกติจะตื่นตีห้า
เพื่อมาทำความสะอาดกุฏิ แล้วค่อยไปบิณฑบาต
เช้าตรู่วันหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินลงบันไดด้านข้าง
คือบันไดจะมีสองด้าน ด้านหน้า กับด้านข้างกุฏิ
สายตาเหลือบไปเห็นหมาตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้กุฏิ
ตาสบตา เป็นครั้งแรกที่เห็นกัน ต่างไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
มันเป็นหมาที่ถูกเจ้าของที่มันรัก และเคยรักมัน เอามาทิ้งวัด
มันคงถูกทิ้งก่อนหน้านั้นไม่นาน เนื่องจากวัดมีถนนที่ผู้คนสัญจร
ไปมาอยู่กลาง เป็นเรื่องปกติที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นหมา หรือแมว
หรือแม้แต่คนแก่ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็มีคนนำมาทิ้งที่วัด
ได้เอาข้าวให้มันกิน หลังจากไปบิณฑบาตกลับมา ฉันข้าวเสร็จ
เริ่มทำความรู้จักกัน มันเป็นหมาหนุ่มตัวใหญ่ เจ้าเนื้อ และเชื่อง
ไม่ดุเลย มันกินข้าว และนอนใต้กุฏิ โดยไม่รวมกับตัวอื่น นับแต่นั้น
ชื่อจริงๆของมัน คงมีแต่ตัวมันเอง และเจ้าของที่เคยรักมันที่รู้
ถ้าผ่านมาอ่านเรื่องนี้ ช่วยบอกให้รู้ จะขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ
"ไอ้หน้าใหญ่"
ชื่อนี้ ได้มาแต่เพื่อนที่เป็นเด็กวัดตั้งให้ ด้วยตัวมันใหญ่ เจ้าเนื้อ
มันเองก็คงชอบ เวลาเรียกชื่อนี้ จะหันมามอง และก็วิ่งมาหา
เป็นหมาที่ขี้เล่น เล่นได้กับทุกคน พระ เณร เด็กวัดที่เล่นกับมัน
ต่างจากหมาตัวอื่นๆที่อยู่แถวนั้น เข้าใกล้เป็นต้องแยกเขี้ยวใส่
บางตัวก็มักจะกัดญาติโยม ที่มาทำบุญ ให้ได้อับอายขายขี้หน้า
เป็นหมาที่กินง่าย มื้อเย็นบางวัน เหลือแต่ข้าวเปล่า ไม่มีกับ
เอามาให้กิน มันก็กินข้าวเปล่าๆ จนหมด หรือมันหิวมากก็ไม่รู้
มีผม พี่ๆ และเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กวัด ช่วยกันหาข้าวให้มันกิน
เวลาเจอหน้ากัน จะวิ่งมาหา พร้อมกับหู และหางที่กระดิก
เป็นมิตรภาพ ที่เกิดขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้เลี้ยงมันมาแต่เล็กๆ
มันคงเป็นธรรมเนียมของหมาวัด ที่อยู่นานเข้าจะเป็นขี้เรื้อน
ไอ้หน้าใหญ่ ก็ไม่รอดเช่นกัน เมื่อเวลาที่มันอยู่นานขึ้น
ผมต้องย้ายกุฏิ เมื่อกุฏิที่อยู่ถูกรื้อ เพื่อจะสร้างกุฏิใหม่
ย้ายไปอยู่กุฏิไม้เล็กๆด้านหลัง อยู่ร่วมกับเพื่อนเด็กวัด
ไอ้หน้าใหญ่ ก็ย้ายไปอยู่ด้วยกัน มันจะนอนตรงหน้ากุฏิบ้าง
นอนตรงบันไดบ้าง นอนตรงระเบียงบ้าง กินข้าวก็หน้ากุฏิ
ตื่นเช้ามาก็จะเจอมันอยู่แถวๆนี้ เป็นปกติของทุกวันครับ
ในเช้าตรูของวันนั้น ผมออกจากห้อง เพื่อจะไปบิณฑบาต
ไอ้หน้าใหญ่ นอนขวางอยู่ตรงบันได ก็เลยเรียกบอกให้หลบ
มันหลบด้วยการ ม้วนตัวกลิ้งให้ตกไปตามขั้นบันได ที่ละขั้น
โดยมีผมเดินตามไปติดๆ จากขั้นแรก ขั้นที่สอง และสาม
ถึงพื้นดินพอดี มันก็นอนอยู่ตรงนั้น ส่วนผมก็ไปบิณฑบาต
กลับมา มันยังนอนอยู่ที่เดิม ฉันข้าวเสร็จ เอาข้าวมาให้กิน
เรียกมากินข้าว ก็คงยังนอนอยู่ตรงนั้น
เลยยื่นมือไปจับ และเขย่าตัวเรียก "ไอ้หน้าใหญ่กินข้าว"
มันตายแล้วครับ ตายตั้งแต่ตอนไหน ไม่รู้เหมือนกัน
น้ำใสๆ เริ่มมาจากสองตา พยายามกระพิบถี่ๆ เพื่อควบคุมมัน
ย้อนนึกถึง ที่มันม้วนตัวกลิ้งให้ตกบันไดสามรอบ ไม่แน่ใจว่า
นั้นคือการบอกลาหรือเปล่า เป็นการเห็นครั้งแรก ครั้งเดียว
และครั้งสุดท้าย คงมีแต่ตัวมันเอง ที่รู้ถึงการกระทำนั้น
ด้วยอานิสงส์ผลบุญหนุนนำ ขอให้ไปเกิดในสัมปรายภพที่ดี
เกิดชาติหน้าฉันใด อย่าได้ถูกใครทิ้ง เหมือนในชาตินี้
มิตรภาพ และเรื่องราว ยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ
จากวันนั้นจนวันนี้ แม้เวลาจะผ่านมา20กว่าปีแล้วก็ตาม
ขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามอ่าน
ขอบคุณครับ
"ไอ้หน้าใหญ่" มิตรภาพ ที่เหลือไว้เพียงความทรงจำ
"ไอ้หน้าใหญ่" มิตรภาพ ที่เหลือไว้เพียงความทรงจำ
ย้อนเวลาไป ตอนที่ผมบวชเป็นสามเณร
ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แถวฝั่งธน
พักอยู่กุฏิหลวงตาเจ้าอาวาส ปกติจะตื่นตีห้า
เพื่อมาทำความสะอาดกุฏิ แล้วค่อยไปบิณฑบาต
เช้าตรู่วันหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินลงบันไดด้านข้าง
คือบันไดจะมีสองด้าน ด้านหน้า กับด้านข้างกุฏิ
สายตาเหลือบไปเห็นหมาตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้กุฏิ
ตาสบตา เป็นครั้งแรกที่เห็นกัน ต่างไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
มันเป็นหมาที่ถูกเจ้าของที่มันรัก และเคยรักมัน เอามาทิ้งวัด
มันคงถูกทิ้งก่อนหน้านั้นไม่นาน เนื่องจากวัดมีถนนที่ผู้คนสัญจร
ไปมาอยู่กลาง เป็นเรื่องปกติที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นหมา หรือแมว
หรือแม้แต่คนแก่ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็มีคนนำมาทิ้งที่วัด
ได้เอาข้าวให้มันกิน หลังจากไปบิณฑบาตกลับมา ฉันข้าวเสร็จ
เริ่มทำความรู้จักกัน มันเป็นหมาหนุ่มตัวใหญ่ เจ้าเนื้อ และเชื่อง
ไม่ดุเลย มันกินข้าว และนอนใต้กุฏิ โดยไม่รวมกับตัวอื่น นับแต่นั้น
ชื่อจริงๆของมัน คงมีแต่ตัวมันเอง และเจ้าของที่เคยรักมันที่รู้
ถ้าผ่านมาอ่านเรื่องนี้ ช่วยบอกให้รู้ จะขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ
"ไอ้หน้าใหญ่"
ชื่อนี้ ได้มาแต่เพื่อนที่เป็นเด็กวัดตั้งให้ ด้วยตัวมันใหญ่ เจ้าเนื้อ
มันเองก็คงชอบ เวลาเรียกชื่อนี้ จะหันมามอง และก็วิ่งมาหา
เป็นหมาที่ขี้เล่น เล่นได้กับทุกคน พระ เณร เด็กวัดที่เล่นกับมัน
ต่างจากหมาตัวอื่นๆที่อยู่แถวนั้น เข้าใกล้เป็นต้องแยกเขี้ยวใส่
บางตัวก็มักจะกัดญาติโยม ที่มาทำบุญ ให้ได้อับอายขายขี้หน้า
เป็นหมาที่กินง่าย มื้อเย็นบางวัน เหลือแต่ข้าวเปล่า ไม่มีกับ
เอามาให้กิน มันก็กินข้าวเปล่าๆ จนหมด หรือมันหิวมากก็ไม่รู้
มีผม พี่ๆ และเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กวัด ช่วยกันหาข้าวให้มันกิน
เวลาเจอหน้ากัน จะวิ่งมาหา พร้อมกับหู และหางที่กระดิก
เป็นมิตรภาพ ที่เกิดขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้เลี้ยงมันมาแต่เล็กๆ
มันคงเป็นธรรมเนียมของหมาวัด ที่อยู่นานเข้าจะเป็นขี้เรื้อน
ไอ้หน้าใหญ่ ก็ไม่รอดเช่นกัน เมื่อเวลาที่มันอยู่นานขึ้น
ผมต้องย้ายกุฏิ เมื่อกุฏิที่อยู่ถูกรื้อ เพื่อจะสร้างกุฏิใหม่
ย้ายไปอยู่กุฏิไม้เล็กๆด้านหลัง อยู่ร่วมกับเพื่อนเด็กวัด
ไอ้หน้าใหญ่ ก็ย้ายไปอยู่ด้วยกัน มันจะนอนตรงหน้ากุฏิบ้าง
นอนตรงบันไดบ้าง นอนตรงระเบียงบ้าง กินข้าวก็หน้ากุฏิ
ตื่นเช้ามาก็จะเจอมันอยู่แถวๆนี้ เป็นปกติของทุกวันครับ
ในเช้าตรูของวันนั้น ผมออกจากห้อง เพื่อจะไปบิณฑบาต
ไอ้หน้าใหญ่ นอนขวางอยู่ตรงบันได ก็เลยเรียกบอกให้หลบ
มันหลบด้วยการ ม้วนตัวกลิ้งให้ตกไปตามขั้นบันได ที่ละขั้น
โดยมีผมเดินตามไปติดๆ จากขั้นแรก ขั้นที่สอง และสาม
ถึงพื้นดินพอดี มันก็นอนอยู่ตรงนั้น ส่วนผมก็ไปบิณฑบาต
กลับมา มันยังนอนอยู่ที่เดิม ฉันข้าวเสร็จ เอาข้าวมาให้กิน
เรียกมากินข้าว ก็คงยังนอนอยู่ตรงนั้น
เลยยื่นมือไปจับ และเขย่าตัวเรียก "ไอ้หน้าใหญ่กินข้าว"
มันตายแล้วครับ ตายตั้งแต่ตอนไหน ไม่รู้เหมือนกัน
น้ำใสๆ เริ่มมาจากสองตา พยายามกระพิบถี่ๆ เพื่อควบคุมมัน
ย้อนนึกถึง ที่มันม้วนตัวกลิ้งให้ตกบันไดสามรอบ ไม่แน่ใจว่า
นั้นคือการบอกลาหรือเปล่า เป็นการเห็นครั้งแรก ครั้งเดียว
และครั้งสุดท้าย คงมีแต่ตัวมันเอง ที่รู้ถึงการกระทำนั้น
ด้วยอานิสงส์ผลบุญหนุนนำ ขอให้ไปเกิดในสัมปรายภพที่ดี
เกิดชาติหน้าฉันใด อย่าได้ถูกใครทิ้ง เหมือนในชาตินี้
มิตรภาพ และเรื่องราว ยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ
จากวันนั้นจนวันนี้ แม้เวลาจะผ่านมา20กว่าปีแล้วก็ตาม
ขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามอ่าน
ขอบคุณครับ
"ไอ้หน้าใหญ่" มิตรภาพ ที่เหลือไว้เพียงความทรงจำ