บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๒๐)

ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ ริมแม่โขง, คุณดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, จารย์จี GTW, คุณโอ เขมปัณณ์
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ


บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ - บทที่ ๑  http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓  http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔  http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕  http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖  http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗  http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘  http://ppantip.com/topic/35400069
บทที่ ๙  http://ppantip.com/topic/35407698
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/35411784
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/35422278
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/35430211
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/35437896
บทที่ ๑๔ http://ppantip.com/topic/35447627
บทที่ ๑๕ http://ppantip.com/topic/35454229
บทที่ ๑๖ http://ppantip.com/topic/35460996
บทที่ ๑๗ http://ppantip.com/topic/35467701
บทที่ ๑๘ http://ppantip.com/topic/35478177
บทที่ ๑๙ http://ppantip.com/topic/35484261


บทที่ ๒๐



    แดดในสวนร้อนจัด อากาศอบอ้าว ใบไม้นิ่งไม่ไหวติง ไม่ระบัดพลิ้วไหวในเมื่อไม่มีลมพัดผ่านแม้เพียงน้อยนิด ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องจากที่ไหนให้ได้ยิน

    รามก้มลงมองภรรยาซึ่งเดินเคียงมาข้างๆ เมื่อเห็นใช้สันมือปาดเหงื่อบริเวณแก้ม

    "ร้อนมากใช่ไหม" ออกจะไม่สบายใจที่ดึงตัวมาด้วย

    "ไม่เป็นไรค่ะ"

    สาวน้อยไม่ยอมสบตา เอาแต่มองตรงไปข้างหน้า...ที่ชายสองวัยกำลังเดินคุยกัน คนอ่อนเยาว์กว่านั้นสูงเกือบจะเท่าอีกคนอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่อายุก็คงห่างกันกว่าสิบปี ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเปลวแดดหรืออาการปวดศีรษะและวิงเวียนซึ่งแล่นขึ้นมาพร้อมกันเป็นริ้วๆ กันแน่ที่ทำให้เห็นภาพนั้นซ้อนกันวูบไปวาบมา

    คนถามระบายลมหายใจยาวอย่างหนักอก ตั้งแต่เดินมาด้วยกันจากบ้านแล้ว ภรรยาสาวน้อยแสดงท่าทีให้เห็นชัดว่าไม่เต็มใจจะพูดด้วยสักเท่าไรนัก ถามอะไรก็ตอบอย่างเสียมิได้ แม้พยายามมองอากัปกิริยาเหล่านั้นให้เห็นเป็นว่าเหมือนเด็กเอาแต่ใจตัวเองก็ตาม หากทว่าจริงๆ แล้วก็พอจะเข้าใจความรู้สึกอยู่บ้างหรอก คงหวาดผวาไม่น้อยที่ต้องมารับรู้เรื่องซึ่งกัดกร่อนความรู้สึกของคนเป็นเมียเช่นนี้อีก คราวนี้อย่างละเอียดลออกว่าที่เคยบอกคืนก่อนวันแต่งเสียด้วยซ้ำ ไม่เพียงเท่านั้น คู่กรณีทั้งสองคนยังมานั่งให้เห็นพร้อมหน้ากันอีกด้วย คิดอยู่ในใจว่าคืนนี้หลังจากที่นพพรและสุดจิตกลับไปแล้ว คงต้องพูดคุยกันยาวเหยียดแน่นอน

    พินิจใบหน้าบอบบางนวลละมุนให้ใกล้ขึ้นอีกนิด คราวนี้เห็นว่าซีดจนผิดปกติ เหงื่อเม็ดเล็กๆพร่างพราวบริเวณไรผม เริ่มแน่ใจว่าคงไม่ใช่ความร้อนเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว

    "เป็นอะไรหรือ ไม่สบายหรือเปล่า" จึงได้ถามด้วยความห่วงใย

    ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเร็วๆ อย่างดื้อรั้น

    "ไม่ค่ะ ดิฉันไม่เป็นอะไร" พึมพำคำตอบอยู่เพียงลำคอ ลึกๆ ออกจะเกรงใจเขาอยู่ไม่น้อยที่ทำให้ต้องพลอยรั้งท้ายตามหลังอยู่แบบนี้ ในเมื่อตัวนุ่งผ้าซิ่น จึงเดินได้ช้ากว่าผู้ชายอีกสองคนซึ่งตอนนี้นำอยู่ข้างหน้าไปจนไกลแล้ว เขาจึงต้องชะลอฝีเท้าลงมาเดินเป็นเพื่อน

    "กลับบ้านก่อนดีไหม ให้นพพรกับกริชล่วงหน้าไปก่อน"

    ไอรีนเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเป็นครั้งแรกนับแต่เดินออกจากบ้านมาด้วยกัน

    "ดิฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ คุณราม มาถึงนี่แล้ว ถ้ากลับไปส่งดิฉัน ประเดี๋ยวคุณรามก็ต้องเสียเวลาย้อนมาอีก"

    อันที่จริงบริเวณบ้านก็อยู่ติดกับสวนนี่เอง แต่จากบ้านจะไปให้ถึงบ้านนายคำนางแสงนั้นต้องใช้เวลาเดินนานพอดูทีเดียว เพราะบริเวณนี้ของสวนกว้างขวางเอามากๆ ยิ่งเมื่อครู่คุณรามและพี่นพพรต้องการตรวจดูบริเวณรอบนอกซึ่งคนร้ายใช้เป็นทางผ่านด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องอ้อมไกลขึ้นไปอีก

    รามคว้ามือเล็กๆ มากุมไว้ ไม่สบายใจเมื่อรู้สึกว่าเย็นเฉียบ ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงอีก พอร่างเล็กๆ เซมาปะทะข้างตัว จึงได้รวบเอาไว้

    "ไอรีน เธอไม่สบาย กลับบ้านเถอะ มา...ฉันจะพาไป"

    คราวนี้เสียงห้าวเครียดขึ้นจนเกือบเป็นคำสั่ง กังวลเมื่อเห็นใบหน้านวลละมุนเผือดสีลงทุกที ร่างน้อยๆ ในอ้อมแขนกำลังแข็งขืน พยายามดันตัวออกจากการประคับประคอง หากเขาก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

    "ดิฉันเดินกลับเองได้ค่ะ" เสียงใสๆ ฟังดูห่างเหิน เขาเองก็รู้ ละล้าละลัง อยากพากลับบ้านด้วยตัวเอง แต่เมื่ออีกฝ่ายแสดงอากัปกิริยาราวรังเกียจเสียนักหนา จึงตัดสินใจเลือกวิธีซึ่งคิดว่าเป็นกลางที่สุด

    "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้กริชไปเป็นเพื่อน ฉันเป็นห่วงถ้าเธอต้องเดินกลับคนเดียว ถึงบ้านจะอยู่แค่นี้ก็เถอะ"

    แม้สวนจะอยู่ข้างบ้าน แต่ก็รกทึบด้วยไม้ต้นใหญ่ ตลอดไปจนถึงไม้ผลไม้ หมาก และพลู ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องเดินข้ามร่องน้ำไปเป็นระยะ รามจึงตะโกนเรียกเด็กชายซึ่งเดินนำหน้าไปกับญาติผู้พี่

    "กริช"

    คนถูกเรียกเหลียวหลังมามอง ตกใจเมื่อเห็นร่างบอบบางของ 'คุณนาย' อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นสามี จึงวิ่งกลับมาหา

    "พาคุณกลับบ้านทีนะ กริช คอยดูอย่าให้คุณล้ม" เขาออกคำสั่ง แล้วก้มลงสั่งภรรยา คราวนี้ราวผู้ใหญ่สั่งเด็ก

    "กลับไปนอนพักเสีย ไม่ต้องไปทำอะไรในครัวหรือที่ไหนทั้งนั้น"

    พอเขาใช้น้ำเสียงเข้มงวด คนถูกสั่งก็ลดความดื้อรั้นลงได้ทันทีเหมือนกัน

    "ค่ะ คุณราม"  

แม้จะวิงเวียนจนแทบยืนไม่ติด แต่ก็ขืนดันตัวออกมาเสียจากอ้อมแขนของเขาจนได้ เหตุหนึ่งก็เพราะอับอายเด็กชายซึ่งมาหยุดยืนคอยรับคำสั่งอยู่ตรงหน้า
กริชเดินประกบหลังร่างแน่งน้อยไปตลอดทาง แน่ใจว่าอยู่ในระยะห่างเพียงพอที่ถ้าร่างนี้ล้มก็จะรับเอาไว้ได้ทัน

อาณาเขตระหว่างสวนและด้านข้างของบ้านมีรั้วกั้นแบ่งช่วงสั้นๆ พอเป็นพิธี รั้วนั้นปลูกพู่ระหงไว้ตลอดแนว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสนต้นสูงๆ ปลูกไว้เรียงรายอีกชั้นหนึ่ง  ความกว้างขวางของสวนโอบล้อมกว่าครึ่งของตัวบ้านด้านหน้าด้วยเช่นกัน ถนนซึ่งตัดเลียบคลองสาทรมาสิ้นสุดอย่างไม่เป็นทางการอยู่หน้าสวนแห่งนี้เอง เหตุก็เพราะถ้าตัดต่อไปก็จะต้องผ่านเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีก สวนของคุณหญิงละออจึงเป็นเสมือนปราการปิดกั้นการรุกไล่ที่ทำกินของผู้อยู่อาศัยไว้เพียงเท่านี้ หากถึงกระนั้นก็มีการเจรจากันอยู่เนืองๆ ถึงเรื่องซึ่งทางการต้องการตัดถนนต่อไปจนสุดสายที่แม่น้ำเจ้าพระยา
ไอรีนเหลียวมองเมื่อร่างผอมๆ ซึ่งเดินตามมาข้างหลังตลอดทางวิ่งเหยาะๆ ตัดหน้าขึ้นมาเปิดประตูรั้วให้ พิจารณากางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน เก่าซีดจนแทบจำสีเดิมไม่ได้ ชายรุ่งริ่งเหมือนเช่นอีกตัวซึ่งเก่าคร่ำพอกัน เธอเพิ่งปะชุนชายกางเกงตัวนั้นให้เมื่อไม่กี่วันก่อน เสื้อผ้าป่านที่สวมใส่เก่าจนออกสีนวลแทนที่จะเป็นสีขาว ตัวเสื้อสั้นกว่าที่ควรเป็น แสดงให้เห็นชัดว่าตัวคนใส่ยาวกว่าตัวเสื้อ สองเท้าเปลือยเปล่า

"ซื้อกางเกงนักเรียนใหม่หรือยังกริช"

แม้จะวิงเวียนและปวดลึกเข้าไปในศีรษะ แต่เห็นการแต่งตัวของเด็กชายแล้วก็อดสงสารเสียมิได้

วันแรกๆ ที่เห็น กริชมีชุดนักเรียนเก่าๆ อยู่สองชุด ผ้าที่ใช้ตัดเปื่อยจนแทบฉีกขาดหากเพียงออกแรงดึงเบาๆ ไอรีนจึงให้เงินไปซื้อเสื้อกางเกงชุดนักเรียนเสียใหม่อีกชุด รองเท้าผ้าใบใส่ไปโรงเรียนใหม่อีกคู่

ในบรรดาเด็กชายสามคนซึ่งรามส่งเสียให้เรียน คนนี้เพียงคนเดียวที่ดูจะเอาจริงเอาจังมากที่สุด เธอเฝ้าดูมาหลายวันแล้ว กริชเงียบขรึม เอางานเอาการ วันๆ ถ้าไม่ไปโรงเรียนหรือดูแลไม้ดอกไม้ผลรอบบริเวณบ้าน ก็จะมานั่งซุกอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่คนเดียวใต้ต้นสนต้นใดต้นหนึ่ง เหตุก็คงเพราะที่นี่ลับหูลับตาผู้คนมากที่สุดนั่นเอง และทุกวันที่ต้องไปโรงเรียน บ่ายกลับถึงบ้านก็จะทำงานตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายโดยไม่คอยให้ใครต้องออกคำสั่ง
เด็กคนนี้มีอายุครบสิบสองขวบเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง ที่ได้รู้เพระคุณหญิงละออเป็นคนบอก

'พรุ่งนี้ให้เจ้ากริชใส่บาตรเสียก็แล้วกันนะ ไอรีน' เย็นวันก่อนหน้าท่านสั่งไว้ว่าอย่างนั้น 'ปีที่แล้วไม่มีใครคิดจะให้มันได้ทำบุญวันเกิด ให้มันทำบุญมากๆ ชาติหน้าจะได้เกิดมามีพ่อมีแม่พร้อมเพรียงเหมือนคนอื่นเขา' คำพูดเหล่านั้นบ่งบอกความเมตตาปรานีที่คุณหญิงสูงวัยมีให้

ปกติวันที่ต้องไปโรงเรียน กริชจะตื่นเช้าก่อนใครๆ แต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จก็มาช่วยงานง่วนอยู่ในครัว เพื่อหาอาหารเช้ารับประทานก่อนไปโรงเรียนด้วย เช้าวันหนึ่งพอเห็นนางไวและ 'คุณนาย' หอบหิ้วโถใส่อาหารและขันใส่ข้าวพะรุงพะรังไปที่ศาลาท่าน้ำเพื่อใส่บาตร ก็เข้าช่วยโดยไม่มีใครเอ่ยปากขอ และนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เด็กชายก็รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยนางไวขนของใส่บาตรไปที่ศาลาท่าน้ำทุกวันโดยปริยาย

"ซื้อแล้วขอรับ กระผมเก็บไว้ใส่ปีหน้าขอรับ"

ไอรีนแทบลืมความเจ็บไข้ของตัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น

"อ้าว! ทำไมล่ะ ที่ให้ซื้อน่ะ ให้ซื้อเพื่อใส่ปีนี้นะ ไม่ใช่ปีหน้า"

เด็กชายและผู้หญิงเพิ่งเข้าวัยเต็มสาวเดินเรื่อยๆ มาด้วยกัน ลัดเลาะผ่านไม้ดอกต้นใหญ่ๆอย่างสารภี จำปี จำปา และไม้พุ่มซึ่งปลูกไว้เรียงรายมายังเรือนบ่าวซึ่งปลูกไว้เป็นแถวยาว ด้านหลังของเรือนมีรั้วไม้ตีเป็นตาราง มีพวงชมพูขึ้นพาดพันหนาแน่น จนใช้เป็นเครื่องบังตาด้านหลังของเรือนบ่าวซึ่งมีเรือนอาบน้ำและคูน้ำขุดผ่านเป็นแนวได้เป็นอย่างดี

"ไม่เป็นกระไรขอรับคุณ ที่มีอยู่ก็ยังใส่ไปได้ กางเกงตัวที่คุณปะชายให้ก็ยังใส่ได้ดีขอรับ"

กริชซาบซึ้งใจในความเมตตาปรานีของ 'คุณนาย' เสมอมา คุณนายปะชุนกางเกงนักเรียนให้เขาด้วยตัวเองเมื่อเห็นว่าหลุดลุ่ย คุณนายให้เงินไปซื้อเสื้อกางเกงตัวใหม่ รวมทั้งรองเท้าใส่ไปโรงเรียนใหม่อีกคู่ นับแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ยังไม่เคยมีใครเอาใจใส่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเขาในลักษณะนี้มาก่อนเลย
ในชีวิตนี้กริชตระหนักเสมอว่ามีคนเพียงสองคนซึ่งมีพระคุณล้นหัว คนหนึ่งคือคุณหญิงละออ อีกคนคือคุณพระ...ผู้ซึ่งจะว่ากันตามศักดิ์แล้วก็เป็นลูกผู้พี่ แต่เขาไม่เคยตีตัวเสมอ ในเวลานี้มีคุณนายเพิ่มมาอีกคน ชั่วชีวิตนี้กริชตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้กับตัวเองว่าจะไม่มีวันลืมบุญคุณของผู้ให้ความเมตตาปรานีเด็กกำพร้าเช่นเขาเลย

เรือนพักของบ่าวและของเด็กๆ ปลูกอยู่ติดกัน กริชคิดว่าคุณนายจะเดินเลยไปทางเรือนไม้ริมคลองของคุณหญิง แต่ผิดคาด ร่างบอบบางซึ่งเมื่อครู่เดินมาเรื่อยเฉื่อย อยู่ดีๆ วิ่งถลาไปทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างร่องระบายน้ำเสีย แล้วก้มลงอาเจียนจนตัวโก่ง

เด็กชายตื่นตะลึง ลงนั่งคุกเข่าข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ยื่นมือจะแตะหลังบอบบางนั้น แต่คิดได้ จึงชะงักเสีย แล้วรีบชักมันกลับ  เด็กเล็กๆสามคนซึ่งกำลังร่อนรูปยากาแร็ตกันอยู่ข้างตัวเรือนได้ยินเสียงอาเจียน จึงกรูกันมายืนดู กริชวาดมือไล่ให้ออกไปจากบริเวณนั้นเสีย แรกๆ ทั้งสามคนไม่สนใจ ต่างคนต่างตื่นตาที่เห็น 'คุณนาย' มานั่งยองๆ อาเจียนอยู่เช่นนี้ จนเด็กชายซึ่งสูงวัยกว่าลุกยืนด้วยท่าทีข่มขู่คุกคาม จึงพากันวิ่งกระเจิดกระเจิงกลับไปด้านหน้าของตัวเรือน

กริชตักน้ำฝนจากตุ่มหลังเรือนอาบน้ำมาเกือบเต็มขัน กลับมาทรุดนั่งคุกเข่าข้างๆ ร่างเล็กๆ ของคุณนาย ห่วงอย่างไม่เคยห่วงใครขนาดนี้มาก่อน ก็คุณนายดีออกอย่างนี้ จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร

"คุณเป็นอะไรขอรับ" ตัดสินใจถามเสียงแผ่วหวิว

ไอรีนอาเจียนเสียจนเหนื่อย จนแทบไม่มีอะไรเหลือในท้องอีกแล้ว พอเหลียวมามองข้างตัว เห็นขันน้ำซึ่งถูกยื่นมาให้ ก็รับมาบ้วนปาก

"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ กริช ดีขึ้นแล้ว"

แต่หาจริงเช่นนั้นไม่ อาการวิงเวียนยังคงอยู่ น้ำลายขมแหลมในปากยังคงขย้อนขึ้นมาจากลำคอไม่ขาดสาย แม้พยายามกลืนกลับลงไปครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็ตาม ปวดมวนภายในช่องท้องจนต้องก้มลงเหนือร่องน้ำอีก แต่คราวนี้ไม่มีอะไรเหลือให้อาเจียนออกมาอีกแล้วนอกจากน้ำลายเหนียวๆ จึงบ้วนปากอีกครั้ง แล้วสาดน้ำที่เหลือในขันลงในร่องน้ำเพื่อไล่เศษอาหารที่ตัวอาเจียนออกมาไปเสียให้หมดสิ้น

เธอพยุงตัวขึ้นยืน เด็กชายขยับจะเข้าประคอง หากก็ไม่กล้า ไม่วายถามอีกอย่างเป็นห่วงเป็นใย

"คุณเป็นอย่างไรบ้างขอรับ"

ไอรีนยิ้มแห้งแล้ง

"ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจนะ อย่าบอกคุณรามนะกริช ว่าฉันเป็นอะไร" รู้อยู่เต็มอกว่าพอสามีกลับถึงบ้าน เขาจะต้องถาม

"ขอรับ" กริชรับขันน้ำกลับมาเสีย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่