รีวิว ไม่สปอยล์ครับ
อย่างแรกที่อยากบอกคือ จริงๆ แล้ว Train to Busan (ผมว่านี่เป็นหนังเกาหลีไม่กี่เรื่องที่ไม่มีใครสนใจจำชื่อหนังภาษาไทยกัน) ไม่ใช่หนังซอมบี้
แต่เป็นหนังดราม่าที่มีแบ็คกราวนด์เป็นหายนะของเมืองใหญ่ โดยใช้ซอมบี้เป็นตัวสร้างสถานการณ์
เป็นดราม่าที่พูดถึง Dark side และ Bright side ของคน
หนังเล่าเรื่องของชายนักธุรกิจพ่อลูกอ่อน ซอกวู (กงยู ที่เราคุ้นเคยจาก Coffee Prince) ที่มีปัญหาในชีวิตสมรสที่ค่อนข้างง่อนแง่นกับภรรยา และต้องดูแลลูกสาว ซูอา (อาน คิมซู)
ในวันเกิดของเธอ สิ่งที่เธออยากได้คือการได้ไปหาแม่ของเธอที่ปูซาน
และแน่นอนตามสเตปหนังดราม่าสถานการณ์บีบคั้น
พระเอกคือตัวละครหลักที่จะมีพัฒนาการในระหว่างการดำเนินเรื่อง
ถ้าจะว่าไปแล้วจะบอกว่า Train to Busan เป็นหนัง Road movie เรื่องหนึ่งก็ไม่น่าจะผิด
หนังแนวนี้คือหนังที่ตัวละครซักตัวหนึ่งหรือหลายตัว ต้องออกเดินทางโดยมีเป้าหมายบางอย่าง
แล้วระหว่างทางนั้น สถานการณ์ต่างๆ เริ่มกล่อมเกลาให้ตัวละครนั้นได้เรียนรู้บางอย่าง จนไปถึงจุดหมายปลายทาง แล้วตัวละครตัวนั้นจึงเปลี่ยนแปลงไป
ยกตัวอย่างหนังประเภทนี้ เช่น Little Miss Sunshine, Sideways หรือเมื่อไม่นานมานี้ อย่าง The Secret Life of Walter Mitty
เพียงแต่ว่าหนังพวกนั้นมาในอารมณ์ดราม่าที่ฟีลกู๊ดและมีความเป็น comedy อยู่ในตัว
แต่ Train to Busan มาในอารมณ์ดาร์คและกดดัน
ส่วนของความเป็นแอคชั่นของหนัง ซึ่งยกมาเป็นจุดขายแรกของการทำพีอาร์นั้น ถือว่าทะลุปรอทได้เลย
นี่เป็นหนังที่ตอบโจทย์ของความมันส์ระดับใกล้เคียงกับหนังอย่าง Speed ได้สบายๆ
อย่างที่หลายๆ คนออกมายกย่องว่านี่เป็นหนังเกาหลีฟอร์มฮอลีวู้ดชัดๆ
ช่วงเปิดตัวหนัง บางคนอาจจะบอกว่าเป็นช่วงที่อ้อยอิ่งที่สุดของหนัง แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวแล้ว เพราะหนังต้องการปูพื้นฐานของตัวละครหลักอย่างซอกวูให้เราเข้าใจว่าเริ่มต้นเขาเป็นคนยังไง
และมันใช้เวลาเล่าเรื่องในระดับที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป
จริงๆ แล้ว 10 นาทีแรกมันคือช่วงคลื่นลมสงบก่อนที่จะมีพายุใหญ่นั่นเอง
พอหลังจากนั้นหนังไม่รอช้าในการเริ่มต้นสาดฉากลุ้นระทึกใส่เรา ในสถานการณ์บีบบังคับในสถานที่แคบๆ ตลอดทั้งเรื่อง
โดยมีจังหวะการเล่นกับความรู้สึก และการปล่อยฉากลุ้นให้เราได้อย่างพอเหมาะ
ทีมเขียนบททำงานกันได้ค่อนข้างดีมากๆ จริงๆ
ในยุคหลังๆ มาหนังที่เกี่ยวกับซอมบี้มักแบ่งลักษณะซอมบี้ออกไปเป็นสองพวก
พวกสายสโลว์ไลฟ์ ลาดพร้าว บางกะปี พวกนี้เคลื่อนไหวช้า กดดัน ใช้ปริมาณและสถานการณ์ที่ผิดพลาดของตัวละคร ช่วยสร้างสถานการณ์บีบคั้น
กับอีกพวกหนึ่งคือพวกสายมอเตอร์เวย์ที่ไม่ใช่หน้าเทศกาล
เป็นซอมบี้หน่วยเคลื่อนที่เร็ว กินยาม้ามา พลังงานล้นเหลือ
ถ้าผมจำไม่ผิด ยุคสมัยของซอมบี้เคลื่อนที่เร็ว เริ่มต้นจากหนังรีเมคผลงานของ George A. Romero เรื่อง Dawn of the Dead (ถ้าจำผิดต้องขออภัย) เป็นเรื่องแรกๆ
Train to Busan เลือกที่จะใช้บริการซอมบี้มอเตอร์เวย์ เคลื่อนที่เร็ว ดุดันทรงพลัง และมีการเคลื่อนไหวแบบผีซาดาโกะและจูออนผสมกัน
ผมว่าเป็นการตั้งโจทย์ของผู้กำกับที่ท้าทาย
เพราะหนังเล่าเรื่องในที่แคบเป็นหลักและให้ซอมบี้เป็นแบบเคลื่อนที่เร็วอย่างนี้ ต้องสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครมีลุ้นแบบสมเหตุสมผล
ซึ่งผมว่าหนังสอบผ่านได้คะแนนเกือบเต็มเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องหลักของหนังในประเด็นดราม่านั้น คือสิ่งที่ควรได้รับคำชมมากที่สุด
ผมมองๆ ดูแล้วหนังแนวซอมบี้ดังๆ ของฝั่งฮอลลีวู้ดที่ผ่านมา แม้จะมีการใส่ดราม่าเข้ามาในเรื่องแต่ยังไม่ค่อยมีเรื่องไหนที่เล่นประเด็นดราม่าเป็นเรื่องหลักอย่างเรื่องนี้ ยกเว้นซีรีย์ยอดฮิตอย่าง The Walking Dead เท่านั้น
ผมชอบที่ผู้กำกับ (Yeon Sang-Ho) ตัดสินใจลดทอนความเป็นหนังซอมบี้ลง โดยการเลือกที่จะไม่นำเสนอจุดขายของหนังประเภทนี้คือฉากเลือดสาด โคลสอัพกับฉากทุบหัวแบะ ฟันแขนขาด กัดกระชากเนื้อหลุดออกไป
เราจะรู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นแอคชั่นหนีตายของหนังตลอดเรื่อง แต่เราจะไม่รู้สึกแหวะ หรืออี๋ปิดตา เหมือนหนังซอมบี้หลายๆ เรื่องที่ขายจุดนี้
ทำให้แม้มันเป็นหนังที่เล่นฉากแอคชั่นเกี่ยวกับซอมบี้ แต่มันไม่ดึงอารมณ์ของหนังให้หลุดจากความเป็นดราม่าตื่นเต้นไป
ตลอดทั้งเรื่องหนังใส่ความสัมพันธ์ของตัวละคร การตัดสินใจ การเอาตัวรอด ด้านมืดและด้านสว่างของตัวละครเข้ามาเรื่อยๆ
แน่นอนที่พระเอกแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของคนที่เริ่มต้นจากการเป็นคนเห็นแก่ตัว และค่อยๆ ได้เรียนรู้ที่จะทำเพื่อผู้อื่น
ตัวละครลูกสาว แสดงออกได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ไม่ได้เป็นตัวละครที่สร้างภาระให้กับหนัง แต่ทำให้หนังมีความสมจริงมากขึ้น
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครเด่นที่ได้ใจคนดูที่สุดคือพี่อ้วนหน้าโจรรักเมียคนนั้น (Ma Dong-Seok) กลายเป็นว่าพี่เขานี่แหละคือคนสำคัญที่สอนให้พระเอกเป็นพระเอกจริงๆ
ส่วนใครที่ตั้งใจจะไปดู โซฮี แห่ง Wonder girls เธอมีบทเรื่อยๆ ให้ได้เห็นหน้าพอหายคิดถึง แต่ไม่ได้มีส่วนขับเคลื่อนเนื้อหาของหนังมากซักเท่าไหร่
จุดพลิกผันในแต่ละตอน ทางออกและการตัดสินใจของตัวละครแต่ละช่วงทำได้ดี และเรียกน้ำตาให้ในซีนหนักๆ ทางอารมณ์อยู่หลายซีนเหมือนกัน
ถ้าจะมีส่วนที่ผมหักคะแนนออกไปบ้าง คือ ตอนจบของเรื่อง ที่เป็นชะตากรรมของตัวละครตัวหนึ่งนั้น ผมว่าผู้เขียนบทหาทางออกให้เขาได้ยังไมสมเหตุสมผลเท่าไหร่ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่หนักหนาก่อนหน้านั้นที่ผ่านกันมาได้ กับสถานการณ์นี้ที่เขาเผชิญแล้ว มันดูอ่อนด้อยลงไปเห็นได้ชัด
อีกส่วนหนึ่งที่ผมยังรู้สึกว่าไม่ชอบเป็นการส่วนตัว คือการใส่ให้ตัวละครฝ่ายผู้ร้ายของเรื่อง ดูเลวแบบไม่คิดชีวิต ทั้งที่ถ้าจะทำให้มันมีมิติขึ้นมากว่านั้นซักหน่อยก็น่าจะทำได้ แต่กลับกลายเป็นความเลวแบบแบนๆ เกินไป
เมื่อถึงตอนจบของหนังนั้น หนังได้บอกให้คนดูอย่างผมและทุกคนรับรู้ตรงกันว่า
ภัยพิบัติใดๆ ทีเ่ราเผชิญ ไม่เว้นแม้แต่ซอมบี้นั่น ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับมนุษย์ด้วยกันเองเลย
มันเป็นอย่างนี้มาตลอดทุกยุคทุกสมัย ที่มนุษย์นั้นแหละที่ดีก็ได้ หรือจะร้ายก็ได้ ขึ้นกับเขาว่าจะเลือกเป็นแบบไหน
คะแนน 9/10
ปล. ดูซาวน์แทรคเท่านั้น ถ้าคุณอยากซึบซับอารมณ์ดราม่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/asfarasi/
Train to Busan หนัง Road movie ที่ซอมบี้ไม่น่ากลัวเท่าคน
อย่างแรกที่อยากบอกคือ จริงๆ แล้ว Train to Busan (ผมว่านี่เป็นหนังเกาหลีไม่กี่เรื่องที่ไม่มีใครสนใจจำชื่อหนังภาษาไทยกัน) ไม่ใช่หนังซอมบี้
แต่เป็นหนังดราม่าที่มีแบ็คกราวนด์เป็นหายนะของเมืองใหญ่ โดยใช้ซอมบี้เป็นตัวสร้างสถานการณ์
เป็นดราม่าที่พูดถึง Dark side และ Bright side ของคน
หนังเล่าเรื่องของชายนักธุรกิจพ่อลูกอ่อน ซอกวู (กงยู ที่เราคุ้นเคยจาก Coffee Prince) ที่มีปัญหาในชีวิตสมรสที่ค่อนข้างง่อนแง่นกับภรรยา และต้องดูแลลูกสาว ซูอา (อาน คิมซู)
ในวันเกิดของเธอ สิ่งที่เธออยากได้คือการได้ไปหาแม่ของเธอที่ปูซาน
และแน่นอนตามสเตปหนังดราม่าสถานการณ์บีบคั้น
พระเอกคือตัวละครหลักที่จะมีพัฒนาการในระหว่างการดำเนินเรื่อง
ถ้าจะว่าไปแล้วจะบอกว่า Train to Busan เป็นหนัง Road movie เรื่องหนึ่งก็ไม่น่าจะผิด
หนังแนวนี้คือหนังที่ตัวละครซักตัวหนึ่งหรือหลายตัว ต้องออกเดินทางโดยมีเป้าหมายบางอย่าง
แล้วระหว่างทางนั้น สถานการณ์ต่างๆ เริ่มกล่อมเกลาให้ตัวละครนั้นได้เรียนรู้บางอย่าง จนไปถึงจุดหมายปลายทาง แล้วตัวละครตัวนั้นจึงเปลี่ยนแปลงไป
ยกตัวอย่างหนังประเภทนี้ เช่น Little Miss Sunshine, Sideways หรือเมื่อไม่นานมานี้ อย่าง The Secret Life of Walter Mitty
เพียงแต่ว่าหนังพวกนั้นมาในอารมณ์ดราม่าที่ฟีลกู๊ดและมีความเป็น comedy อยู่ในตัว
แต่ Train to Busan มาในอารมณ์ดาร์คและกดดัน
ส่วนของความเป็นแอคชั่นของหนัง ซึ่งยกมาเป็นจุดขายแรกของการทำพีอาร์นั้น ถือว่าทะลุปรอทได้เลย
นี่เป็นหนังที่ตอบโจทย์ของความมันส์ระดับใกล้เคียงกับหนังอย่าง Speed ได้สบายๆ
อย่างที่หลายๆ คนออกมายกย่องว่านี่เป็นหนังเกาหลีฟอร์มฮอลีวู้ดชัดๆ
ช่วงเปิดตัวหนัง บางคนอาจจะบอกว่าเป็นช่วงที่อ้อยอิ่งที่สุดของหนัง แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวแล้ว เพราะหนังต้องการปูพื้นฐานของตัวละครหลักอย่างซอกวูให้เราเข้าใจว่าเริ่มต้นเขาเป็นคนยังไง
และมันใช้เวลาเล่าเรื่องในระดับที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป
จริงๆ แล้ว 10 นาทีแรกมันคือช่วงคลื่นลมสงบก่อนที่จะมีพายุใหญ่นั่นเอง
พอหลังจากนั้นหนังไม่รอช้าในการเริ่มต้นสาดฉากลุ้นระทึกใส่เรา ในสถานการณ์บีบบังคับในสถานที่แคบๆ ตลอดทั้งเรื่อง
โดยมีจังหวะการเล่นกับความรู้สึก และการปล่อยฉากลุ้นให้เราได้อย่างพอเหมาะ
ทีมเขียนบททำงานกันได้ค่อนข้างดีมากๆ จริงๆ
ในยุคหลังๆ มาหนังที่เกี่ยวกับซอมบี้มักแบ่งลักษณะซอมบี้ออกไปเป็นสองพวก
พวกสายสโลว์ไลฟ์ ลาดพร้าว บางกะปี พวกนี้เคลื่อนไหวช้า กดดัน ใช้ปริมาณและสถานการณ์ที่ผิดพลาดของตัวละคร ช่วยสร้างสถานการณ์บีบคั้น
กับอีกพวกหนึ่งคือพวกสายมอเตอร์เวย์ที่ไม่ใช่หน้าเทศกาล
เป็นซอมบี้หน่วยเคลื่อนที่เร็ว กินยาม้ามา พลังงานล้นเหลือ
ถ้าผมจำไม่ผิด ยุคสมัยของซอมบี้เคลื่อนที่เร็ว เริ่มต้นจากหนังรีเมคผลงานของ George A. Romero เรื่อง Dawn of the Dead (ถ้าจำผิดต้องขออภัย) เป็นเรื่องแรกๆ
Train to Busan เลือกที่จะใช้บริการซอมบี้มอเตอร์เวย์ เคลื่อนที่เร็ว ดุดันทรงพลัง และมีการเคลื่อนไหวแบบผีซาดาโกะและจูออนผสมกัน
ผมว่าเป็นการตั้งโจทย์ของผู้กำกับที่ท้าทาย
เพราะหนังเล่าเรื่องในที่แคบเป็นหลักและให้ซอมบี้เป็นแบบเคลื่อนที่เร็วอย่างนี้ ต้องสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครมีลุ้นแบบสมเหตุสมผล
ซึ่งผมว่าหนังสอบผ่านได้คะแนนเกือบเต็มเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องหลักของหนังในประเด็นดราม่านั้น คือสิ่งที่ควรได้รับคำชมมากที่สุด
ผมมองๆ ดูแล้วหนังแนวซอมบี้ดังๆ ของฝั่งฮอลลีวู้ดที่ผ่านมา แม้จะมีการใส่ดราม่าเข้ามาในเรื่องแต่ยังไม่ค่อยมีเรื่องไหนที่เล่นประเด็นดราม่าเป็นเรื่องหลักอย่างเรื่องนี้ ยกเว้นซีรีย์ยอดฮิตอย่าง The Walking Dead เท่านั้น
ผมชอบที่ผู้กำกับ (Yeon Sang-Ho) ตัดสินใจลดทอนความเป็นหนังซอมบี้ลง โดยการเลือกที่จะไม่นำเสนอจุดขายของหนังประเภทนี้คือฉากเลือดสาด โคลสอัพกับฉากทุบหัวแบะ ฟันแขนขาด กัดกระชากเนื้อหลุดออกไป
เราจะรู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นแอคชั่นหนีตายของหนังตลอดเรื่อง แต่เราจะไม่รู้สึกแหวะ หรืออี๋ปิดตา เหมือนหนังซอมบี้หลายๆ เรื่องที่ขายจุดนี้
ทำให้แม้มันเป็นหนังที่เล่นฉากแอคชั่นเกี่ยวกับซอมบี้ แต่มันไม่ดึงอารมณ์ของหนังให้หลุดจากความเป็นดราม่าตื่นเต้นไป
ตลอดทั้งเรื่องหนังใส่ความสัมพันธ์ของตัวละคร การตัดสินใจ การเอาตัวรอด ด้านมืดและด้านสว่างของตัวละครเข้ามาเรื่อยๆ
แน่นอนที่พระเอกแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของคนที่เริ่มต้นจากการเป็นคนเห็นแก่ตัว และค่อยๆ ได้เรียนรู้ที่จะทำเพื่อผู้อื่น
ตัวละครลูกสาว แสดงออกได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ไม่ได้เป็นตัวละครที่สร้างภาระให้กับหนัง แต่ทำให้หนังมีความสมจริงมากขึ้น
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครเด่นที่ได้ใจคนดูที่สุดคือพี่อ้วนหน้าโจรรักเมียคนนั้น (Ma Dong-Seok) กลายเป็นว่าพี่เขานี่แหละคือคนสำคัญที่สอนให้พระเอกเป็นพระเอกจริงๆ
ส่วนใครที่ตั้งใจจะไปดู โซฮี แห่ง Wonder girls เธอมีบทเรื่อยๆ ให้ได้เห็นหน้าพอหายคิดถึง แต่ไม่ได้มีส่วนขับเคลื่อนเนื้อหาของหนังมากซักเท่าไหร่
จุดพลิกผันในแต่ละตอน ทางออกและการตัดสินใจของตัวละครแต่ละช่วงทำได้ดี และเรียกน้ำตาให้ในซีนหนักๆ ทางอารมณ์อยู่หลายซีนเหมือนกัน
ถ้าจะมีส่วนที่ผมหักคะแนนออกไปบ้าง คือ ตอนจบของเรื่อง ที่เป็นชะตากรรมของตัวละครตัวหนึ่งนั้น ผมว่าผู้เขียนบทหาทางออกให้เขาได้ยังไมสมเหตุสมผลเท่าไหร่ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่หนักหนาก่อนหน้านั้นที่ผ่านกันมาได้ กับสถานการณ์นี้ที่เขาเผชิญแล้ว มันดูอ่อนด้อยลงไปเห็นได้ชัด
อีกส่วนหนึ่งที่ผมยังรู้สึกว่าไม่ชอบเป็นการส่วนตัว คือการใส่ให้ตัวละครฝ่ายผู้ร้ายของเรื่อง ดูเลวแบบไม่คิดชีวิต ทั้งที่ถ้าจะทำให้มันมีมิติขึ้นมากว่านั้นซักหน่อยก็น่าจะทำได้ แต่กลับกลายเป็นความเลวแบบแบนๆ เกินไป
เมื่อถึงตอนจบของหนังนั้น หนังได้บอกให้คนดูอย่างผมและทุกคนรับรู้ตรงกันว่า
ภัยพิบัติใดๆ ทีเ่ราเผชิญ ไม่เว้นแม้แต่ซอมบี้นั่น ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับมนุษย์ด้วยกันเองเลย
มันเป็นอย่างนี้มาตลอดทุกยุคทุกสมัย ที่มนุษย์นั้นแหละที่ดีก็ได้ หรือจะร้ายก็ได้ ขึ้นกับเขาว่าจะเลือกเป็นแบบไหน
คะแนน 9/10
ปล. ดูซาวน์แทรคเท่านั้น ถ้าคุณอยากซึบซับอารมณ์ดราม่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้