St Petersburg ในมุมที่คุณไม่เคยรู้จัก (ตอนที่2)



ส่วนรถราที่วิ่งกันใน St Petersburg วันนี้นอกจากรถที่ใช่งานตามปกติประจำวันแล้วก็ยังมีกลุ่มคนที่นำรถที่มีอายุอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 มาวิ่งตามท้องถนนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซ จะมีพิเศษก็เป็นมอเตอร์ไซแบบพ่วงข้าง ( ไม่ใช่แบบที่ขายผมไม้บ้านเรานะครับ ) ยิ่งบางคันเป็นรถยนต์แบบทหารที่มีการนำปืนกลมาติดไว้ด้วย (แต่คงไม่มีกระสุนนะครับ) รถดูคลาสสิกแล้วยังไม่พอครับ เหล่าคนขับหรือผู้โดยสารที่อยู่บนรถเหล่านั้นล้วนแต่งตัวด้วยเครื่องแบบของทหารโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งดูๆไปแล้วเครื่องแบบทหารโซเวียตไม่ว่าจะทั้งหญิงหรือชายนั้นดูเท่ห์สุดจริงๆครับ

อย่างที่ผมบอกในตอนแรก ว่าจุดที่พอจะเที่ยวได้ในวันนี้ก็คือมหาวิหาร St Isaac ซึ่งจริงๆวิ่งรถแค่ประมาณ 20 นาทีก็น่าจะถึง แต่ตอนนี้ถนนบางสายเริ่มมีการปิดกันบ้างแล้ว จึงทำให้การเดินทางต้องใช่เวลามากกว่าปกติ

ในรัสเซียนั้นเวลามีงานพิเศษทีไร การปิดถนนพวกก็มักจะไม่แจ้งล่วงหน้าครับ พวกนึกจะปิดถนนก็ปิดจึงทำให้การเดินทางวันนี้เหมือนอยู่ในเขาวงกฏ ทางโน้นไปไม่ได้ก็มาอีกทาง อีกทางไปไม่ได้ก็หาทางไปใหม่ ทางใหม่ไปไม่ได้ (เดี่ยวไม่ไปซะเลย งอนแล้ว) แต่มันก็สนุกดีครับและที่สำคัญมันทำให้ผมได้เห็นเมือง St Petersburg ในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น

หลังจากเข้าออกซอกแซกไปหลายถนนในที่สุดผมก็มาถึงมหาวิหาร st Isaac จนได้ครับ



มหาวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นปี พ.ศ.2367/ค.ศ.1818 ในรัชสมัยของพระเจ้า Alexander I หรือ (3 ปีก่อนที่ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ จะทรงผ่านพิธีราชาภิเษกขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ) โดยการก่อสร้างนั้นกินเวลากว่า 40 ปี ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2401/1858 ( หรือหลังจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ครองราชได้แล้ว 7 ปีเท่านั้น ) ใช่แรงงานคนกว่า 500,000 คนตลอดระยะเวลา40ปี

ในความเป็นจริงแล้วมหาวิหาร St Isaac แห่งนี้เป็นแบบสุดท้ายที่ถูกสร้างขึ้น โดยก่อนหน้านั้นได้มีการสร้างขึ้นมาแล้วถึงสามครั้งสามแบบด้วยกัน โดยการก่อสร้างครั้งแรกถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ซึ่งตอนแรกนั้นเป็นเพียงโบสถ์ไม้หลังเล็กๆที่ถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกับตอนที่สร้างเมือง St Petersburg เพื่อเป็นโบสถ์ให้กับเหล่าคนงานที่มาสร้างเมือง St Petersburg และคนงานต่อเรือได้มีโบสถ์ประจำเมืองใช้เพื่อการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งในเวลานั้นโบส์ในป้อม Peter และ Paul ได้สร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อย แต่เนื่องจากการข้ามแม่น้ำ นีวา ไปเพื่อสวดมนท์ก็ต้องเสียเวลาในการเดินทาง ดังนั้นพระเจ้าปีเตอร์ จึงมีพระราชดำริให้สร้างโบสถ์ St Isaac ขึ้นเป็นครั้งแรก

จากจุดเริ่มต้นเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆ ปัจจุบันมันได้กลายสภาพมาเป็นมหาวิหารที่มีความใหญ่ที่สุดสำหรับนิกายกรีกออร์โธดอกซ์ ซึ่งถ้าเปรียบผมเป็นปลวกน้อยๆตัวหนึ่ง มหาวิหาร St Isaac ก็คือจอมปลวกขนาดมหึมานี้เอง เสาหินแกรนนิตสีน้ำตาลเข้มที่รองรับตัววิหาร ถูกขัดแต่งด้วยน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้นจำนวน 112 ต้น แต่ละต้นมีความสูง 17 เมตร หรือเกือบเท่ากับตึก 6 ชั้น และหนักถึง 114 ตัน ซึ่งหินแกรนนิตแดงที่ใช่สร้างเสาเหล่านี้ถูกนำมาจากเมือง Vyborg ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง st Petersburg ไปประมาณ 130 กิโลเมตร ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันถูกนำมาและตั้งขึ้นตั้งได้อย่างไร และที่แน่ๆคือระบบเครื่องกลเมื่อเกือบ 150 ปีก่อนนั้นยังไม่มีการพัฒนาเกิดขึ้น ดังนั้นมันเป็นน้ำพักน้ำแรงมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย นี้ยังไม่รวมถึงตัดหินกันยังไง การเคลื่อนย้าย ซึ่งต้องไม่ลืมนะครับว่าการก่อสร้างเกิดขึ้นตรงกลับ รัชสมัยของรัชกาลที่3บ้านเรา

ผมยืนอึ้งอยู่ด้านนอกนานพอสมควร จนคุณย่าชาวฝรั่งที่ต่อแถวหลังจากผมถามว่า " ยูจะเข้าไม่เข้า ถ้ายูไม่เข้าไอจะแซงไปก่อนนะ " ด้วยสีหน้าของคุณย่าวัย 80ปี พร้อมกับไม้เท้าคู่ใจเนื้อไม้ชั้นดีที่ทำขึ้นในศตวรรษที่21 ที่นอกจากจะใช้พยุงตัวคุณย่าแล้ว ถ้าผมไม่รีบเดินเข้าไป ไม้เท้าด้ามนั้นอาจมาตกกระทบที่กะบานผมก็เป็นไปได้ ด้วยแรงกระตุ้นจากไม้เท้าของคุณย่า ผมจึงนำพาตัวเองมาสู่ด้านในของมหาวิหาร St Isaac ซึ่งการกระตุ้นเตือนของคุณย่าเมื่อกี้ก็เหมือนกับการส่งผมเข้าสู่นิพพานไม่มีผิดครับ ขอบคุณย่าด้วยครับ



ภายมหาวิหาร st Isaac ช่างดูใหญ่โต กว้างขวาง อลังกาลแต่แฝงได้ด้วยความ เงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้ผู้ที่เข้ามาภายในสามารถรู้สึกผ่อนคลายได้ ซึ่งความรู้สึกนี้เหมือนกันกับความรู้สึกตอนที่เราเข้าเขตบริเวณวัดและไปนั่งสงบจิตสงบใจในพระอุโบสถไม่มีผิดแต่สุขใดก็ไม่เท่าใจสงบนะครับ

ความสูงของตัวมหาวิหารในจุดที่สูงที่สุดสูงประมาณ 101.5 เมตร ภายมีพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร สามารถจุผู้มาประกอบศาสนกิจได้มากถึง 10,000 คน เหตุผลที่สามารถบรรจุผู้คนได้มากขนาดนี้ก็เป็นเพราะการประกอบพิธีกรรมของนิกายกรีกออร์ธอดอกซ์จะใช้การยืนสวดแทนการนั่งบนโต๊ะอี้แบบนิกายคาทอลิก ดังนั้นเมื่อเข้ามาด้านในผมจึงไม่พบโต๊ะอี้นั่งสักตัว (ยกเว้นของเหล่าคุณป้าๆเจ้าหน้าที่ๆดูแลตัวมหาวิหาร) ซึ่งการประกอบพิธีกรรมของชาวออร์ธอดอกซ์นั้นอาจจะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหรือมากกว่าด้วยกัน

ใหญ่โตมโหฬารอย่างเดี่ยวยังไม่พอ ภายในของมหาวิหารยังมีความสวยงามซ่อนอยู่อีก ด้วยภาพประดับโมเสกหรือการนำหินชิ้นเล็กๆสีต่างๆมาประกอบเป็นรูปภาพ โดยภายในมหาวิหารแห่งนี้มีภาพโมเสกมากถึง 62 ภาพ ที่กินพื้นที่มากถึง 600 ตารางเมตร และยังไม่รวมถึงภาพจิตกรรมฝาผนังอีก 103 ภาพ ซึ่งภาพส่วนใหญ่ล้วนบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญๆของทั้ง พระแม่เเมรี่ พระเยซู  และเหล่านักบุญต่างๆของศาสนาคริสต์ที่ผมบอกได้คำเดียวว่านี้คือที่สุดขอความสวยงาม



ด้านตัวมหาวิหารมีลักษณะเป็นเหมือนเครื่องหมายบวกหรือลักษณะเหมือนเครื่องหมายสภากาชาด ซึ่งลักษณะไม้กางเกงของชาวคริสนิกายออร์ธอดอกซ์จะมีลักษณะแบบนั้น ความกว้างคูณความยาวของตัวมหาวิหาร เท่ากับ 100 x 100 เมตร โดยที่มีเสาใหญ่สี่เสาภายใน (ที่ไม่ใช่สี่เสาเทเวศ) คอยค้ำยันตัวอาคารภายในไว้ และไม่ว่าจะเป็นเสาที่คอยค้ำยันเพดาน พนัง หรือ ซุ้มประตูล้วนตกแต่งด้วยภาพวาด ภาพโมเสก และรูปปั้นทั้งสิ้น

ผมเองประหลาดใจไม่น้อยว่ามหาวิหาร st Isaac แห่งนี้รอดพ้นจากช่วงสงครามโลกครั้งที่2มาได้อย่างไร ซึ่งในระหว่างยุทธกาลบาร์บารอสซ่าที่ปิดล้อมเมือง St. Petersburg นั้นก็โดนกองทัพนาซีใช่เครื่องบินทิ้งระเบิดมาทำลายเมืองอยู่บ่อยๆ แล้วอะไรกันที่ทำให้มหาวิหารแห่งนี้รอดพ้นมาได้ ผมหวังว่าหลังจากเดินชื่นชมความงามภายในแล้ว ผมจะออกไปค้นหาคำตอบจากสิ่งที่สมองของผมพึ่งตั้งโจทย์ขึ้นมาต่อ

ผมให้เวลากับตัวเอง เดินชมความอลังกาลภายในและเฝ้ามองผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ ผมยืนพิจารณาถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวมหาวิหาร ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาในการก่อสร้าง ความเป็นไปของมหาวิหารในช่วงสงคราม และยังมีอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั้นคือกว่าที่จะได้มาของ มหาวิหาร St Isaac เวอร์ชั่นสมบูรณ์แบบหรือแบบที่สี่อย่างที่เห็นกัน ณ ปัจจุบันนี้ เวลาการก่อสร้างที่กินเวลากว่า 40 ปีกว่าจะแล้วเสร็จที่ว่านานแล้ว ยังมีมหากาพย์ก่อนหน้าที่จะมีสร้างตัวมหาวิหารขึ้นอีก โดยก่อนการสร้างมหาวิหาร St Isaac แบบปัจจุบันที่เราเห็นอยู่นี้ ในรัชสมัยซาสน์อเล็กซานเดอร์ที่1 พระองค์มีความปราถณาที่จะสร้างมหาวิหารขึ้นมาใหม่ จึงได้มีการปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูเเลมหาวิหาร St Isaac ขึ้นและบวกกับเหตุการณ์ในปี พ.ศ.2359 ที่กระเบื้องบางส่วนของตัวมหาวิหารแบบที่สามที่สร้างในรัชสมัยพระเจ้าพอลที่1 ได้หล่นลงมาจากความชื่นที่คอยทำลายตัวมหาวิหาร จนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการบรูณะครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่1 และก็โชคดีที่อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ก่อนการก่อสร้างพระองค์ทรงตั้งเงื่อนไขที่พระองค์ต้องการคือ การสร้างมหาวิหารใหม่ขึ้น จะยังคงใช้แท่นบูชาทั้งสามที่มีอยู่ในมหาวิหาร St Isaac เดิมที่สร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระเจ้าพอลที่1 หรือแบบที่สาม

หลังจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินงานการสร้างมหาวิหารหลังใหม่ได้รับทราบเงื่อนไขของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่1 ในปี พ.ศ.2352 จึงมีประกาศการประกวดออกแบบตัวมหาวิหารขึ้น โดยมีสถาปนิกนักออกแบบดังๆในสมัยนั้นเข้าร่วมส่งแบบเข้าประกวดอยู่หลายคน แต่เมื่อเจอเงื่อนไขที่จะต้องคงรูปแบบของแท่นบูชาเดิมภายในของมหาวิหารเดิมไว้ก็ทำเอาสถาปนิกผู้ออกแบบการก่อสร้างต้องมึนกับไปตามๆกัน และทุกคนล้วนออกความเห็นว่ามันยากเกินไปที่จะคงรูปแบบแท่นบูชาเดิมไว้เเละสร้างตัวมหาวิหารเพิ่มโดยที่จะไม่มีผลกระทบต่อแท่นบูชาเดิมที่มีอยู่ แต่ทว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่1ยังคงยืนยันพระประสงค์เดิม ดังนั้นเหล่าผู้เข้าประกวดการออกแบบมหาวิหารจึงไม่ได้รับการพิจารณาใดๆเลยจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่1



แต่ยังไงก็ตามพระองค์ก็ยังไม่ทรงละทิ้งความคิดในการสร้างมหาวิหาร St Isaac ขึ้นใหม่ เพราะสิ่งนี้คือหนึ่งในสิ่งที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่าแน่วแน่ แต่หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2355/ค.ศ.1812 ได้เกิดเหตุกรณีพิพาทระหว่างจักรวรรดิรัสเซียกับจักรวรรดิฝรั่งเศสที่นำโดยจักรพรรดินโปเลียนที่1 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสงครามนโปเลียน จึงทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่1 ทรงละทิ้งงานต่างๆภายในจักรวรรดิรัสเซียและรวมไปถึงการบูรณะสร้างมหาวิหาร St Isaac ขึ้นก็ต้องหยุดพักไว้ชั่วคราวเพื่อปกป้องจักรวรรดิของพระองค์ก่อน ทั้งที่จริงแล้วสงครามนโปเลียนได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2346 แต่ช่วงเริ่มต้นสงครามจักรวรรดิรัสเซียไม่ได้เข้าร่วมโดยตรง จนมาถึงวันที่ 24 มิยิ้มายน พ.ศ.2355 ที่จักรพรรดินโปเลียนที่1 ตัดสินใจบุกจักรววรดิจักรวรรดิรัสเซีย แต่สุดท้ายจักรพรรดินโปเลียนที่1 ก็เอาชื่อมาขายแล้วตายในหน้าที่ (ไม่ต่างจากตอนที่ อาจารย์ หลุยส์ ฟาน กัล ตัดสินใจมาคุมทีม Manchester United นะแหละครับ) ส่วนจักรพรรดินโปเลียนจริงๆพระองค์ก็ไม่ได้สิ้นพระชนในสงครามนะครับ แต่การรบที่รัสเซียจบลงด้วยการความพายแพ้ซึ่งสงครามก็กินเวลาเพียง 5 เดือนกว่าๆ ทำให้พระองค์สิ้นชื่อไปซะมากกว่า โดยก่อนหน้านั้นพระองค์รบชนะมาตลอดไม่ว่าจะเป็นแนวรบไหนๆ ซึ่งถ้าแนวรบที่รัสเซียพระองค์สามารถมีชัยชนะได้ก็คงไม่ต่างจากนักมวยสากลอย่าง Floyd Joy Mayweather Jr หรือที่ถูกเรียกกันว่า Pretty Boy ขึ้นชก 49 ครั้งไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง ส่วนกรณีของจักรพรรดินโปเลียนที่1ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างได้ดีให้กับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ด้วยเช่นกันซึ่งถ้าหาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ศึกษาถึงปัจจัยของความพ่ายแพ้ของจักรพรรดินโปเลียนที่1 ปฏิบัติการ บาร์บารอสซา อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลกก็เป็นได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ประเทศรัสเซีย หน้าต่างโลก
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่