ประเทศญี่ปุ่นกับบราซิล มีความสัมพันธ์อะไรกันเหรอ ???

เห็นนางแบบ นางงาม ดาราญี่ปุ่น ถ้าเป็นลูกครึ่ง ก็เป็นบราซิลมากกว่าอย่างอื่น
นงงามญี่ปุ่น ที่เข้ารอบนางงามจักรวาลครั้งล่าสุด นั่นก็ลูกครึ่งบราซิล

นักบอลบราซิลก็มีลูกครึ่งญี่ปุ่นอีก ไคโอะ เฟลิเป้นั่นไง

มาโอลิมปิกหนนี้ นักปิงปองบราซิลบางคนนี่ ทั้งชื่อ ทั้งหน้า ญี่ปุ่นมาเชียว
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
กลุ่มคนญี่ปุ่นอพยพในบราซิลเพิ่งจัดงานฉลองครบหนึ่งร้อยปีของการย้ายถิ่นมาที่ประเทศบราซิล ในปี ค.ศ. 2008 นี้เอง    นอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว  บราซิลนี่แหละเป็นแผ่นดินอันดับสอง ที่คนญี่ปุ่นพำนักอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก  นับจาก ค .ศ.1908   จนถึงปัจจุบัน   สายเลือดซามูไรสืบเชื้อสายกันมากว่าสี่ถึงห้าเจนเนเรชั่น  ด้วยจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน  เข้าไปมีบทบาทในเกือบทุกสาขาอาชีพ  โดยเฉพาะในงานด้านบริการ และการเกษตร  ถือเป็นกลุ่มคนอพยพอีกกลุ่มหนึ่งที่ช่วยสร้าง และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศบราซิล

การอพยพจากประเทศแม่สู่บราซิลนั้น แบ่งได้คร่าว ๆ เป็นสองช่วง คือ จาก ค.ศ. 1908-1952  เนื่องจากปัญหาความขาดแคลนอาหารในประเทศญี่ปุ่น   ส่วนช่วงที่สองคือ จาก ปี ค.ศ.1952–1970  ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพประเทศผู้แพ้สงคราม
ใน ปี ค.ศ. 1908  ขณะนั้นบราซิลกำลังเปิดประเทศต้อนรับผู้อพยพกลุ่มใหม่จากเอเชีย และอัฟริกา  เนื่องจากต้องการแรงงานมาพัฒนาที่ดินที่มีอยู่มากมาย   โดยก่อนหน้านี้ ผู้อพยพชาวอิตาลี เป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ในไร่กาแฟ ในเขตรัฐเซา เปาโล ซึ่งคนกลุ่มนี้ทยอยกันอพยพมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1852 จนถึง 1890 แต่ด้วยความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ค่าแรงต่ำ  และชาวอิตาลีพบว่า ทางตอนใต้ของประเทศ มีผืนดินใหม่รอการพัฒนาอยู่มากมาย  ภูมิอากาศก็คล้ายกับทางยุโรป และเป็นพื้นที่เชิงเขาซึ่งเหมาะกับการปลูกไวน์  ดังนั้นจึงได้พากันอพยพย้ายลงไปทางใต้  บราซิลจึงขาดแคลนแรงงานในไร่กาแฟ   ขณะนั้นเอง ญี่ปุ่นก็มีปัญหาการขาดแคลนอาหาร และยากจน  หลังจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศเซ็นข้อตกลงให้มีการอพยพคนญี่ปุ่นไปยังประเทศบราซิลได้ คนญี่ปุ่นกลุ่มแรกเจ็ดร้อยกว่าคน เริ่มเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อความหวังสู่ชีวิตที่ดีกว่า  โดยเดินทางทางเรือ Kasato Maru  นานถึง 52 วัน จากประเทศบ้านเกิด ผ่านสิงค์โปร์  อัฟริกาใต้  และสิ้นสุดที่รัฐ เซา เปาโล  ประเทศบราซิล
  
งานใช้แรงงานในไร่กาแฟ ค่อนข้างหนักหนา  คุณภาพชีวิตตกต่ำ เด็ก ๆ ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษา  นี่ไม่ใช่ความหวังใหม่ที่คนญี่ปุ่นรอนแรมเพื่อมาเจอ  ในปีถัดมา พวกเขาจึงขยับขยายออกจากไร่กาแฟในเขตชนบทของรัฐเซาเปาโล เดินทางต่อไปทางใต้ ถึงเมืองปารานา  เพื่อบุกเบิกที่ดินทำสวนผลไม้  และสวนผัก  คนอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้าเขตเมืองเซา เปาโล  ทำงานในอุตสาหกรรมหนัก เช่นอุตสาหกรรมเหล็ก บางกลุ่มริเริ่มก่อสร้างกิจการด้านงานบริการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง   กิจการซักรีด การพิมพ์  ฯลฯ  การอพยพย้ายถิ่นฐานจากญี่ปุ่นยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปี ค.ศ.1952  จำนวนคนญี่ปุ่นอพยพในบราซิลทั้งหมดก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นถึงห้าแสนคน

คงจำกันได้ว่าสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดขึ้นในช่วง  ปี ค.ศ. 1930 จนถึง 1945   ซึ่งเป็นปีที่ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในสงคราม ในระหว่างสงครามนั้น กลุ่มคนญี่ปุ่นอพยพในบราซิลมีความเป็นอยู่กันอย่างยากลำบาก   เนื่องจากประเทศบราซิลอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนประเทศญี่ปุ่นอยู่ฝ่ายอักษะ หนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่น และโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นถูกสั่งปิด  ในช่วงสงครามจนถึงหลังสงครามเลิกแล้ว  จึงมีผู้อพยพจำนวนหนึ่งย้ายถิ่นฐานกลับญี่ปุ่น  ในขณะที่คลื่นการอพยพลูกที่สองจากญี่ปุ่นมาบราซิล ก็เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อหนีสภาพของการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม  
คลื่นอพยพลูกที่สองเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1952 จนถึง 1970  ซึ่งขณะนั้นประเทศบราซิลมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมาก คล้ายดังเช่นประเทศจีนทุกวันนี้ บราซิลมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลสูงถึง 11% เป็นเวลาเจ็ดปีติดต่อกัน    ภาคอุตสาหกรรมในรัฐเซา เปาโล  ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนเกิดการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ  คนญี่ปุ่น จึงพากันย้ายถิ่นฐานมาที่บราซิลอีกครั้งเพื่อทำงานในภาคอุตสาหกรรม เกิดการพัฒนาเป็นเขตชุมชนชาวญี่ปุ่นในเมืองเซา เปาโล  ขนาดใหญ่ขึ้น ชื่อว่าลิเบอร์ดาจี  (Liberdade) ซึ่งแปลว่าอิสรภาพ   ช่วงปี ค.ศ.1960–1990  ถือเป็นช่วงพีคสำหรับการขยายตัวของชุมชน  กลายเป็นเขตชุมชนผู้อพยพชาวญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น Little Tokyo ในดินแดนอเมริกาใต้

อย่างไรก็ตาม นอกจากการอพยพเข้ามาทำงานในเมืองแล้ว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางไปบุกเบิกที่ดินในชนบท  พัฒนาเป็นสวนดอกไม้ และสวนผลไม้ โดยนำความรู้ และเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้

หนทางไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เศรษฐกิจของบราซิลเกิดวิกฤติอย่างหนักในปี ค.ศ.1980–1990 กลุ่มคนญี่ปุ่นบราซิล เลียน  ซึ่งขณะนั้นเป็นสายเลือดรุ่นที่สอง (นิคเค : Nikkei)  หรือรุ่นที่สาม (ซันเซะ :Sansei)  บางส่วนย้ายถิ่นฐานกลับไปประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง โดยการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ออกวีซ่าทำงานให้  คนญี่ปุ่นบราซิลเลียนนี้ ถูกเรียกว่า พวกเดคาเซกิ (Dekaseki)  ว่ากันว่าเดคาเซกิเหล่านี้ต้องทำงานอย่างหนัก  ค่าแรงน้อย และเผชิญกับการดูถูกจากคนญี่ปุ่นด้วยกัน เนื่องจากไม่สามารถพูดและเขียนภาษาญี่ปุ่นอย่างภาษาแม่ คนเหล่านี้โดยมากทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเลคโทรนิกส์  ด้วยความขยันและอดทน จำนวนไม่น้อยเลยที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนมีฐานะ  ในปี ค.ศ. 2002 เดคาเซกิได้ส่งเงินกลับไปประเทศบราซิลถึง 2,500  ล้านเหรียญสหรัฐ เลยทีเดียว  เวลาเดียวกันนี้เอง หลังจากปี ค.ศ.1990  เขตลิเบอร์ดาจี  ในเมืองเซา เปาโล ก็เสื่อมลง  กลุ่มคนเกาหลี  และกลุ่มนักธุรกิจใหม่ชาวจีน  เข้าไปครอบครองมากขึ้นในปัจจุบัน

การเฉลิมฉลองหนึ่งร้อยปีการย้ายถิ่นฐานจากประเทศญี่ปุ่น  จัดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปีนี้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเซา เปาโล  ไฮไลท์สำคัญคือการเสด็จมาของเจ้าชายมงกุฏราชกุมาร นารูฮิโต เพื่อเข้าร่วมงาน  และการแสดงพาเหรดขนาดใหญ่เพื่อเผยแผ่ศิลปะ และวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นไม่ยากเลยที่จะเห็นสายเลือดญี่ปุ่นร่วมงานกันอย่างคับคั่ง  ทั้งนิคเค รุ่นสองสูงอายุที่มารำลึกความหลัง หรือลูกหลานรุ่นถัดมาซึ่งอาจผสมผสานสาย เลือดกับคนอิตาเลี่ยน เยอรมัน หรือโปรตุเกส ไปแล้ว คนเหล่านี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการผสมผสานวัฒนธรรม    ญี่ปุ่นในบราซิลอย่างกลมกลืน ทั้งวัฒนธรรมด้านอาหาร และสถาปัตยกรรม  ภัตตาคารญี่ปุ่น หรือซูชิไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมที่นี่   ภาษาญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยมในการเรียนเป็นภาษาที่สอง หรือที่สามจากคนบราซิล   เส้นทางการอพยพที่ยาวไกล และระยะเวลาที่ยาวนานกำลังได้รับการเฉลิมฉลอง   แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของใบหน้าฉาบสุข  ญี่ปุ่นบราซิลเลียนเหล่านี้ได้เผชิญความยากลำบากอะไรมาบ้าง   กับการเป็นคนตะวันออกในดินแดนเสรีแห่งประเทศบราซิล  และกับการเป็นคนนอกในสายตาของคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่