ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าทริปนี้เกิดจากความงกล้วนๆ…..
ช่วงโลวแบบนี้แน่นอนแพคเกจเที่ยวอย่างถูก คนไม่เยอะไม่ต้องแย่งกันกินกันเที่ยวเพราะมันคือหน้าฝน แต่อีกแหละก็ต้องวัดดวง ใช่ว่าฝนจะตกทุกวันจริงมั้ย…อันนี้ปลอบใจตัวเองเบาๆ แต่บอกเลยว่าทริปนี้หลังจากกลับมามันได้ประสบการณ์อีกฟีลที่หลายคนอาจจะไม่เคยสัมผัส และมันก็แอดเวนเจอร์มากกก
เมื่อตัดสินใจจะลุยทะเลหน้าฝน ก็ต้องหาที่เที่ยวซิจ๊ะ...หลังจากเดินงานท่องเที่ยวไทยขาแทบลาก ก็ไปสะดุดตากับบูธนึงแม้จะไม่ใช่ทะเลอย่างที่คิดไว้แต่น่าสนใจสุดๆเลย ที่นั่นก็คือ เขื่อนเชี่ยวหลาน เห็นว่าสวยดีน่าไป ก็เลยซื้อแพคเกจเป็นของขวัญพาครอบครัวเที่ยว
หลังจากใช้วิชาคุมองเรียบร้อยแล้ว เคาะค่ะเคาะเอาที่นี่เลย แพ 500 ไร่ เราจองห้องแบบ Deluxe (air) สำหรับ 4 คน 2 คืน หัวละ19,000 บาท ซึ่งรวมทุกอย่างทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร ค่ารถตู้จากสนามบินไปยังเขื่อน ค่าเรือไปที่พัก ฯลฯ ส่วนค่าเครื่องบิน ได้โปรไป-กลับของ Air Asia อีก 1,800บาท
เอาล่ะถึงเวลาออกเดินทาง เย้!!
วันที่เดินทาง เราและครอบครัวสตาร์ทกันที่ดอนเมือง นั่งเครืองไปลงสุราษธานี ใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงบนเครื่อง พอถึงสนามบินสุราษฯแล้วรถตู้ที่ทางรีสอร์ทจัดให้ไปที่เขื่อนเชี่ยวหลานก็มารับ ใช้เวลาอีกประมาณ 45 นาทีได้ ข้อดีของการมาช่วงโลวคือรถตู้ก็จะมีแต่ครอบครัวเราเท่านั้น บอกเลยว่าexclusive กันไปอี๊ก ตอนถึงเขื่อนเค้าก็จะจอดรถที่จุดชมวิวของเขื่อนให้เราได้ถ่ายรูปบรรยากาศกัน จะบอกว่าที่เขื่อนสวยมากกก น้ำใสสีเขียวและภูเขารอบๆนั้นสวยเหมือนในหนังแฟนตาซีมากๆ ต้องมาสัมผัสเองจริงๆค่ะ
พอเราชื่นชมบรรยากาศและถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว เราก็ไปขึ้นเรือต่อไปยังรีสอร์ทอีกชั่วโมงนึงค่ะ
วันที่ไปแดดแรงมากกก แล้วเรือที่เรานั่งก็มีหลังคาเป็นผ้าบางๆเท่านั้นค่ะ (ตามภาพข้างบนเลย)
เราก็ต้องทนนั่งตากแดดไป ไม่มีที่หลบแดด พอปิ้งกันไปได้ซักพัก อยู่ดีๆสภาพอากาศเปลี่ยนค่ะ เริ่มฟ้ามืด เริ่มหนาว มีหมอกเข้า และพี่ไกด์ที่ดูแลเราก็เริ่มเก็บหลังคาเรือ เราก็อ้าว ทำไมเก็บคะ เค้าบอกว่าฝนกำลังจะตก เดี๋ยวหลังคาเปียกและมันจะไม่แห้งค่ะ 5555 อ่าวเห้ย แล้วเราล่ะ?! เสื้อผ้าหน้าผม ไหนจะสัมภาระอลังการของพวกเรา เราย้ายกันไปมานานมาก เพราะทุกคนเอากระเป๋าผ้ามาต้องหาที่หลบฝนเดี๋ยวจะเปียก มีของเราที่โชคดีเลือกเอาเคสกระเป๋าแบบกันน้ำไปไม่งั้นจบจริง! พี่สาวกับคุณแม่ก็เลยต้องย้ายเสื้อผ้าบางส่วนมาไว้กับเรา กระเป๋าแทบจะแตก
ในภาพข้างล่างนี่คือฝนกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆค่ะ น่ากลัวเว่อออร์ แต่ก็ดีไปอีกแบบนะ สวยมากเลยเหมือนในหนัง 555 ไม่มาหน้าฝนก็คงไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนี้
ตามนั้นค่ะ!!
ฝนก็กระหน่ำพรั่งพรูกันลงมาตามภาพมโน เราก็ต้องสะเทิ้นฝนสะเทิ้นลม ลมพัดตีไปพร้อมๆฝน อื้อหือ หนาวสั่นเลยค่ะ บอกเลยมันมากแต่ก็ไม่ได้อันตรายอะไร ระหว่างทางที่เดินทางไปยังรีสอร์ทก็จะมีจุดแวะชมวิวซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของเขื่อนนี้เลย เรียกว่า เขาสามเกลือ ทัศนียภาพคล้ายกุ้ยหลินที่ประเทศจีน นี่แหละที่พีคมาก เรามาเพื่อจุดๆนี้
และนี่ก็คือบรรยากาศระหว่างการเดินทางไปยังรีสอร์ทค่ะ
ค่ะ! ก็มีความเดินทางลำบากเล็กน้อย แต่พวกเราแอบประทับใจนะคะเพราะเป็นประสบการณ์แปลกๆที่ยังไม่เคยเจอ
แต่พอถึงที่รีสอร์ทระดับความพีค พีคขึ้นไปอี๊ก (เสียงสู๊งโซปราโน) สวยมากกกกกกกก
น้ำนี่ใสสุดๆ มีภูเขาล้อมรอบ ฟ้าใสสว่าง อื้อหือ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วจริงๆค่ะ
เป็นไงล่าาา สวยใช่มั้ยล่ะ
เรานี่กรี๊ดดดด วิ่งไปที่หน้าต่าง กระโดดจากระเบียงห้องลงน้ำทันทีเลยค่ะ 5555 น้ำใสมากกกก
เดี๋ยวมาเล่าต่อๆ
[CR] เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลานหน้าฝนก็ได้หร๊อ???? (เสียงสูง)
ช่วงโลวแบบนี้แน่นอนแพคเกจเที่ยวอย่างถูก คนไม่เยอะไม่ต้องแย่งกันกินกันเที่ยวเพราะมันคือหน้าฝน แต่อีกแหละก็ต้องวัดดวง ใช่ว่าฝนจะตกทุกวันจริงมั้ย…อันนี้ปลอบใจตัวเองเบาๆ แต่บอกเลยว่าทริปนี้หลังจากกลับมามันได้ประสบการณ์อีกฟีลที่หลายคนอาจจะไม่เคยสัมผัส และมันก็แอดเวนเจอร์มากกก
เมื่อตัดสินใจจะลุยทะเลหน้าฝน ก็ต้องหาที่เที่ยวซิจ๊ะ...หลังจากเดินงานท่องเที่ยวไทยขาแทบลาก ก็ไปสะดุดตากับบูธนึงแม้จะไม่ใช่ทะเลอย่างที่คิดไว้แต่น่าสนใจสุดๆเลย ที่นั่นก็คือ เขื่อนเชี่ยวหลาน เห็นว่าสวยดีน่าไป ก็เลยซื้อแพคเกจเป็นของขวัญพาครอบครัวเที่ยว
หลังจากใช้วิชาคุมองเรียบร้อยแล้ว เคาะค่ะเคาะเอาที่นี่เลย แพ 500 ไร่ เราจองห้องแบบ Deluxe (air) สำหรับ 4 คน 2 คืน หัวละ19,000 บาท ซึ่งรวมทุกอย่างทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร ค่ารถตู้จากสนามบินไปยังเขื่อน ค่าเรือไปที่พัก ฯลฯ ส่วนค่าเครื่องบิน ได้โปรไป-กลับของ Air Asia อีก 1,800บาท
เอาล่ะถึงเวลาออกเดินทาง เย้!!
วันที่เดินทาง เราและครอบครัวสตาร์ทกันที่ดอนเมือง นั่งเครืองไปลงสุราษธานี ใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงบนเครื่อง พอถึงสนามบินสุราษฯแล้วรถตู้ที่ทางรีสอร์ทจัดให้ไปที่เขื่อนเชี่ยวหลานก็มารับ ใช้เวลาอีกประมาณ 45 นาทีได้ ข้อดีของการมาช่วงโลวคือรถตู้ก็จะมีแต่ครอบครัวเราเท่านั้น บอกเลยว่าexclusive กันไปอี๊ก ตอนถึงเขื่อนเค้าก็จะจอดรถที่จุดชมวิวของเขื่อนให้เราได้ถ่ายรูปบรรยากาศกัน จะบอกว่าที่เขื่อนสวยมากกก น้ำใสสีเขียวและภูเขารอบๆนั้นสวยเหมือนในหนังแฟนตาซีมากๆ ต้องมาสัมผัสเองจริงๆค่ะ
พอเราชื่นชมบรรยากาศและถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว เราก็ไปขึ้นเรือต่อไปยังรีสอร์ทอีกชั่วโมงนึงค่ะ
วันที่ไปแดดแรงมากกก แล้วเรือที่เรานั่งก็มีหลังคาเป็นผ้าบางๆเท่านั้นค่ะ (ตามภาพข้างบนเลย)
เราก็ต้องทนนั่งตากแดดไป ไม่มีที่หลบแดด พอปิ้งกันไปได้ซักพัก อยู่ดีๆสภาพอากาศเปลี่ยนค่ะ เริ่มฟ้ามืด เริ่มหนาว มีหมอกเข้า และพี่ไกด์ที่ดูแลเราก็เริ่มเก็บหลังคาเรือ เราก็อ้าว ทำไมเก็บคะ เค้าบอกว่าฝนกำลังจะตก เดี๋ยวหลังคาเปียกและมันจะไม่แห้งค่ะ 5555 อ่าวเห้ย แล้วเราล่ะ?! เสื้อผ้าหน้าผม ไหนจะสัมภาระอลังการของพวกเรา เราย้ายกันไปมานานมาก เพราะทุกคนเอากระเป๋าผ้ามาต้องหาที่หลบฝนเดี๋ยวจะเปียก มีของเราที่โชคดีเลือกเอาเคสกระเป๋าแบบกันน้ำไปไม่งั้นจบจริง! พี่สาวกับคุณแม่ก็เลยต้องย้ายเสื้อผ้าบางส่วนมาไว้กับเรา กระเป๋าแทบจะแตก
ในภาพข้างล่างนี่คือฝนกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆค่ะ น่ากลัวเว่อออร์ แต่ก็ดีไปอีกแบบนะ สวยมากเลยเหมือนในหนัง 555 ไม่มาหน้าฝนก็คงไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนี้
ตามนั้นค่ะ!!
ฝนก็กระหน่ำพรั่งพรูกันลงมาตามภาพมโน เราก็ต้องสะเทิ้นฝนสะเทิ้นลม ลมพัดตีไปพร้อมๆฝน อื้อหือ หนาวสั่นเลยค่ะ บอกเลยมันมากแต่ก็ไม่ได้อันตรายอะไร ระหว่างทางที่เดินทางไปยังรีสอร์ทก็จะมีจุดแวะชมวิวซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของเขื่อนนี้เลย เรียกว่า เขาสามเกลือ ทัศนียภาพคล้ายกุ้ยหลินที่ประเทศจีน นี่แหละที่พีคมาก เรามาเพื่อจุดๆนี้
และนี่ก็คือบรรยากาศระหว่างการเดินทางไปยังรีสอร์ทค่ะ
ค่ะ! ก็มีความเดินทางลำบากเล็กน้อย แต่พวกเราแอบประทับใจนะคะเพราะเป็นประสบการณ์แปลกๆที่ยังไม่เคยเจอ
แต่พอถึงที่รีสอร์ทระดับความพีค พีคขึ้นไปอี๊ก (เสียงสู๊งโซปราโน) สวยมากกกกกกกก น้ำนี่ใสสุดๆ มีภูเขาล้อมรอบ ฟ้าใสสว่าง อื้อหือ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วจริงๆค่ะ
เป็นไงล่าาา สวยใช่มั้ยล่ะ
เรานี่กรี๊ดดดด วิ่งไปที่หน้าต่าง กระโดดจากระเบียงห้องลงน้ำทันทีเลยค่ะ 5555 น้ำใสมากกกก
เดี๋ยวมาเล่าต่อๆ