พอดีเมื่อวันศุกร์ ผมสัมภาษณ์ และอนุมัติให้รับ
เด็กจบใหม่เข้าทำงานหนึ่งคน เลยนึกถึง
ช่วงเวลาที่ตัดสินใจลาออกครั้งสุดท้าย
จึงอยากแชร์ให้ทุกท่าน ที่กำลังตัดสินใจ
จะเริ่มต้นกิจการ ได้ลองแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน
ย้อนไปเมื่อ 13ปีก่อน ขณะที่ผมทำงานประจำ
ผมเองก็ฝันอยากมีเงินเยอะๆ เหมือนทุกคน
ผมกับแฟน ชวนคุยกัน เราต้องการเงินเท่าไหร่
ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนลูก ค่าสินสอด แต่งงาน
ซึ่งเมื่อนับๆ ดูแล้ว พบว่าเป็นไปไม่ได้เลย
ที่เราจะทำทุกอย่างด้วยเงินเดือนแค่ หมื่นสอง
แม้ว่าตอนนั้น 1.2 หมื่นจะถือว่าเยอะแล้ว
สำหรับเด็กจบใหม่ นี่ยังไม่พูดถึงเที่ยวเมืองนอก
ขับรถหรู บ้านหลังใหญ่
ที่พิมพ์น้ำมาเยอะก็เพราะอยากให้ทุกท่าน
ได้ทบทวน ว่าท่านเคยมีความรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า
ถ้าเคยมี หรือกำลังรู้สึกอยู่ ผมให้กำลังใจครับ
ว่าจุดเริ่มต้นของเราไม่ต่างกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เราสองคน จึงชวนกัน
หารายได้เสริม ทุอย่างเท่าที่จะคิดได้
ช่วงนั้นยังไม่มีเฟส มี Hi5 มีเว็บทั่วไป
เราพยายามหาของมาขายทางเว็บ
ทำนามบัตร รับงานบัญชี แล้วไล่แจก
ทุกคนที่รู้จัก ผมมีนามบัตร รับทำเว็บไซท์อีกด้วย
เรียกว่าคิดเรื่องหาเงินกันตลอด
จนเมื่อรายได้เสริมเริ่มแซงงานประจำ
ผมจึงคิดเรื่องลาออก
มาถึงจุดนี้ หลายท่านคงเคยผ่านมาแล้ว
แต่ผมก็เชื่อว่าหลายท่าน ก็ยังไม่อาจจะเดินทะลุ
ผ่านกำแพงไฟอันนี้ไปได้ อาจเพราะด้วย
ความจำเป็นต่างๆ หรือเพราะรู้สึก
ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีอยู่แล้ว
พอคิดเรื่องลาออก ผมก็ไปปรึกษาทุกคนที่ผมไว้ใจ
บางคนก็ สนับสนุน บางคนก็ไม่เห็นด้วย
เช่นว่าเรายังเด็ก ควรเก็บ ปสก.มากกว่านี้ก่อน
โชคยังดีที่พ่อกับแม่ผม และว่าที่แม่ยาย ขณะนั้น
ล้วนแต่เปิดร้าน ขายของ จึงไม่ห้าม อีกทั้งยัง
เชียร์ให้ทำอีกด้วย
ขณะนั้นสิ่งที่ผมคิด คือ ถ้าพลาด จุดที่แย่ที่สุด
คือตรงไหน แล้วผมจะแก้อย่างไร
คำตอบตอนนั้นคือ ผมไม่ได้กู้เค้ามาทำ ถ้าเงินหมด คงขอข้าวที่บ้านกิน แล้วไปสมัครงานใหม่อีกครั้ง
หรือ อย่างช้าภายใน 2ปี ถ้าไม่ได้เรื่อง ก็จะกลับ
ไปหางานใหม่ จากนั้นผมก็ไปลาออก
ณ.จุดนี้ ผมอยากให้ทุกท่านสังเกตดู
การที่ผมเก็บเงินในช่วงต้นของการทำงาน
แม้ว่าจะไม่ได้มากมาย แต่ด้วยเราใช้เงินน้อย
อีกทั้งไม่มีภาระ จึงทำให้การตัดสินใจง่าย
ซึ่งหากมีภาระแล้วย่อมทำให้การตัดสินใจยากขึ้น
แต่หากเรามีวินัยในการเก็บออม จนได้เพียงพอ
ที่จะเสี่ยงแล้ว เรื่องการลาออกครั้งสุดท้าย
ย่อมเกิดขึ้นได้
หลังจากลาออกแล้ว ผมกลับมาอยู่ทำงานที่บ้าน
ตั้งใจทำงาน รายได้พออยู่ได้ แต่พอดีว่าที่บ้าน
มีปัญหา คุณแม่ขอให้มาช่วยงานบริษัท
ก็เลยยาว ตามที่ทุกท่านได้อ่านในกระทู้ก่อน
ซึ่งช่วงแรก ที่กลับไปช่วยที่บ้าน ยังมีงานลูกค้าส่วนตัว ค้าง ต้องเคลียร์อยู่พักนึง
สรุป การลาออกจากงานนั้น เป็นการเปิดโอกาส
ให้ตัวเอง แม้จะมีความเสี่ยง ที่จะไม่สำเร็จ
แต่ก็อาจจะพลิกชีวิตเลยก็เป็นได้
สิ่งที่ควรทำ คือ การกำหนดทางหนี ปิดความเสี่ยง
เมื่อพิจารณาดีแล้ว ว่าแย่ที่สุด คืออะไร
เรารับได้หรือไม่ ถ้ายังรับไม่ได้
ก็ควรจะกลับไปเตรียมตัวก่อน สะสมเงินสำรอง
ให้เพียงพอก่อน แต่ถ้ายอมรับได้แล้ว
ก็ลุยอย่างมีสติ และ คอยหมั่นประเมินสถานการณ์
ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
แชร์ประสบการณ์ ... การลาออกครั้งสุดท้าย
เด็กจบใหม่เข้าทำงานหนึ่งคน เลยนึกถึง
ช่วงเวลาที่ตัดสินใจลาออกครั้งสุดท้าย
จึงอยากแชร์ให้ทุกท่าน ที่กำลังตัดสินใจ
จะเริ่มต้นกิจการ ได้ลองแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน
ย้อนไปเมื่อ 13ปีก่อน ขณะที่ผมทำงานประจำ
ผมเองก็ฝันอยากมีเงินเยอะๆ เหมือนทุกคน
ผมกับแฟน ชวนคุยกัน เราต้องการเงินเท่าไหร่
ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนลูก ค่าสินสอด แต่งงาน
ซึ่งเมื่อนับๆ ดูแล้ว พบว่าเป็นไปไม่ได้เลย
ที่เราจะทำทุกอย่างด้วยเงินเดือนแค่ หมื่นสอง
แม้ว่าตอนนั้น 1.2 หมื่นจะถือว่าเยอะแล้ว
สำหรับเด็กจบใหม่ นี่ยังไม่พูดถึงเที่ยวเมืองนอก
ขับรถหรู บ้านหลังใหญ่
ที่พิมพ์น้ำมาเยอะก็เพราะอยากให้ทุกท่าน
ได้ทบทวน ว่าท่านเคยมีความรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า
ถ้าเคยมี หรือกำลังรู้สึกอยู่ ผมให้กำลังใจครับ
ว่าจุดเริ่มต้นของเราไม่ต่างกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เราสองคน จึงชวนกัน
หารายได้เสริม ทุอย่างเท่าที่จะคิดได้
ช่วงนั้นยังไม่มีเฟส มี Hi5 มีเว็บทั่วไป
เราพยายามหาของมาขายทางเว็บ
ทำนามบัตร รับงานบัญชี แล้วไล่แจก
ทุกคนที่รู้จัก ผมมีนามบัตร รับทำเว็บไซท์อีกด้วย
เรียกว่าคิดเรื่องหาเงินกันตลอด
จนเมื่อรายได้เสริมเริ่มแซงงานประจำ
ผมจึงคิดเรื่องลาออก
มาถึงจุดนี้ หลายท่านคงเคยผ่านมาแล้ว
แต่ผมก็เชื่อว่าหลายท่าน ก็ยังไม่อาจจะเดินทะลุ
ผ่านกำแพงไฟอันนี้ไปได้ อาจเพราะด้วย
ความจำเป็นต่างๆ หรือเพราะรู้สึก
ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีอยู่แล้ว
พอคิดเรื่องลาออก ผมก็ไปปรึกษาทุกคนที่ผมไว้ใจ
บางคนก็ สนับสนุน บางคนก็ไม่เห็นด้วย
เช่นว่าเรายังเด็ก ควรเก็บ ปสก.มากกว่านี้ก่อน
โชคยังดีที่พ่อกับแม่ผม และว่าที่แม่ยาย ขณะนั้น
ล้วนแต่เปิดร้าน ขายของ จึงไม่ห้าม อีกทั้งยัง
เชียร์ให้ทำอีกด้วย
ขณะนั้นสิ่งที่ผมคิด คือ ถ้าพลาด จุดที่แย่ที่สุด
คือตรงไหน แล้วผมจะแก้อย่างไร
คำตอบตอนนั้นคือ ผมไม่ได้กู้เค้ามาทำ ถ้าเงินหมด คงขอข้าวที่บ้านกิน แล้วไปสมัครงานใหม่อีกครั้ง
หรือ อย่างช้าภายใน 2ปี ถ้าไม่ได้เรื่อง ก็จะกลับ
ไปหางานใหม่ จากนั้นผมก็ไปลาออก
ณ.จุดนี้ ผมอยากให้ทุกท่านสังเกตดู
การที่ผมเก็บเงินในช่วงต้นของการทำงาน
แม้ว่าจะไม่ได้มากมาย แต่ด้วยเราใช้เงินน้อย
อีกทั้งไม่มีภาระ จึงทำให้การตัดสินใจง่าย
ซึ่งหากมีภาระแล้วย่อมทำให้การตัดสินใจยากขึ้น
แต่หากเรามีวินัยในการเก็บออม จนได้เพียงพอ
ที่จะเสี่ยงแล้ว เรื่องการลาออกครั้งสุดท้าย
ย่อมเกิดขึ้นได้
หลังจากลาออกแล้ว ผมกลับมาอยู่ทำงานที่บ้าน
ตั้งใจทำงาน รายได้พออยู่ได้ แต่พอดีว่าที่บ้าน
มีปัญหา คุณแม่ขอให้มาช่วยงานบริษัท
ก็เลยยาว ตามที่ทุกท่านได้อ่านในกระทู้ก่อน
ซึ่งช่วงแรก ที่กลับไปช่วยที่บ้าน ยังมีงานลูกค้าส่วนตัว ค้าง ต้องเคลียร์อยู่พักนึง
สรุป การลาออกจากงานนั้น เป็นการเปิดโอกาส
ให้ตัวเอง แม้จะมีความเสี่ยง ที่จะไม่สำเร็จ
แต่ก็อาจจะพลิกชีวิตเลยก็เป็นได้
สิ่งที่ควรทำ คือ การกำหนดทางหนี ปิดความเสี่ยง
เมื่อพิจารณาดีแล้ว ว่าแย่ที่สุด คืออะไร
เรารับได้หรือไม่ ถ้ายังรับไม่ได้
ก็ควรจะกลับไปเตรียมตัวก่อน สะสมเงินสำรอง
ให้เพียงพอก่อน แต่ถ้ายอมรับได้แล้ว
ก็ลุยอย่างมีสติ และ คอยหมั่นประเมินสถานการณ์
ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ