เค้าว่ากันว่า ใครมีเงินมากกว่าชนะ มันจริงหรือเปล่าน้า ไหนมาดูกันสิ

ตลาดใดหรือตลาดอะไรไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ ที่ไหนมีตลาดที่นั่นต้องอยู่บนกฏของ Supply Demand Law ตลาดทุกตลาด ผลิตภัณฑ์และสินค้าทุกชนิด มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า Value

ถามว่า Price กับ Value ต่างกันได้มั๊ย ตอบเลยว่าได้ เพราะ Price Behevior นั้นไม่ได้วัดกันที่ Supply Demand เท่านั้น แต่ Price Behevior แท้จริง = Supply Demand Law + Human Nature เพราะฉะนั้นอย่าได้แปลกใจใด ๆ ถ้าเมื่อวานหุ้นขึ้นแรง วันนี้หุ้นลงมาซะเฉย ๆ Human Nature ที่เต็มไปด้วย อารมณ์ โลภ กลัว ตระหนก วิตกกังวล เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Price ไม่สะท้อน Value ที่แท้จริง
นั่นจึงเป็นช่องโหว่สำคัญ ที่ทำให้คนที่รู้ Value แท้จริงของตลาดนั้น ๆ ใช้ช่องโหว่นี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด



กราฟแรกที่เห็น ไม่ว่าจะวัดด้วย Indicator อะไรหรือ candlestick pettern อะไรก็บอกว่ามันต้องขึ้น เมื่อคนส่วนใหญ่ที่ศึกษาเทรดมาเหมือน ๆ กัน อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน เห็นแบบนี้แน่นอนกระโจนเข้าใส่จะด้วยสิ่งบอกเหตุอะไรก็ตาม รวมถึง human nature ด้วย แต่!!!!



What the hell is going on?
ทำไมผลที่ตามมามันเป็นแบบนี้ล่ะ อะไรทำให้มันเป็นแบบนี้ คุณคิดว่าแท่งเขียวสุดท้ายนั่นมี volume ในการซื้อเท่าไหร่ มี volume ในการขายเท่าไหร่ ไม่ต้องเดา มาดูความจริงกันเลยดีกว่า (ตัดปัญหาคำว่า “เค้าว่ากันว่า” ออกไปเลย)



เมื่อซูมเข้าไปดู แท่งหมายเลข 4 volume จริง ๆ ในการซื้อ ลบออกจาก volume ในการขาย ฝั่งซื้อมันเยอะกว่าอยู่แล้ว คำถามคือทำไมมันหยุด ทำไมมันไม่ไปต่อ ไหนบอกว่าฝ่ายไหนมากกว่าชนะไง ^_^ Trading มันก็เป็นแค่เกมส์ ๆ หนึ่งเหมือนกันครับ ไม่ได้ต่างจากเกมส์อื่น ๆ สักเท่าไหร่ คนที่รู้ Value ตลาดไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่นั่งเฉย ๆ ขุมหลุมรอ ปล่อยให้คนที่มี human nature และพึ่งอะไรสักอย่างที่ใช้คณิตศาสตร์ในการคำนวณค่าหรือที่เรียกว่า Indicator นำทาง มาติดกับดัก หาก volume เยอะ ๆ ที่ราคา 2170.75, 2172 ไหงราคาต่อจากนั้น volume ถึงหายไปเฉย ๆ ล่ะ

คิดว่าพวกนักลงทุนสถาบันเค้าได้เงินจากใครเหรอครับ เอาจริง ๆ นะ เค้าก็รอนักลงทุนรายย่อยมาติดกับนั่นแหล่ะ เค้ารู้ว่า Value ที่แท้จริงมันอยู่ที่ไหน แล้วเค้าก็กินกันเองไม่ค่อยจะได้หรอก เพราะพวกนี้ถ้าไม่เก่ง ไม่ได้มาเป็นนักลงทุนสถาบันหรอกครับ เค้าเห็นในสิ่งที่นักลงทุนรายย่อยไม่เห็น และเค้าก็รู้ว่า Stop loss พวกท่านอยู่ที่ไหน ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกันมาทั้งนั้นอ่ะ เรียนก็ไปเรียนที่เดียวกันอีก



สิ่งที่เค้าทำไม่ได้ใช้เงินมากมายอะไร ตั้ง limit order รอไว้ใครซื้อขึ้นมาติด limit order หมด ถามว่า นักลงทุนรายย่อย มีกี่คนที่ซื้อที่ราคา 2172 แล้ว ตามซื้อขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ มีมั๊ย ก็อาจจะมีนะแต่จะถึง 5 % ของนักลงทุนรายย่อยทั้งหมดหรือเปล่า ส่วนใหญ่พอซื้อแล้วก็เอามือล้วงกระเป๋านั่งลุ้นอย่างเดียว คนที่มาใหม่เห็นเอ้า ซื้อเข้าไปที่ราคาเดิมเลยแต่มันไปไม่ได้หรอก มันติด limit order เมื่อเห็นว่าไปไม่ได้ ก็ชลอแล้วเหตุการไม่ดีแล้ว volume ก็หาย เมื่อ volume หาย พวกนักลงทุนสถาบันจะหรั่งหรือไม่หรั่งไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเค้ารู้ value ของตลาด เค้าออกแรงดันด้วย market order ไม่ต้องมากเดี๋ยวมันไปเอง มันจะไปเองได้ไง ตอบง่ายมาก มันไหลเพราะ stop losss ของนักลงทุนรายย่อยเนี่ยแหล่ะ

หลายคนอาจไม่รู้ ว่าจริง ๆ stop loss ไม่ใช่ limit order นะครับ จริง ๆ มันเป็นแค่ tricker เฉย ๆ เมื่อราคามาแตะเท่ากับบอกว่าให้ขาย ถ้าขายทันมันขายที่ราคานั้นแหล่ะ แต่ถ้าปริมาณ stop loss เยอะ ๆ มันขายที่ราคานั้นไม่หมดหรอก เพราะ volume ซื้อมันไม่มี มันก็ขายต่ำลงไปเรื่อย ๆ เพราะมันแปลงร่างเป็น market order ไปแล้วมันถึงไหลไง ถึงตรงนี้นักลงทุนสถาบันสบายแล้ว นั่งดูอย่างเดียว

ถามว่าเค้าจำเป็นต้องให้มันวิ่งไปไกล ๆ ถึงจะได้กำไรมั๊ย ตอบเลย จำนวน contract เยอะขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องวิ่งไกลครับ แค่หมดล๊อต stop loss เค้าได้ไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว นี่ยังไม่รวมรายย่อยที่ซื้อข้างล่างแล้ว panic sell ด้วยความกลัวด้วยนะ และยังไม่รวมพวกที่จ้อง sell มาสมทบและสิ่งที่เค้ารุ้เกี่ยวกับ value ของตลาดด้วยนะ ยิ่งรายย่อยซื้อในจุด top นั่นมากเท่าไหร่ ขากลับยิ่งไหลแรงก็เป็นเพราะประการฉะนี้แล

ที่โพสต์กระทู้นี้ขึ้นมาเพราะอยากจะบอกว่า ทุกสิ่งในโลกยกเว้นความรัก คุณใช้เหตุผลในการตัดสินใจกันได้เกือบทุกอย่าง ทำไมเรื่องเทรดถึงไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจละครับ คุณอยู่ในตลาด มองตลาดซิครับ อย่ามอง indicator (indicator can not move price) ถามว่า indicator ใช้ได้มั๊ย ได้ซิ แต่มันต้องอยู่บนพื้นฐานของ Market Structure ฝากไว้แค่นี้ครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่