นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ผมรอคอยมานานพอสมควรตั้งแต่ปี 2014 ที่ได้ทราบข่าวว่า Warner จะสร้างเรื่องนี้ แต่ที่ผมสนใจกว่านั้นคือการที่ผู้กำกับของเป็น David Ayer ที่ในปี 2014 นั้น Ayer ได้สร้าง Fury ไว้ดุดันและตราตรึงจนทำรายได้ถล่มทลาย
แต่แท้จริงแล้ว งานของ Ayer ผมก็ประทับใจมาตั้งแต่สมัยเรียนอย่างเช่นแกเขียนบทเรื่อง Training Day จนทำให้ลุง Denzel ได้ Oscars มานอนกอดไป หรือแม้กระทั่งหนัง The Fast and the Furious หรือ S.W.A.T ก็ทำเนื้อเรื่องได้สนุก หรือหนังคะแนนต่ำอย่าง Street Kings แกก็กำกับได้สนุก แต่ถ้าประทับใจที่สุดในผลงานของแกก็คงเป็น End of Watch (แกเป็นทหารเก่า แกเลยถนัดงานด้านตำรวจกับทหารเป็นพิเศษ)
รู้สึกตัวอีกที ผมก็ชอบหนังตำรวจสไตล์หม่นๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของงานแกไปแล้ว จึงทำให้คาดว่า Ayer จะทำ Suicide Squad ได้ดี มาถึงตรงนี้รบกวนขอตัดเรื่องการเอา Comic มาเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ ผมจะให้ความเห็นในเรื่องของตัวภาพยนตร์เป็นหลัก
Suicide Squad คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายนัก ซึ่งรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องราวหลังจากการตายของ Superman ที่ผ่านมา (ใน BvS) และ Amanda Waller ได้ปรึกษากับกลาโหมถึงการตั้งกลุ่มเหล่าวายร้ายที่ถูกจับขังคุกขึ้นมาเป็นทีมกล้าตายเฉพาะกิจ อาทิเช่น Deadshot, Killer Croc, Boomerang, El Diablo และตัวร้ายดาวเด่นของเรื่องอย่าง Harley Quinn ที่ถูกคนรักอย่าง Joker ทิ้งไว้ให้ถูก Batman จับขังคุก จนกระทั่งได้เกิดเหตุการณ์ใน Midway City อันเป็นผลมาจากการไม่สามารถควบคุม Enchantress ที่สิงอยู่ในร่างของ June Moone จนทำให้ Enchantress ออกอาละวาดหวังยึดโลกโดยใช้พลังของตัวเองจัดการ ทำให้เหล่าบรรดาวายร้ายทั้งหมดต้องออกมาเป็นด่านหน้าเอาชีวิตไปเสี่ยงตายเพื่อแลกกับอิสรภาพ
เนื้อเรื่องถือว่า David Ayer เขียนได้ดี และเป็นการปูเรื่องของตัวละครได้กระชับและเคลียร์กว่า Batman V Superman โดยเป็นการผสมผสานระหว่างเรื่องปัจจุบันสลับกับ Flashback ในอดีต ทำให้ดูแล้วเข้าใจง่าย ไม่งง แต่จุดบอดของเรื่องนี้คือมันเป็นสูตรสำเร็จมากเกินไป
ซึ่ง DC เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาแล้วใน Green Lantern ที่เลือกใช้สูตรสำเร็จมากเกินไป ผลลัพท์ที่ได้มันก็เลยผิดหวัง ซึ่ง Green Lantern ได้ผู้กำกับมือเทพอย่าง Martin Campbell มากำกับ ก็ยังไม่สามารถทำให้ดีได้ และ David Ayer ก็ตามรอยไปแบบเดียวกัน (เดี๋ยวจะวิเคราะห์ตอนท้ายถึงสาเหตุ)
จุดบอดที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างความเสียหายให้กับตัวละครอื่นอย่างเห็นได้ชัดเช่น Rick Flag ที่ได้ Joel Kinnaman มารับบท ก็กลับไม่โดดเด่นทั้งที่เป็น Leader
หรืออย่าง Joker ที่หลายๆ คนคาดว่า Jared Leto จะเป็น Joker ที่เท่และทรงพลัง แต่ก็กลับทำให้ Joker ภาคนี้เหมือนเป็นตัวประกอบละครไทยค่าตัว 500฿ ต่อวันไปซะได้! แต่บทน้อยต่อยหนักกลับกลายเป็น El Diablo แทนซะงั้น!
Graphic เป็นอะไรที่ดูแล้วแอบประทับใจพอสมควร คาดเดาได้เลยว่า David Ayer คงเล่นเกม Saint Row มาก่อนกำกับแน่นอน ยิ่งฉากที่ Joker บุกไปถล่มโรงงาน Wayne Chemical ยังสวมชุด Mascot เข้าไปถล่ม และมุมกล้องก็มีการ Handheld พอสมควร คือดูแล้วก็คิดถึง Saint Row มาก
ส่วนที่ผิดหวังเลยคือดนตรีที่ได้ Steven Price ที่เป็น Composer มือทองระดับ Oscars จากเรื่อง Gravity มาทำดนตรีให้ Ayer ตั้งแต่ Fury และเรื่องนี้ แต่ Suicide Squad กลับไม่ได้รู้สึกถึงความหม่นด้านดนตรีประกอบและแรง Bass กดอารมณ์ที่ Price จะถนัดมากเหมือนที่ทำให้ Gravity ดังนั้นเรื่องนี้มันเลยถูกลดระดับลงไป
ส่วนที่ผิดหวังต่อมาคือ Editor อย่าง John Gilroy ผมรู้จักเขาจากที่เขาเป็นหนึ่งใน Gilroy Family
พี่ชายแกคือ Tony Gilroy ผู้กำกับและมือเขียนบทระดับต้นๆ ของ Hollywood ซึ่ง John Gilroy เป็นฝาแฝดกับ Dan Gilroy ที่เป็นกู้กำกับและเขียนบท ด้าน John จะมาทางสายตัดต่อมีผลงานอย่างเช่น Micahel Clayton, The Bourne Lagacy, Nightcrawler และ Pacific Rim ซึ่งล้วนเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องได้สนุก แถมตัว John ก็เคยได้เข้าชิง BAFTA Award สาขา Best Editor มาด้วย แต่ Suicide Squad มันฟ้องออกมาให้เห็นเหมือนว่า John Gilroy ไม่ได้ตัดต่อเรื่องนี้ เพราะสไตล์มันดูแปลกๆ การลำดับภาพที่ช่วงแรกกระชับ แต่พอผ่านไปได้สักพักเริ่มยืดๆ ฉาก Action ก็ตัดออกมาไม่ค่อยเร้าใจ ระหว่างที่ผมดูก็สงสัยว่า John มันตัดจริงหรอวะ? ทำไมใน Pacific Rim มันตัดโคตรรดี
End Credit ท้ายมีชื่อตัวละครลับแทรกเข้ามาคือชื่อของ Producer ที่ในตอนแรกจะมีแค่ Charles Roven กับ Richard Suckle ที่เป็นคนของ Warner กับ Atlas Ent. ตามลำดับ และตัวละครลับที่ว่าคือ Geoff Johns ที่เป็น CCO ของ DC Comics และเพิ่งได้รับหน้าที่เข้ามาควบคุมงานของ DC Universe ทั้งหมด ด้วยความคาใจจากชื่อของ Geoff Johns ที่เข้ามาแทรกดื้อๆ เลยนั่งหาข่าวที่เกี่ยวข้องเมื่อคืน
เลยได้ทราบว่ามีการตัดต่อลำดับภาพขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยให้ Michael Tronick มือ Edit ที่เคยเข้าชิง Oscars สาขา Best Editor จาก Scent of a Woman และ Hairspray เข้ามาทำการลำดับภาพใหม่อีกครั้ง (เอ้า! แบบนี้ได้ต่อยกับ John Gilroy ไหมเนี่ย?) ฉะนั้นเรื่องนี้อาจจะเป็นข้อผิดพลาดที่ David Ayer ยอมให้ Geoff Johns และค่ายเข้ามาปรับเปลี่ยนภาพยนตร์จน Suicide Squad ไม่มี Tone หม่นๆ แบบของ Ayer หายไปเยอะพอสมควร ซึ่งถ้าคนที่ดูงานของ Ayer มาระดับหนึ่งจะรู้ว่าสไตล์งานของเขาเป็นเช่นไร และนี่คืองานที่แทบไม่มีความเป็น Ayer เลย ในส่วนนี้ถ้า Ayer ยอมหักไม่ยอมงอเหมือนที่ Joss Whedon กับ James Gunn แข็งกับ Marvel จนงานออกมาสนุกและเป็นสไตล์ตัวเอง Suicide Squad อาจจะสนุกกว่านี้
เขียนมาซะยาวยืด สรุปโดยรวมส่วนตัวนะครับ เรื่องนี้อยู่ในระดับกลาง แต่ก็ดันเล่นแง่กับคนดูตรงที่ว่า มันคือเนื้อเรื่องต่อจาก BvS และจะเชื่อมต่อไปยัง Justice League ที่จะฉายในปีหน้า และเล่นแง่อีกที่ว่ามันมีเนื้อเรื่องคาบเกี่ยวกัน (ก็ DC Universe นี่เนอะ) ถ้าดูเอาสนุกเพื่อความบันเทิง เรื่องนี้ตอบโจทย์ครับ แต่ถ้าหวังว่าจะต้องเป็นภาพยนตร์ที่ตราตรึงใจแห่งปีแล้ว คงไม่สามารถเป็นได้ครับ ส่วนตัวขอชม Will Smith ที่เป็น Deadshot และมี Drama เข้ามาอย่างลงตัว ขอชม Margot Robbie ที่จัดเต็มกับบทของ Harley Quinn ได้ดีเยี่ยม ขอชม Cara Delevinge ที่ไม่ได้มีดีแค่เดินแบบกับหุ่น Sexy เพราะเธอมีดีที่การแสดงอันทรงพลังครับ
Suicide Squad การรวมของดาวร้ายที่คาดคิดไม่ได้ (Spoil เล็กน้อย)
นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ผมรอคอยมานานพอสมควรตั้งแต่ปี 2014 ที่ได้ทราบข่าวว่า Warner จะสร้างเรื่องนี้ แต่ที่ผมสนใจกว่านั้นคือการที่ผู้กำกับของเป็น David Ayer ที่ในปี 2014 นั้น Ayer ได้สร้าง Fury ไว้ดุดันและตราตรึงจนทำรายได้ถล่มทลาย
แต่แท้จริงแล้ว งานของ Ayer ผมก็ประทับใจมาตั้งแต่สมัยเรียนอย่างเช่นแกเขียนบทเรื่อง Training Day จนทำให้ลุง Denzel ได้ Oscars มานอนกอดไป หรือแม้กระทั่งหนัง The Fast and the Furious หรือ S.W.A.T ก็ทำเนื้อเรื่องได้สนุก หรือหนังคะแนนต่ำอย่าง Street Kings แกก็กำกับได้สนุก แต่ถ้าประทับใจที่สุดในผลงานของแกก็คงเป็น End of Watch (แกเป็นทหารเก่า แกเลยถนัดงานด้านตำรวจกับทหารเป็นพิเศษ)
รู้สึกตัวอีกที ผมก็ชอบหนังตำรวจสไตล์หม่นๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของงานแกไปแล้ว จึงทำให้คาดว่า Ayer จะทำ Suicide Squad ได้ดี มาถึงตรงนี้รบกวนขอตัดเรื่องการเอา Comic มาเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ ผมจะให้ความเห็นในเรื่องของตัวภาพยนตร์เป็นหลัก
Suicide Squad คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายนัก ซึ่งรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องราวหลังจากการตายของ Superman ที่ผ่านมา (ใน BvS) และ Amanda Waller ได้ปรึกษากับกลาโหมถึงการตั้งกลุ่มเหล่าวายร้ายที่ถูกจับขังคุกขึ้นมาเป็นทีมกล้าตายเฉพาะกิจ อาทิเช่น Deadshot, Killer Croc, Boomerang, El Diablo และตัวร้ายดาวเด่นของเรื่องอย่าง Harley Quinn ที่ถูกคนรักอย่าง Joker ทิ้งไว้ให้ถูก Batman จับขังคุก จนกระทั่งได้เกิดเหตุการณ์ใน Midway City อันเป็นผลมาจากการไม่สามารถควบคุม Enchantress ที่สิงอยู่ในร่างของ June Moone จนทำให้ Enchantress ออกอาละวาดหวังยึดโลกโดยใช้พลังของตัวเองจัดการ ทำให้เหล่าบรรดาวายร้ายทั้งหมดต้องออกมาเป็นด่านหน้าเอาชีวิตไปเสี่ยงตายเพื่อแลกกับอิสรภาพ
เนื้อเรื่องถือว่า David Ayer เขียนได้ดี และเป็นการปูเรื่องของตัวละครได้กระชับและเคลียร์กว่า Batman V Superman โดยเป็นการผสมผสานระหว่างเรื่องปัจจุบันสลับกับ Flashback ในอดีต ทำให้ดูแล้วเข้าใจง่าย ไม่งง แต่จุดบอดของเรื่องนี้คือมันเป็นสูตรสำเร็จมากเกินไป
ซึ่ง DC เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาแล้วใน Green Lantern ที่เลือกใช้สูตรสำเร็จมากเกินไป ผลลัพท์ที่ได้มันก็เลยผิดหวัง ซึ่ง Green Lantern ได้ผู้กำกับมือเทพอย่าง Martin Campbell มากำกับ ก็ยังไม่สามารถทำให้ดีได้ และ David Ayer ก็ตามรอยไปแบบเดียวกัน (เดี๋ยวจะวิเคราะห์ตอนท้ายถึงสาเหตุ)
จุดบอดที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างความเสียหายให้กับตัวละครอื่นอย่างเห็นได้ชัดเช่น Rick Flag ที่ได้ Joel Kinnaman มารับบท ก็กลับไม่โดดเด่นทั้งที่เป็น Leader
หรืออย่าง Joker ที่หลายๆ คนคาดว่า Jared Leto จะเป็น Joker ที่เท่และทรงพลัง แต่ก็กลับทำให้ Joker ภาคนี้เหมือนเป็นตัวประกอบละครไทยค่าตัว 500฿ ต่อวันไปซะได้! แต่บทน้อยต่อยหนักกลับกลายเป็น El Diablo แทนซะงั้น!
Graphic เป็นอะไรที่ดูแล้วแอบประทับใจพอสมควร คาดเดาได้เลยว่า David Ayer คงเล่นเกม Saint Row มาก่อนกำกับแน่นอน ยิ่งฉากที่ Joker บุกไปถล่มโรงงาน Wayne Chemical ยังสวมชุด Mascot เข้าไปถล่ม และมุมกล้องก็มีการ Handheld พอสมควร คือดูแล้วก็คิดถึง Saint Row มาก
ส่วนที่ผิดหวังเลยคือดนตรีที่ได้ Steven Price ที่เป็น Composer มือทองระดับ Oscars จากเรื่อง Gravity มาทำดนตรีให้ Ayer ตั้งแต่ Fury และเรื่องนี้ แต่ Suicide Squad กลับไม่ได้รู้สึกถึงความหม่นด้านดนตรีประกอบและแรง Bass กดอารมณ์ที่ Price จะถนัดมากเหมือนที่ทำให้ Gravity ดังนั้นเรื่องนี้มันเลยถูกลดระดับลงไป
พี่ชายแกคือ Tony Gilroy ผู้กำกับและมือเขียนบทระดับต้นๆ ของ Hollywood ซึ่ง John Gilroy เป็นฝาแฝดกับ Dan Gilroy ที่เป็นกู้กำกับและเขียนบท ด้าน John จะมาทางสายตัดต่อมีผลงานอย่างเช่น Micahel Clayton, The Bourne Lagacy, Nightcrawler และ Pacific Rim ซึ่งล้วนเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องได้สนุก แถมตัว John ก็เคยได้เข้าชิง BAFTA Award สาขา Best Editor มาด้วย แต่ Suicide Squad มันฟ้องออกมาให้เห็นเหมือนว่า John Gilroy ไม่ได้ตัดต่อเรื่องนี้ เพราะสไตล์มันดูแปลกๆ การลำดับภาพที่ช่วงแรกกระชับ แต่พอผ่านไปได้สักพักเริ่มยืดๆ ฉาก Action ก็ตัดออกมาไม่ค่อยเร้าใจ ระหว่างที่ผมดูก็สงสัยว่า John มันตัดจริงหรอวะ? ทำไมใน Pacific Rim มันตัดโคตรรดี
End Credit ท้ายมีชื่อตัวละครลับแทรกเข้ามาคือชื่อของ Producer ที่ในตอนแรกจะมีแค่ Charles Roven กับ Richard Suckle ที่เป็นคนของ Warner กับ Atlas Ent. ตามลำดับ และตัวละครลับที่ว่าคือ Geoff Johns ที่เป็น CCO ของ DC Comics และเพิ่งได้รับหน้าที่เข้ามาควบคุมงานของ DC Universe ทั้งหมด ด้วยความคาใจจากชื่อของ Geoff Johns ที่เข้ามาแทรกดื้อๆ เลยนั่งหาข่าวที่เกี่ยวข้องเมื่อคืน
เลยได้ทราบว่ามีการตัดต่อลำดับภาพขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยให้ Michael Tronick มือ Edit ที่เคยเข้าชิง Oscars สาขา Best Editor จาก Scent of a Woman และ Hairspray เข้ามาทำการลำดับภาพใหม่อีกครั้ง (เอ้า! แบบนี้ได้ต่อยกับ John Gilroy ไหมเนี่ย?) ฉะนั้นเรื่องนี้อาจจะเป็นข้อผิดพลาดที่ David Ayer ยอมให้ Geoff Johns และค่ายเข้ามาปรับเปลี่ยนภาพยนตร์จน Suicide Squad ไม่มี Tone หม่นๆ แบบของ Ayer หายไปเยอะพอสมควร ซึ่งถ้าคนที่ดูงานของ Ayer มาระดับหนึ่งจะรู้ว่าสไตล์งานของเขาเป็นเช่นไร และนี่คืองานที่แทบไม่มีความเป็น Ayer เลย ในส่วนนี้ถ้า Ayer ยอมหักไม่ยอมงอเหมือนที่ Joss Whedon กับ James Gunn แข็งกับ Marvel จนงานออกมาสนุกและเป็นสไตล์ตัวเอง Suicide Squad อาจจะสนุกกว่านี้
เขียนมาซะยาวยืด สรุปโดยรวมส่วนตัวนะครับ เรื่องนี้อยู่ในระดับกลาง แต่ก็ดันเล่นแง่กับคนดูตรงที่ว่า มันคือเนื้อเรื่องต่อจาก BvS และจะเชื่อมต่อไปยัง Justice League ที่จะฉายในปีหน้า และเล่นแง่อีกที่ว่ามันมีเนื้อเรื่องคาบเกี่ยวกัน (ก็ DC Universe นี่เนอะ) ถ้าดูเอาสนุกเพื่อความบันเทิง เรื่องนี้ตอบโจทย์ครับ แต่ถ้าหวังว่าจะต้องเป็นภาพยนตร์ที่ตราตรึงใจแห่งปีแล้ว คงไม่สามารถเป็นได้ครับ ส่วนตัวขอชม Will Smith ที่เป็น Deadshot และมี Drama เข้ามาอย่างลงตัว ขอชม Margot Robbie ที่จัดเต็มกับบทของ Harley Quinn ได้ดีเยี่ยม ขอชม Cara Delevinge ที่ไม่ได้มีดีแค่เดินแบบกับหุ่น Sexy เพราะเธอมีดีที่การแสดงอันทรงพลังครับ