นับถอยหลังอีกไม่ถึงเดือนแล้ว…ที่บราซิลจะได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ โอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่ทัพนักกีฬาจากทั่วโลกจะมาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตัวเอง ที่ผ่านมาชาวริโอ เดอจากเนโร เคยทำหน้าที่เป็นแม่งานในศึกฟุตบอลโลกปี 2014 มาแล้ว การรับหน้าเสื่อจัดงานระดับโลก ข้อหนึ่งที่ชาวบราซิลเลี่ยนภาคภูมิใจเสนอ คือ ทรัพยากร ด้านการท่องเที่ยวที่มีอยู่อย่างมากมายในทั่วทุกภูมิภาคที่ผ่านมาคุณอาจจะรู้จักประเทศธงชาติสีเขียวเหลือนี้ผ่านฟุตบอล –-เปเล่ – รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในยุคใหม่ของโลกแต่พูดก็พูดเถอะ…. บราซิลยังมีอะไรให้อร่อยหู อร่อยตา อร่อยความประทับใจอีกมาก ดังต่อไปนี้…เลย
+ +Brahma beer เอ่ยชื่อเบียร์ชื่อ “บราห์ม่า” ในบราซิลคอเบียร์จะร้องอ๋อเลยละ เพราะว่านี้เป็นเบียร์ท้องถิ่นที่เริ่มผลิตมาตั้งแต่ปี 1888 โน่น! มาตรฐานการผลิตและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ เรียกว่าเข้าตาเข้าลิ้นจนประเทศเมืองเบียร์อย่างเยอรมันต้องขอมาทำความร่วมมือให้บราห์ม่าไปวางขายในเยอรมันด้วย ถึงคุณอ่านผ่านหน้ากระดาษและไม่รู้ว่ากลิ่นและรสสัมผัสของเบียร์แบรนด์นี้เป็นอย่างไร เราสามารถบอกได้อย่างที่ชาวบราซิลเลี่ยนรับรู้ว่า รสชาติของบราห์ม่า คือ “Rio in Summer” เบียร์ชนิดนี้ถูกอธิบายไว้อย่างนั้น จนขายดีเป็นอันดับหนึ่งของบราซิล แต่เรื่องของเรื่องที่เบียร์บราห์ม่าดังอย่างถล่มถลายละก็ เกิดขึ้นจากบทเพลง “The Girl from Ipanema” ด้วย เพราะว่าแอนโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม และ วินิซิอุส เด มอไรส์ แต่งเพลงนี้ในขณะที่พวกเขากำลังจิบเบียร์บราห์ม่า ! เห็นชัดเลยใช่มั้ยว่า “Rio in Summer” ที่คุณดื่มได้มันเป็นอย่างไร !
+ Veloso Bar คลับบาร์ในริโอ เดอจาเนโร เรียกว่าไม่เป็นสองรองใครในโลก เพราะว่าคนที่นั่นมีไลฟ์สไตล์ในการแฮงค์เอาท์แบบ Afternoon till Night เริ่มอุ่นเครื่องกันที่ชายหาดตอนบ่ายแล้วไปต่อกันตามคลับบาร์ยันสว่าง แต่หากคุณไปริโอแล้วไม่ได้ไปแวะที่ร้าน “Veloso Bar” เช็คอินลง IG คุณอาจจะต้องเสียใจไปอีกนาน เพราะว่าบาร์หัวถนน มอนเทเนโกรริมหาดอิมปาเนม่าแห่งนี้คือที่ถือกำเนิด เพลงบอสซ่าโนวาในตำนานอย่าง “The Girl from Ipanema” สองนักประพันธ์ที่มีชื่อในข้างต้น พวกเขามาสิงส่องสาวอยู่ที่บาร์นี้แล้วอยู่มาบ่ายวันหนึ่งก็เจอกับสาวน้อย ผิวสีน้ำผึ้งเดินมา บรรยากาศสายลมเย็นจากหาดอิปาเนม่าก็เลยเป็นใจให้เกิดภาวะกวีขึ้นเพลงนี้ถูกเขียนเสร็จไม่ถึง 15 นาทีในภาษาโปรตุเกรสว่า "Menina que Passa" ("The Girl Who Passes By") แทนที่จะเป็นเพลงผิวปากจีบหญิงธรรมดา แต่เมื่อพวกเขาไปเล่นให้ใครฟังก็ตามตกอยู่ในภวังค์ เพราะเพลงได้เก็บความชิลของสถานที่และผู้คน วิถีชีวิต การพรรณนาถึงหญิงสาวเอาไว้แบบครบถ้วน แต่มาเพลงนี้ก็ถูกเขียนเนื้อใหม่เป็นภาษาอังกฤษ โดยนอร์แมน กิมเบล นอกจากจะฮิตในลาตินช่วงปี 1962 แล้ว ในปี 1965 เพลงนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดสาขา Record of The Year มีบันทึกว่าผู้คนแห่แหนมาฉลองที่ร้านกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทำให้ร้านนี้ดังมายาวนานกว่า 50 ปี ไม่ว่าอย่างไรนี้คือชื่อที่คุณต้องเสิร์ชและปักหมุดไว้ก่อนไปถึงริโอ เดอจาเนโร “Veloso Bar”
+ Beach Life มองจากมุมสูงจะเห็นว่าริโอ เป็นเมืองริมหาดที่มีชายหาดขนาดยาว แล้วความยาวของขนาดหาดเท่าไหร่ล่ะ บอกแล้วคุณจะอึ้งว่า ฉันจะเที่ยวยังไงไหว เพราะว่าหาดแห่งนี้มีความยาวต่อกัน 7.65 กิโลเมตรไปเลย กินพื้นที่ 3 หาดที่ว่ากันว่า คือ สรวงสวรรค์ของผู้นุ่งบิกินี่และมีซิกแพ็ค เพราะ 3 หาดที่มีทำให้ทุกวันที่ริโอเป็นวันวีคเอนด์ของคนรักกีฬาริมหาด หรือว่านอนชิลในชุดว่ายน้ำ จิบ “ไคพิริย่า” (Caipirinha) แก้วที่เป็นซิกเนเจอร์ของหนุ่มสาวบราซิลเลี่ยน หาดที่ว่านี้ คือ โคปาคาบาน่ายาว 4.5 กิโลเมตรอีกด้านเป็นทิวของโรงแรมหรูและคลับบาร์ชั้นนำของโลกที่ต้องมาเปิดที่นี่ประชันความเก๋และความชิคของดีไซน์ บอกไว้หน่อยเพื่อเอาไปคุยต่อได้ว่า โคปาคาบาน่าในวันนี้แตกต่างจากอดีตลิบลับกันเลย เพราะจากชื่อหาด “โคปาคาบาน่า” นั้น มาจากชื่อนักบุญ Virgin of Capacabana ที่เมื่อ 100 ปีก่อนเดินทางมาที่นี่แล้วพบว่าเป็นหาดครึ่งวงกลมสีขาวที่สะอาดตา บริสุทธิ์ จึงสร้างโบสถ์เอาไว้ที่ท้ายหาด แต่วันนี้กาลเวลาเปลี่ยนไปให้โคปาคาบาน่า เป็นพาราไดซ์ของนักเดินทางทั้ง all day all night ไปแล้ว โดยมีชุดว่ายน้ำเป็นยูนิฟอร์มของหาด ต่อมา คือ หาดอิปาเนม่า ที่ยาว 3.5 กิโลเมตร อัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวอาจจะเยาว์วัยกว่าฝั่งโคปาคาบาน่า มีรูปปั้นของคุณ แอนโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม แบกกีตาร์อยู่ที่ริมหาดเพื่อเป็นเกียรติที่ได้ประพันธ์เพลงสำคัญของสถานที่ไว้ ที่อิปาเนม่าวัยรุ่นชายจะมาจับกลุ่มเตะฟุตบอลกันตามชายหาดล้อคลื่น ส่วนสาวๆ ก็ต้องมาอาบแดดชโลมโลชั่น ฟังเพลงบอสซาโนว่า อีกกิจกรรมที่ฮิต คือ กระดานโต้คลื่น และอีกชื่อที่ไม่ดังเท่ากับ 2 ชื่อแรก คือ “เลมี่ บีซ” (Leme Beach)เป็นหาดที่มีพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ เดินบนทรายขาว มีการตกแต่งพื้นทางเดินด้วยกระเบื้องโมเสกสีขาวสลับดำเป็นล่องคลื่นโค้งๆ บนพื้นถนนดูแปลกตาและคลาสสิคให้นักท่องเที่ยวต้องไปเซลฟี่กับกราฟิกคลื่นนี้อยู่ตลอด บอกไว้ก่อนว่าถ้าจะเก็บ 3 หาดนี้ให้หมดคุณอาจจะต้องมีเวลาสัก 2 วันเชียวละ
+ Caipirinha ไค-พิ-ริ-ย่า ออกเสียงในภาษาไทยได้ประมาณนี้ และว่ากันว่าคุณจะยังมาไม่ถึงประเทศนี้ถ้าไม่ได้กรึ๊บแก้วนี้ลงคอ เพราะว่าไคพิริย่า เป็นค็อกเทล Old Fashion ที่ดื่มกันมาตั้งแต่ 90 ปีก่อน กล่าวกันว่าทั้งส่วนผสมและรสชาติได้นิยามความเป็นบราซิลไว้ครบในแก้วเดียว เป็นต้นว่าบรั่นดีที่ใช้จะแตกต่างจากที่อื่น เพราะว่าบ่มและกลั่นมาจากอ้อยหวาน บราซิลเป็นชาติที่มีอ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจ จึงมีการแปรรูปอ้อยไปสารพัดรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ เหล้าอ้อย ที่เป็นความรื่นรมย์ของชาวอเมริกาใต้ ต่อมาจะต้องใส่มะนาวลงไปในของเหลวรสขมหวาน ใส่ไม่ใส่เปล่า เพราะว่าที่เป็นออรินัล จะต้อง 1 แก้วต่อมะนาวครึ่งลูก น้อยกว่านี้ไม่ใช่ การดื่มต้องกัดผิวมะนาวให้แตกในปากมีอโรม่าจากนั้นค่อยสะบัดรสชาติตามด้วยเหล้าอ้อยที่ใส่น้ำแข็ง รวมๆ แล้ว คือ ความหวานขมที่อมเปรี้ยวหวาน จริงๆ แล้วเครื่องดื่มแก้วนี้มีที่มาที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวบราซิลที่ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะว่าในช่วงปี 1918 ที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดในลาตินอเมริกา การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า มีผู้เสียชีวิตหลักสิบล้านคน เหล้าจากอ้อย กระเทียม น้ำผึ้ง มะนาว คือ ตำรับฆ่าเชื้อหวัดของชาวบ้านในยุคนั้น ต่อมาก็ได้รับการพัฒนาสูตรเป็น “ไคพิริย่า” ที่เราดื่มกันทุกวันนี้เอง
+ City of God ฉากหลังของหนังเรื่องนี้เป็นสลัมขนาดใหญ่ติดอันดับต้นๆของอเมริกาใต้และมีถนนทางด่วนขั้นกลางระหว่างย่านคนมีฐานะและคนจน ฝ่ายหนึ่งเป็นคอนโดหรู แต่อีกฝั่งมีแค่หลังคมสุม สลัมแห่งนี้มีชื่อว่า “ซิดาเด้ เด” (CDD - Cidade de) สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่องนี้จนเกิดการท่องเที่ยวแบบทัวร์สลัม ในปี 2011 บารัค โอบาม่า ไปเยือนที่นั่นมาแล้ว
+ Sugarloaf Mt.ภูเขาน้ำตาล “ซูการ์ โลฟ” นักท่องเที่ยวที่ไปถึงริโอแล้วต้องไม่พลาดการไปชมความงามของยอดเขาหินแกรนนิต “ซูการ์ โลฟ” (Sugarloaf mt.) เป็นเขาสูง 396 เมตรที่มีลักษณะเป็นเขาสูงงอกขึ้นมาจากทะเล ปัจจุบันมี Ropeway กระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อชมความสวยงามและวิวพาโนราม่าของอ่านโค้งกัวนาบาร่า (Guanbara bay) เป็นวิธีชมเมืองริโอ เดอจาเนโร ที่ว่ากันว่าดีไม่แพ้การขึ้นไปบนยอด Christ of Redeemer เป็นที่นิยมกัน เพราะจากมุมบนยอดเขาซูการ์โรฟ จะมองเห็นวิวเมืองพาโนราม่าที่มีทั้งชายหาด ภูเขาสลับซับซ้อน สีสันของบ้านเมือง รวมถึงรูปปั้นพระเยซูที่มองลงมา เป็นมุมมองที่ครบถ้วนสวยงาม
+ Meeting Waters ตั้งแต่เล็กจนโต คุณจะต้องได้ยินเรื่องของอเมซอน-ป่าดงดิบแห่งนี้กันมามากมายอยู่แล้ว แต่ถ้าจินตนาการถึงความใหญ่
ละก็ คิดง่ายๆ ว่ามองจากนอกโลกเข้ามาก็จะเห็นป่าสีเขียวแห่งนี้ตั้งแต่บนนั้น ด้วยขนาด 2.1 ล้านตารางกิโลเมตร โดย 60% ของพื้นที่ป่าอเมซอนอยู่ในเขตประเทศบราซิลตอนบน กำเนิดแม่น้ำอเมซอนที่ยาว 6,000 กว่ากิโลเมตร มีสัตว์น้อยใหญ่และมดแมลงมากกว่า 10 ล้านสปีชีส์ชุมนุมอยู่ที่นี่ เรียกว่ามีงานให้นักวิจัยรีเสิร์ชกันแบบไม่มีวันจบ แต่ความเจ๋งที่วันนี้เริ่มเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวป่าอเมซอนอยู่ที่การ Sleep in the wild หรือการนอนเปลมุ้งในป่าอเมซอนให้รู้สึกได้ยินเสียงสรรพสิ่งจากป่าโหยหวนยามค่ำคืน บริการนี้ฟังดูเอ็กซ์ตรีมไปหน่อย งั้นต้องเชิญไปชมความอเมซิ่งของของป่าอเมซอน ที่เมืองมาเนาส์ (Manaus) เมืองหลวงของรัฐอามาโซนัส (Amazonas) จากเมืองก็น่าสนใจมากแล้วละ เพราะ มาเนาส์ในภาษาท้องถิ่นหมายถึงมารดาแห่งพระเจ้าเมืองนี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่งเพราะด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้เพราะอยู่ใจกลางป่าอเมซอน นักท่องเที่ยวที่รักความแปลกใหม่มุ่งหน้าไปชมการบรรจบกันของแม่น้ำสองสี ระหว่างแม่น้ำริโอเนโกรและแม่น้ำโซลิโมย (Rio Negro - Solimões) ที่เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติแม่น้ำ 2 สี สีดำและสีน้ำตาลขุ่นอยู่ในสายน้ำเดียวกัน โดยไม่ไหลรวมกัน เพราะอุณหภูมิของแม่น้ำสองสายนี้แตกต่างกันสายหนึ่งร้อนสายหนึ่งเย็นนักท่องเที่ยวสามารถใส่ชูชีพลงไปว่ายเล่นได้ด้วย
(กล้าไหม) คอนเฟิร์มมาแล้วว่าน้ำไหลเชี่ยว ไม่มีปลาปิรินย่าที่อาศัยอยู่ในน้ำนิ่งมาแทะขา
+ 27 Stars ธงชาติมีสีดาวดวง ตอบได้ไหมว่ากี่ดวง ติ๊กแต่ก ติ๊กแต่ก หมดเวลา ดาวมี 27 ดวงหมายถึงจำนวนรัฐทั้ง 27 แห่งของบราซิล แต่ความ Craft ของธงผืนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆนะครับเพราะว่าดาวแต่ละดวงดันมีขนาดไม่เท่ากันด้วยเพราะแทนเรื่องของขนาดของแต่ละรัฐที่เล็กใหญ่ไม่เท่ากันส่วนบนธงชาติบราซิลก็เท่ไม่เหมือนที่ไหน เพราะว่ามีตัวอักษรโรมันกำกับความหมายพิเศษไว้บนธง ด้วยคำว่า "Ordem e Progresso" ที่หมายถึง "ความเป็นระเบียบและความก้าวหน้า" ส่วนสีเขียว-เหลืองบนธงสื่อถึงป่าสีเขียวอเมซอนและแหล่งแร่ทองคำของประเทศเขานั่นเอง
+ Janeiro ความน่ารักที่ชวนอร่อยในความหมายขอชื่อเมือง ริโอ เดอ จาเนโร มีอยู่ว่า คำนี้เป็นภาษาโปรตุเกรสโบราณ ที่หากจะอ่านให้ถูกต้องต้องออกเสียงอย่างประณีตเลยว่า “รี-อู-จี-ฌา -เนย์-รู” (Rio de Janeiro) แต่เรื่องน่ารักที่ชาวเมืองนี้คอยเล่าให้ผู้มาเยือนฟังเสมอ คือ ริโอ แปลว่า แม่น้ำ ส่วน Janeiro นั่นคือ January หรือเดือนมกราคม แปลรวมๆ กันว่า “แม่น้ำแห่งเดือนมกราคม” เพราะในอดีตเมืองนี้ถูกค้นพบในเมืองแรกของปี แต่ที่เรียกว่า เมืองแม่น้ำ เพราะว่าผู้ค้นพบเห็นว่าเป็นเมืองใหญ่ที่ีมีน้ำทะเลที่มาขนาบเมืองไว้ เอาเป็นว่าเรียกว่า เมืองแม่น้ำไว้ก่อนค่อยเปลี่ยนที่หลัง แต่ทำผ่านมาหลายร้อยปีก็ยังไม่ได้แก้สักทีจนเป็นเมืองริโอเดอจาเนโรมาถึงวันนี้
Blah Blah Blah Brazil นี้ยังมีอะไรอีกมาก….
+ +Brahma beer เอ่ยชื่อเบียร์ชื่อ “บราห์ม่า” ในบราซิลคอเบียร์จะร้องอ๋อเลยละ เพราะว่านี้เป็นเบียร์ท้องถิ่นที่เริ่มผลิตมาตั้งแต่ปี 1888 โน่น! มาตรฐานการผลิตและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ เรียกว่าเข้าตาเข้าลิ้นจนประเทศเมืองเบียร์อย่างเยอรมันต้องขอมาทำความร่วมมือให้บราห์ม่าไปวางขายในเยอรมันด้วย ถึงคุณอ่านผ่านหน้ากระดาษและไม่รู้ว่ากลิ่นและรสสัมผัสของเบียร์แบรนด์นี้เป็นอย่างไร เราสามารถบอกได้อย่างที่ชาวบราซิลเลี่ยนรับรู้ว่า รสชาติของบราห์ม่า คือ “Rio in Summer” เบียร์ชนิดนี้ถูกอธิบายไว้อย่างนั้น จนขายดีเป็นอันดับหนึ่งของบราซิล แต่เรื่องของเรื่องที่เบียร์บราห์ม่าดังอย่างถล่มถลายละก็ เกิดขึ้นจากบทเพลง “The Girl from Ipanema” ด้วย เพราะว่าแอนโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม และ วินิซิอุส เด มอไรส์ แต่งเพลงนี้ในขณะที่พวกเขากำลังจิบเบียร์บราห์ม่า ! เห็นชัดเลยใช่มั้ยว่า “Rio in Summer” ที่คุณดื่มได้มันเป็นอย่างไร !
+ Veloso Bar คลับบาร์ในริโอ เดอจาเนโร เรียกว่าไม่เป็นสองรองใครในโลก เพราะว่าคนที่นั่นมีไลฟ์สไตล์ในการแฮงค์เอาท์แบบ Afternoon till Night เริ่มอุ่นเครื่องกันที่ชายหาดตอนบ่ายแล้วไปต่อกันตามคลับบาร์ยันสว่าง แต่หากคุณไปริโอแล้วไม่ได้ไปแวะที่ร้าน “Veloso Bar” เช็คอินลง IG คุณอาจจะต้องเสียใจไปอีกนาน เพราะว่าบาร์หัวถนน มอนเทเนโกรริมหาดอิมปาเนม่าแห่งนี้คือที่ถือกำเนิด เพลงบอสซ่าโนวาในตำนานอย่าง “The Girl from Ipanema” สองนักประพันธ์ที่มีชื่อในข้างต้น พวกเขามาสิงส่องสาวอยู่ที่บาร์นี้แล้วอยู่มาบ่ายวันหนึ่งก็เจอกับสาวน้อย ผิวสีน้ำผึ้งเดินมา บรรยากาศสายลมเย็นจากหาดอิปาเนม่าก็เลยเป็นใจให้เกิดภาวะกวีขึ้นเพลงนี้ถูกเขียนเสร็จไม่ถึง 15 นาทีในภาษาโปรตุเกรสว่า "Menina que Passa" ("The Girl Who Passes By") แทนที่จะเป็นเพลงผิวปากจีบหญิงธรรมดา แต่เมื่อพวกเขาไปเล่นให้ใครฟังก็ตามตกอยู่ในภวังค์ เพราะเพลงได้เก็บความชิลของสถานที่และผู้คน วิถีชีวิต การพรรณนาถึงหญิงสาวเอาไว้แบบครบถ้วน แต่มาเพลงนี้ก็ถูกเขียนเนื้อใหม่เป็นภาษาอังกฤษ โดยนอร์แมน กิมเบล นอกจากจะฮิตในลาตินช่วงปี 1962 แล้ว ในปี 1965 เพลงนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดสาขา Record of The Year มีบันทึกว่าผู้คนแห่แหนมาฉลองที่ร้านกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทำให้ร้านนี้ดังมายาวนานกว่า 50 ปี ไม่ว่าอย่างไรนี้คือชื่อที่คุณต้องเสิร์ชและปักหมุดไว้ก่อนไปถึงริโอ เดอจาเนโร “Veloso Bar”
+ Beach Life มองจากมุมสูงจะเห็นว่าริโอ เป็นเมืองริมหาดที่มีชายหาดขนาดยาว แล้วความยาวของขนาดหาดเท่าไหร่ล่ะ บอกแล้วคุณจะอึ้งว่า ฉันจะเที่ยวยังไงไหว เพราะว่าหาดแห่งนี้มีความยาวต่อกัน 7.65 กิโลเมตรไปเลย กินพื้นที่ 3 หาดที่ว่ากันว่า คือ สรวงสวรรค์ของผู้นุ่งบิกินี่และมีซิกแพ็ค เพราะ 3 หาดที่มีทำให้ทุกวันที่ริโอเป็นวันวีคเอนด์ของคนรักกีฬาริมหาด หรือว่านอนชิลในชุดว่ายน้ำ จิบ “ไคพิริย่า” (Caipirinha) แก้วที่เป็นซิกเนเจอร์ของหนุ่มสาวบราซิลเลี่ยน หาดที่ว่านี้ คือ โคปาคาบาน่ายาว 4.5 กิโลเมตรอีกด้านเป็นทิวของโรงแรมหรูและคลับบาร์ชั้นนำของโลกที่ต้องมาเปิดที่นี่ประชันความเก๋และความชิคของดีไซน์ บอกไว้หน่อยเพื่อเอาไปคุยต่อได้ว่า โคปาคาบาน่าในวันนี้แตกต่างจากอดีตลิบลับกันเลย เพราะจากชื่อหาด “โคปาคาบาน่า” นั้น มาจากชื่อนักบุญ Virgin of Capacabana ที่เมื่อ 100 ปีก่อนเดินทางมาที่นี่แล้วพบว่าเป็นหาดครึ่งวงกลมสีขาวที่สะอาดตา บริสุทธิ์ จึงสร้างโบสถ์เอาไว้ที่ท้ายหาด แต่วันนี้กาลเวลาเปลี่ยนไปให้โคปาคาบาน่า เป็นพาราไดซ์ของนักเดินทางทั้ง all day all night ไปแล้ว โดยมีชุดว่ายน้ำเป็นยูนิฟอร์มของหาด ต่อมา คือ หาดอิปาเนม่า ที่ยาว 3.5 กิโลเมตร อัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวอาจจะเยาว์วัยกว่าฝั่งโคปาคาบาน่า มีรูปปั้นของคุณ แอนโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม แบกกีตาร์อยู่ที่ริมหาดเพื่อเป็นเกียรติที่ได้ประพันธ์เพลงสำคัญของสถานที่ไว้ ที่อิปาเนม่าวัยรุ่นชายจะมาจับกลุ่มเตะฟุตบอลกันตามชายหาดล้อคลื่น ส่วนสาวๆ ก็ต้องมาอาบแดดชโลมโลชั่น ฟังเพลงบอสซาโนว่า อีกกิจกรรมที่ฮิต คือ กระดานโต้คลื่น และอีกชื่อที่ไม่ดังเท่ากับ 2 ชื่อแรก คือ “เลมี่ บีซ” (Leme Beach)เป็นหาดที่มีพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ เดินบนทรายขาว มีการตกแต่งพื้นทางเดินด้วยกระเบื้องโมเสกสีขาวสลับดำเป็นล่องคลื่นโค้งๆ บนพื้นถนนดูแปลกตาและคลาสสิคให้นักท่องเที่ยวต้องไปเซลฟี่กับกราฟิกคลื่นนี้อยู่ตลอด บอกไว้ก่อนว่าถ้าจะเก็บ 3 หาดนี้ให้หมดคุณอาจจะต้องมีเวลาสัก 2 วันเชียวละ
+ Caipirinha ไค-พิ-ริ-ย่า ออกเสียงในภาษาไทยได้ประมาณนี้ และว่ากันว่าคุณจะยังมาไม่ถึงประเทศนี้ถ้าไม่ได้กรึ๊บแก้วนี้ลงคอ เพราะว่าไคพิริย่า เป็นค็อกเทล Old Fashion ที่ดื่มกันมาตั้งแต่ 90 ปีก่อน กล่าวกันว่าทั้งส่วนผสมและรสชาติได้นิยามความเป็นบราซิลไว้ครบในแก้วเดียว เป็นต้นว่าบรั่นดีที่ใช้จะแตกต่างจากที่อื่น เพราะว่าบ่มและกลั่นมาจากอ้อยหวาน บราซิลเป็นชาติที่มีอ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจ จึงมีการแปรรูปอ้อยไปสารพัดรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ เหล้าอ้อย ที่เป็นความรื่นรมย์ของชาวอเมริกาใต้ ต่อมาจะต้องใส่มะนาวลงไปในของเหลวรสขมหวาน ใส่ไม่ใส่เปล่า เพราะว่าที่เป็นออรินัล จะต้อง 1 แก้วต่อมะนาวครึ่งลูก น้อยกว่านี้ไม่ใช่ การดื่มต้องกัดผิวมะนาวให้แตกในปากมีอโรม่าจากนั้นค่อยสะบัดรสชาติตามด้วยเหล้าอ้อยที่ใส่น้ำแข็ง รวมๆ แล้ว คือ ความหวานขมที่อมเปรี้ยวหวาน จริงๆ แล้วเครื่องดื่มแก้วนี้มีที่มาที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวบราซิลที่ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะว่าในช่วงปี 1918 ที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดในลาตินอเมริกา การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า มีผู้เสียชีวิตหลักสิบล้านคน เหล้าจากอ้อย กระเทียม น้ำผึ้ง มะนาว คือ ตำรับฆ่าเชื้อหวัดของชาวบ้านในยุคนั้น ต่อมาก็ได้รับการพัฒนาสูตรเป็น “ไคพิริย่า” ที่เราดื่มกันทุกวันนี้เอง
+ City of God ฉากหลังของหนังเรื่องนี้เป็นสลัมขนาดใหญ่ติดอันดับต้นๆของอเมริกาใต้และมีถนนทางด่วนขั้นกลางระหว่างย่านคนมีฐานะและคนจน ฝ่ายหนึ่งเป็นคอนโดหรู แต่อีกฝั่งมีแค่หลังคมสุม สลัมแห่งนี้มีชื่อว่า “ซิดาเด้ เด” (CDD - Cidade de) สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่องนี้จนเกิดการท่องเที่ยวแบบทัวร์สลัม ในปี 2011 บารัค โอบาม่า ไปเยือนที่นั่นมาแล้ว
+ Sugarloaf Mt.ภูเขาน้ำตาล “ซูการ์ โลฟ” นักท่องเที่ยวที่ไปถึงริโอแล้วต้องไม่พลาดการไปชมความงามของยอดเขาหินแกรนนิต “ซูการ์ โลฟ” (Sugarloaf mt.) เป็นเขาสูง 396 เมตรที่มีลักษณะเป็นเขาสูงงอกขึ้นมาจากทะเล ปัจจุบันมี Ropeway กระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อชมความสวยงามและวิวพาโนราม่าของอ่านโค้งกัวนาบาร่า (Guanbara bay) เป็นวิธีชมเมืองริโอ เดอจาเนโร ที่ว่ากันว่าดีไม่แพ้การขึ้นไปบนยอด Christ of Redeemer เป็นที่นิยมกัน เพราะจากมุมบนยอดเขาซูการ์โรฟ จะมองเห็นวิวเมืองพาโนราม่าที่มีทั้งชายหาด ภูเขาสลับซับซ้อน สีสันของบ้านเมือง รวมถึงรูปปั้นพระเยซูที่มองลงมา เป็นมุมมองที่ครบถ้วนสวยงาม
+ Meeting Waters ตั้งแต่เล็กจนโต คุณจะต้องได้ยินเรื่องของอเมซอน-ป่าดงดิบแห่งนี้กันมามากมายอยู่แล้ว แต่ถ้าจินตนาการถึงความใหญ่
ละก็ คิดง่ายๆ ว่ามองจากนอกโลกเข้ามาก็จะเห็นป่าสีเขียวแห่งนี้ตั้งแต่บนนั้น ด้วยขนาด 2.1 ล้านตารางกิโลเมตร โดย 60% ของพื้นที่ป่าอเมซอนอยู่ในเขตประเทศบราซิลตอนบน กำเนิดแม่น้ำอเมซอนที่ยาว 6,000 กว่ากิโลเมตร มีสัตว์น้อยใหญ่และมดแมลงมากกว่า 10 ล้านสปีชีส์ชุมนุมอยู่ที่นี่ เรียกว่ามีงานให้นักวิจัยรีเสิร์ชกันแบบไม่มีวันจบ แต่ความเจ๋งที่วันนี้เริ่มเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวป่าอเมซอนอยู่ที่การ Sleep in the wild หรือการนอนเปลมุ้งในป่าอเมซอนให้รู้สึกได้ยินเสียงสรรพสิ่งจากป่าโหยหวนยามค่ำคืน บริการนี้ฟังดูเอ็กซ์ตรีมไปหน่อย งั้นต้องเชิญไปชมความอเมซิ่งของของป่าอเมซอน ที่เมืองมาเนาส์ (Manaus) เมืองหลวงของรัฐอามาโซนัส (Amazonas) จากเมืองก็น่าสนใจมากแล้วละ เพราะ มาเนาส์ในภาษาท้องถิ่นหมายถึงมารดาแห่งพระเจ้าเมืองนี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่งเพราะด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้เพราะอยู่ใจกลางป่าอเมซอน นักท่องเที่ยวที่รักความแปลกใหม่มุ่งหน้าไปชมการบรรจบกันของแม่น้ำสองสี ระหว่างแม่น้ำริโอเนโกรและแม่น้ำโซลิโมย (Rio Negro - Solimões) ที่เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติแม่น้ำ 2 สี สีดำและสีน้ำตาลขุ่นอยู่ในสายน้ำเดียวกัน โดยไม่ไหลรวมกัน เพราะอุณหภูมิของแม่น้ำสองสายนี้แตกต่างกันสายหนึ่งร้อนสายหนึ่งเย็นนักท่องเที่ยวสามารถใส่ชูชีพลงไปว่ายเล่นได้ด้วย
(กล้าไหม) คอนเฟิร์มมาแล้วว่าน้ำไหลเชี่ยว ไม่มีปลาปิรินย่าที่อาศัยอยู่ในน้ำนิ่งมาแทะขา
+ 27 Stars ธงชาติมีสีดาวดวง ตอบได้ไหมว่ากี่ดวง ติ๊กแต่ก ติ๊กแต่ก หมดเวลา ดาวมี 27 ดวงหมายถึงจำนวนรัฐทั้ง 27 แห่งของบราซิล แต่ความ Craft ของธงผืนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆนะครับเพราะว่าดาวแต่ละดวงดันมีขนาดไม่เท่ากันด้วยเพราะแทนเรื่องของขนาดของแต่ละรัฐที่เล็กใหญ่ไม่เท่ากันส่วนบนธงชาติบราซิลก็เท่ไม่เหมือนที่ไหน เพราะว่ามีตัวอักษรโรมันกำกับความหมายพิเศษไว้บนธง ด้วยคำว่า "Ordem e Progresso" ที่หมายถึง "ความเป็นระเบียบและความก้าวหน้า" ส่วนสีเขียว-เหลืองบนธงสื่อถึงป่าสีเขียวอเมซอนและแหล่งแร่ทองคำของประเทศเขานั่นเอง
+ Janeiro ความน่ารักที่ชวนอร่อยในความหมายขอชื่อเมือง ริโอ เดอ จาเนโร มีอยู่ว่า คำนี้เป็นภาษาโปรตุเกรสโบราณ ที่หากจะอ่านให้ถูกต้องต้องออกเสียงอย่างประณีตเลยว่า “รี-อู-จี-ฌา -เนย์-รู” (Rio de Janeiro) แต่เรื่องน่ารักที่ชาวเมืองนี้คอยเล่าให้ผู้มาเยือนฟังเสมอ คือ ริโอ แปลว่า แม่น้ำ ส่วน Janeiro นั่นคือ January หรือเดือนมกราคม แปลรวมๆ กันว่า “แม่น้ำแห่งเดือนมกราคม” เพราะในอดีตเมืองนี้ถูกค้นพบในเมืองแรกของปี แต่ที่เรียกว่า เมืองแม่น้ำ เพราะว่าผู้ค้นพบเห็นว่าเป็นเมืองใหญ่ที่ีมีน้ำทะเลที่มาขนาบเมืองไว้ เอาเป็นว่าเรียกว่า เมืองแม่น้ำไว้ก่อนค่อยเปลี่ยนที่หลัง แต่ทำผ่านมาหลายร้อยปีก็ยังไม่ได้แก้สักทีจนเป็นเมืองริโอเดอจาเนโรมาถึงวันนี้